webnovel

ลิงชิมแปนซี Third Chimpanzee

สำหรับผม ผมเรียนทุกอย่าง ถ้าเราถูกทิ้งหรือว่าทะเลาะอะไร ผิดหวังอะไร เราคิดว่าเรื่องที่อยู่ในมือถือสำคัญหมดทุกอย่าง เราเสพข่าวและข่าวก็สร้างว่าเราต้องมองเรื่องไหน เป็นยังไง ไม่ว่าเราจะทำผิดพลาดเรื่องเล็กแค่ไหน เราสามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมด อ่านหนังสือ หรือเข้าคอร์สอบรมพัฒนาตัวเอง อาณาจักรของทุนนิยม เราต่างซื้อของที่เราไม่ต้องการ รู้เรื่องที่ไม่จำเป็นต้องรู้เพื่อคุยกับคนบางกลุ่มรู้เรื่อง นั้นมันนรกชัด ๆ ที่ออฟฟิศ ถามว่าผมโอเคกับทุกอย่างรอบตัวมั้ย มันค่อนข้างเป็นนรก ผมหายใจเร็วและอึดอัดที่จะพูดเรื่องตัวเอง ผมขอยากับจิตแพทย์ที่แผนกจิตเวช จากพยาธิสภาพผมไม่รู้ว่าอาการปวดหัวของโรคผมจะไปจบที่ไหน ผมนอนไม่หลับและแทบจะไม่ได้หลับมาหลายสัปดาห์ หมอให้แต่ยาแก้ปวด ทุกอย่างดูดื้อดึงและรุกเร้าต่อการเป็นตัวเอง มันหดหู่จนผมต้องไปเรียนโยคะ ต่อยมวย และว่ายน้ำ

"ชีวิตจะทำให้เราผิดหวังที่สุด ผิดหวังกับทุกอย่างที่เราอยากเป็น อยากได้ เราสวดมนต์โดยที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ เราทำในสิ่งที่สังคมบอกให้ทำแต่เราไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เราจะน่าเบื่อและเจ็บปวดไปชั่วชีวิต ศาสนาที่เคยเป็นเสาหลักหรือองค์ประกอบของการรุ่งเรืองการเป็นมนุษย์ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ มนุษย์ชอบคำโกหก ชอบส่งที่ทำให้ตัวเองดี ชอบกอบโกยทุกอย่างมากกว่าที่มันเป็น เพื่อให้ตัวเองมั่นใจในความโกลาหลท่ามกลางพายุคนจำนวน หกพันล้านคนเหมือนมดท่ามกลางพายุเฮอริเคน เราชอบเรียนรู้จะควบคุมและจะควบคุมทุกอย่าง" ผมคิดเรื่องเหลือเชื่อพวกนี้ตอนนั่งอยู่ตรงข้ามจิตแพทย์ หัวขวดและเหลือเชื่อ สิ่งที่ผมเป็นอาจจะไม่มีทางแก้ไขได้

ผมเดินออกจากห้องสีขาว บนเขียวอ่อนด้วยการรับยาแก้ปวดหัวทั่วไป เราแค่พยายามหาทางแก้ในตัวเอง บางทีโรงพยาบาลอาจจะไม่มีคำตอบ ระหว่างรอยาวประมาณแปดสิบหกนาทีในโรงพยาบาลรัฐ ผมเดินไปตู้กดน้ำ ที่นี่มีบิลบอร์ดเต็มไปหมด ให้ความรู้ และกลุ่ม

สองอาทิตย์ก่อนตรงหน้าผมคือร่างกายเพื่อนที่ว่างเปล่าอยู่ในโรงเพื่อนที่สนิทที่สุดของผมตั้งแต่ประถมพึ่งตายจากอุบัติเหตรถยนต์ หลังจากนั้นผมค้นพบการกระทำที่มีความหมายคือความเจ็บปวดและทนทุกข์กับการนอนไม่หลับ

พรุ่งนี้ผมต้องไปทำงานเหมือนโพรงหนู เราอยู่ในถ้ำคับแคบที่เป็นตึกมีคอกงานกั้นเหมือนสัตว์ เราต้องทำงานและใช้เวลาเพิ่มกระดาษลงไปในระบบ ยิ่งเพิ่มกระดาษไปในระบบมากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งได้กระดาษที่เป็นใบค่าการของการแลกเปลี่ยนได้ 'เงิน' สกุลเงินและค่างั้นที่เกิดจากโรงพิมพ์ กระดาษและแป้นพิมพ์เราทำงานคล้ายแบบนั้นในตึก เครื่องพิมพ์ซ้ำเหมือนกับโรงงานการคลังของประเทศทำซ้ำ ทำซ้ำ ทำซ้ำ เพื่อให้มีเงินเฟ้อ เงินฟืด เป็นวงจร มันเป็นเรื่องงี่เง่าวนไปวนมาเราแค่อยู่ในความงี่เง่านั้น ตัวเล็กและคิดจะเปลี่ยนแปลงบางคนไม่ได้พยายามเข้าใจเรื่องพวกนี้เลยเสียด้วยซ้ำว่า ถ้าแม่พิมพ์ธนบัตรโดนทำลายเมื่อไหร่ เซอร์ไพรซ์เงินที่เข้าไปในระบบจะเริ่มเฟ้อ ลองคิดดูว่าถ้าแม่พิมพ์ทั้งหมดถูกทำลาย ประเทศนี้จะกลับไปเหมือนยุคหินและพึ่งระบบเงินกู้กับทองคำ ธนบัตรประเทศอื่น แต่ถ้าเราเป็นเพียงโพรงหนูในระบบเราจะไม่ต้องรับผิดชอบเมื่อมันเกิดขึ้น เราจะกลับไปดูซิทคอมช่องเก้าแล้วช่วยตัวเองบนเตียงที่ภรรยานอนอยู่

และบางทีงานของผมก็ไปดูซากการหลงเหลือของมนุษย์ บางส่วนที่เหลืออยู่ในรถยนต์ที่ไฟไหม้ กลิ่นหนังติดเบาะ ถ้าคุณทำบริษัทประกันคุณจะได้เห็นการตายประหลาด ๆ และเป็นกรรมการว่าการตายนั้นสมควรได้เงินเท่าไหร่ ผมเฉลยเลยได้มั้ย ที่เหลือมันคือข้อตกลง ว่าชีวิตใครและคนกลุ่มไหนควรได้ราคาเท่าไหร่ จากคนที่อยู่และบริษัทที่ฟ้องร้อง คุณจะเห็นคนเป็นเพียงสลิปราคาที่เขาทำอะไรและจะมีค่าเท่าไหร่ทางเศรษฐกิจ เท่านั้นแหละ การเป็นมนุษย์มีเพียงคุณค่าในเศรษฐกิจของบริษัทนี้ ผมเพียงบอกได้เพียงอย่างเดียวว่าไม่ได้มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับคุณ เราแค่อยู่ในนรกที่ทุกคนบอกว่าโอเคเราจะตายอย่างช้า ๆ และมาอยู่เพื่อตัวเองกัน

ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในเครื่องบินริมหน้าต่าง กระจกกั้นผมจากสีครามและฝุ่นสีขาวที่อยู่ด้านนอก

'ผมมีปัญหากับการคุยคนแปลกหน้า ในการเริ่มต้นบทสนทนา จนต้องไปซื้อหนังสือ "วิธีการชวนคุยสัพเพเหระ" วิธีเริ่มต้นที่ดีคือออกจากอพาร์ตเมนต์ที่ห้อมล้อมไปด้วยเฟอร์นิเจอร์อิเกีย และภาพเขียนเลียนแบบมือสองจากที่ครอบครัวญาติเอามาให้ และมองหาใครสักคนที่พร้อมจะคุยกับคุณ โชคดีที่ภูเก็ตเต็มไปด้วยคนที่เป็นมิตรและนักท่องเที่ยว จึงไม่น่าเป็นเรื่องยาก หนึ่งในหน้าที่หลักของการพูดคุยสัพเพเหระคือการเติมเต็มช่องว่างด้วยบทสนทนาที่สุภาพ จนคุณกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง แค่นั้นเอง ดังนั้นจงพูดเฉพาะเรื่องในชีวิตประจำวัน ที่ใคร ๆ เข้าถึงได้และไม่ต้องจดจำอะไรเช่นพูดถึงว่าอากาศสภาพแวดล้อมเป็นยังไง แต่อย่าได้เอ่ยถึงภาวะโลกร้อนเป็นอันขาด โลกนี้มันเฮงซวยอย่างงั้นแหละ เรื่องในทีวีก็ต้องพูดได้แต่เรื่องดีเท่านั้น หรือพูดถึงต้นไม้ที่ปลูกไว้แต่ห้ามพูดถึงว่ามันช่วยเยียวยาจากสายสัมพันธ์เก่า และมันยังคงทำให้คุณร้องไห้ก่อนนอนไม่หลับ และคิดถึงสมัยที่ยังรักคุณอยู่ ทั้งที่ในตอนนั้นเขาบอกว่าใช้ปากให้เธอคนเดียว ที่ไหนได้ทำให้คุณติดโรคเริมจากปากเธอ สัตว์เลี้ยงก็เป็นอีกหนึ่งอันที่น่าพูดถึงและใช้เริ่มต้นบทสนทนาได้ ถ้าสัตว์พวกนั้นตายดีและแก่ตาย แต่ผมเลือกอาชีพผิด ผมอยากแก่ตายผมเคยพูดกับเพื่อนร่วมงานเขาบอกว่าผมเลือกผิดอาชีพแล้ว ยิ่งเราพูดกับใครมากขึ้นก็ยิ่งปิดบังตัวตนที่แท้จริงได้ยาก'

ในมือผมมีหนังสือชวนคุยพร้อมนั่งริมหน้าต่างเครื่องบิน

แอร์โฮสเตสกำลังเข็นรถเข็นเครื่องดื่มตรงมาที่ที่นั่งริมหน้าต่าง คนนั่งริมทางเดินเอื้อมแขนลงไปตรงทางเดินรอรับกระป๋องที่กลิ้งร่วงออกมาจากรถเข็น สาวนางฟ้าบนเครื่องบินมือใหม่เคอะเขินรวมกับความตื่นเต้นในรอบบินเช้าที่ไม่ได้นอนของตัวเอง

"ไม่เป็นไร ผมรับอันนี้ได้" ชายเสื้อแจ็กเกตสีส้มบิลลี่เก็บกระป๋องพร้อมพูดบอกแอร์โฮสเตสตรงทางเดิน เขายกกระป๋องขึ้นแสดงให้เห็นว่ากระป๋องที่ฟู่ ๆ โอเคสำหรับเขาผมได้แต่มองคนคนนั้น ถือกระป๋องอันนั้นโดยที่เรารู้ว่าเขาจะต้องตกใจกับน้ำที่ฟู่ใส่หน้าแน่ ๆ 'ถ้าคุณอยากคุยเรื่องสายสัมพันธ์เก่าให้ใครสักคนฟัง ขอให้คุยกับเพื่อนที่สนิทจริง ๆ ผมคิดเรื่องนี้และผมก็รู้ว่าผมชวนคุยได้' ผมคิดเรื่องพวกนี้ซ้อนกันระหว่างจะเตือนชายที่นั่งริมทางเดิน

"จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณทำกระป๋องน้ำอัดลมหล่นหรือเขย่ามัน ใช่มั้ยหล่ะ" บิลลี่หันมาหลังจากเห็นแซมสังเกต

"นี่ผมจะแสดงเคล็ดลับให้ดู" บิลลี่ใช้ปลายนิ้วจับด้านบนของกระป๋องค่อย ๆ หมุนมันจากด้านบน "อะไรบางอย่างเกี่ยวกับแรงหนีศูนย์กลางดึงฟองอากาศจากด้านในกระป๋อง และหยุดมันไม่ให้ระเบิด เราไม่อยากให้ตัวเองตกใจใช่มั้ย"

"ได้ผลมั้ยครับ" แซมถาม

บิลลี่ใช้ปลายนิ้วชี้เกี่ยวฝากระป๋องเปิดอย่างมั่นใจ และยกกระป๋องขึ้นดื่ม

แซมประทับใจในวิธีที่รอบคอบของบิลลี่ เขายิ้มอย่างยกย่องดีใจที่มีคนอธิบายบางอย่างฉลาดและเข้าใจง่าย "เยี่ยมเลย"

"รู้ไหมว่าใครสอนผม" บิลลี่ถามแซม

แซมตอบโดยการนิ่งเงียบสงสัย

บิลลี่ชี้นิ้วขึ้นไปด้านบนเขาหมายถึงพ่อที่เสียไปแล้ว "เขาชอบทำจนเป็นนิสัย ทุกครั้งที่เขาเปิดกระป๋อง แทบจะทำโดยไม่มีใครรู้ตัว ผมเคยถามเขาครั้งหนึ่ง มันเป็นวิธีของเขาในการเตรียมพร้อมรับเรื่องต่าง ๆ ฉลาดดีใช่มั้ยหล่ะ"

ไม่ว่าบังเอิญหรือไม่บังเอิญผมว่าการเจอบิลลี่เป็นเรื่องที่เจ๋งชะมัด แซมคิดแบบนั้น

"ผมขายน้ำตาลให้โรงงานคู่ค้า นายรู้ใช่มั้ยบริษัทน้ำตาลในไทยใหญ่ใหญ่มีห้าที่" บิลลี่ชูห้านิ้วกับยกแขนขวา "ถ้ามีเจ้าที่หกเข้ามาเมื่อไหร่ แล้วทำราคาโปรโมชั่นแก่บริษัทคู่ค้า ทั้งห้าที่จะฮั้วกันให้ราคาต่ำกว่ามาตรฐานจนกว่าบริษัทเปิดใหม่สู้หนี้กับกดราคาไปมากกว่านี้ไม่ไหวก็เจ๊งไปก่อน และผมคือหนึ่งในตัวแทนห้าเจ้านั้น" บิลลี่แนะนำตัว

แซมอึ้ง ถึงแม้เขาจะรู้ดีอยู่แล้วว่าที่นี่เป็นที่แห่งเส้นสายแต่บิลลี่รู้วิธีการทั้งหมด บางอย่างเราจะไม่รู้ว่าบทสนทนานี้จะพูดไปทำไมแต่บิลลี่คือคนคนนั้นที่เขาเจ๋ง ตั้งแต่พูดคำแรก

"เจ๋งใช่มั้ย เรารู้ว่าอะไรถูกและผิด แต่ถ้าคุณอยู่ในทุนนิยมก็รู้อยู่แล้วว่าการรวยไม่จำเป็นต้องมีความรู้สึกแบบที่อดัม สมิทบอกผมแค่ไปคุยให้อีกที่หนึ่งปิดตัวได้แล้ว เรารู้อยู่แล้วว่าวงล้อแห่งความยุติธรรมหมุนช้าใช่มั้ย ผมหวังว่าเรื่องนี้จะจบได้โดยเร็ว เพราะทางออกของพวกเราคือการประนีประนอม จะไม่ดีใจที่ต้องมีผม ผมพูดแบบนั้นตลอดเพราะทางออกที่ดีที่สุดคือการประนีประนอม คู่นอนผมบอกว่าการประนีประนอมไม่มีถูกไม่มีผิด ถ้าไขมันของเด็กและคนที่เป็นเบาหวานชนิดที่สองตอบได้อ่ะนะ… เมื่อเสียงสงครามกัมปนาทให้ได้ยิน จงสวมวิญญาณเพื่อวิ่งเข้าใส่"

""เชคสเปียร์"" เราทั้งสองพูดพร้อมกัน

"ในที่สุดก็เจอคนฉลาดบนเครื่องนี้ใช่มั้ย" บิลลี่พูดย้ำกับแซม

"มีคนโครเอเชียคนหนึ่งบอกความลับผมมา ว่าถ้าอยากแก้ปัญหาอะไรก็ตามต้องมองที่รากของปัญหา ดูคนเหล่านี้สิ พวกเขาไม่ได้อยากได้เครื่องบิน แล้วรับความเสี่ยงในการทำประกันเครื่องบินตกหรืออยากพุ่งชนตึกเพื่อเป้าหมายคนบางกลุ่ม คนพวกนี้อยากเคลื่อนที่ในพริบตา สมการความเร็วแสงยังไม่ถูกแก้ถ้าคุณแก้ได้ผมบอกให้คุณได้เงินเป็นตัน มนุษย์น่าเบื่อและทำเรื่องโง่เง่าจะตาย เหล้าที่มีทั้งหมดบนเครื่องไม่เพียงพอสำหรับจะเมาก่อนเครื่องบินพุ่งชนโลก พวกนี้ต้องการให้เราสับสน เจ็บปวดและโดยเราไม่รู้ตัว"

บิลลี่พูดถูก มีแค่วีไอพีเท่านั้นถึงจะได้กินเท่าไหร่ก็ได้ ใครกับอะไร ที่ไหนเมื่อไหร่ ทุกเรื่องมีคนได้ประโยชน์ทั้งหมด ชีวิตผมราวกับมดตัวหนึ่งในเศษเสี้ยวของจักรวาลที่เงียบงัน แซมคิดแบบนั้น เราแยกกันหลังเครื่องลงจดที่สนามบินในภูเก็ตนามบัตรของบิลลี่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสแล็คของแซม ทุกคนทุกอย่างกำลังยุ่งกับการทำตัวให้เป็นปกติ แต่สำหรับบิลลี่นั้นไม่เลย

ปกติผมมีกำแพงที่จะรู้จักคนอื่นกับบิลลี่ผมรู้สึกว่าไม่เลย เหมือนคนที่เราคุยได้และรู้จักตั้งแต่เด็ก นานเท่าไหร่แล้วที่เราติดอยู่ในหลุมที่คิดว่าเราจะช่วยเหลือตัวเองได้มันไม่เคยได้ เหมือนถ้ายิ่งอ่านหนังสือเราจะยิ่งเข้าใกล้ความสมบูรณ์แต่ไม่เลย ยิ่งทำให้เราไกลออกจากความสมบูรณ์สู่การขาดและซื้อเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่เราจะไม่ได้ห่อเหี่ยวตอนคนอื่นไม่ได้มีความสุข

เรามีความหมายต่อคำว่าสบายดีต่างกัน

แซมต้องมาดูเศษซากของการระเบิดรถยนต์เพื่อตีมูลค่าที่ต้องชดใช้ไปกับชีวิตบนคันรถ เรารู้อยู่แล้วว่าราคาของชีวิตมาจากข้อตกลงเพื่อนผมพึ่งฆ่าตัวตายไปนั้นอาจจะเป็นเหตุผลให้ผมมาเที่ยวในทริปบริษัท หลังจากเหตุการณ์เครื่องบินในวันนั้นได้ทำให้ผมระบายความในใจ ไม่งั้นมันจะสะสมไปเรื่อย ๆ หาทางระบายออกไปบ้าง เราจะได้กลับสู่การคุยสัพเพเหระอีกครั้ง ไม่เคร่งเครียดกับชีวิตในช่วงที่เรามีสายสัมพันธ์และคิดถึงอดีตมากเกินไป

ข้อตกลงของเพื่อนผมคนนั้นห่วยฉิบหายราวกับชีวิตเขาไร้ค่า ผมถึงกับเก็บตัวอยู่ในห้องอีกสองสัปดาห์โดยที่รู้ว่าทุกคนในภูเก็ตทุกคนต้องตาย รับรองว่าเราจะได้เห็นชีวิตบีบแตรเข้าใส่หูเข้าสักครั้งสองครั้ง คุณอาจจะไม่เข้าใจว่าชีวิตจะบีบแตรใส่หูคุณเมื่อไหร่ อาจจะเป็นตอนที่คุณโดนรถยนต์ชนแล้วหนีตัวคุณปลิวแล้วร้องไห้ตะโกนถึงวันในอดีต หรือตอนที่กินยาจิตเวชของเพื่อนแล้วใบหน้าเพื่อนวัยเด็กคุณหายไป หรือตอนเป็นเนื้องอกที่แผ่นหลังโดยที่คุณต้องมาลุ้นว่าเซลล์นั้นเป็นเนื้อดีหรือเป็นเนื้อร้าย ถ้าเป็นอย่างหลังผมขอเสียใจด้วย คุณอาจจะต้องทำคีโม และไว้ทรงผมแบบบรูซ วิลลิส

"ถ้าไม่ติดอะไรนอกจากนี้แล้วที่เหลือทุกคนซื้อโลงรอไว้ได้เลย"

ทุกอย่างหยุดนิ่ง

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาโลกของผมถูกแบ่งให้บิลลี่ อีกไม่กี่เดือนจะฮาโลวีน ผมไม่แน่ใจว่าผมจะถูกหลอกหลอนโดยคนบนถนนหรือจากตัวตนผมในอดีต ตั้งแต่ผมมีภาพยนตร์ไว้ดูที่ห้องผมก็ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับตัวเองในอดีต เราสามารถมองเรื่องเล่าคนอื่นได้โดยไม่มีอะไรมาเกะกะสายตา หน้าตาปกติของความทรงจำถูกบันทึกในรูปแบบบิตเป็นช่องสี่เหลี่ยมของสี และมนุษย์จะไล่อารมณ์รับรู้และถูกกระตุ้นความทรงจำความรู้สึกผ่านการเปลี่ยนสีแบบกะพริบตาของจอแอลอีดี เวลาที่เราจะดูเรื่องคนอื่นเราจะได้ถูกเป็นทริปที่เดียวที่เราจะได้ออกจากความหดหู่ของชีวิตตัวเอง ทุกคนในเมืองนี้รู้ว่าทุกอย่างเป็นของชั่วคราว แย่หน่อยที่เราต้องปรับตัวตามสภาพ

ใจผมสลายเลยนะ ที่ความรู้สึกและความสามารถโต้ตอบที่เราเคยมีตั้งแต่ยุคน้ำแข็งเหลือเพียงการขยับและเขียนตัวอักษรลงไปในโทรศัพท์ หนึ่งอาทิตย์ถัดมา ตลอดมื้อเย็นผมเลิกนึกถึงที่นั่งว่างเปล่าตรงข้ามในห้องตัวเองไม่ได้ พวกเราพยายามหากิจกรรมยามว่างอย่างเรียนล้างฟิล์ม และเขียนหนังสือมันไม่ได้ค่อยทำให้บาปของเราลดลงจากสิ่งที่เราเคยเป็น

ฮวนเป็นคนที่เราพึ่งเจอไม่นาน ตอนแรกเราเป็นเพื่อนกันจากการเจอกันที่สาธารณะ แต่ผมพึ่งรู้งานอดิเรกเขาว่าเขาชอบขโมยกระเป๋าเงินที่สนามบิน มันเริ่มมาจากการอยากดูคนบริเวณสนามบินจากลาและพบกัน หลังจากนั้นฮวนกลายเป็นความวุ่นวาย ปีนี้ฮวนไปสนามบินและโดนคนจับได้ก่อนเราจะเริ่มแผนการ ทำเอาที่เหลือยุ่งยากไปหมดกับการหาทนายมาช่วยฮวน

ไม่มีใครรอดพ้นสายตาของเขาไปได้ เขาคือพระสันตะปาปาแห่งสปริงเบรกและบัญชาของเขาถือเป็นคำขาด บิลลี่เป็นคนที่มองเห็นทุกอย่าง เรื่องเหล่านี้ เรามีกฎแปลก ๆ ในการอยู่ร่วมกัน หลังจากที่แซมย้ายมาอยู่กับบิลลี่ ประมาณหนึ่งปี ชีวิตผมเปลี่ยนหน้ามือไปเป็นหลังมือ

พวกเราทั้งผมและบิลลี่อ่านหนังสือกันเยอะมาก ๆ ชีวิตผมคือการเรียนรู้ที่จะเล่น ความผิดพลาดในบางครั้งมันอาจจะเป็นอันตราย ต่อผู้คนที่อยากปกป้องมัน ไม่ว่าที่ไหนมันก็อันตรายทั้งนั้น บางครั้งอันตรายก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องเลือกว่าอยากเสี่ยงอะไรๆ

ความสามารถในการจำทุกอย่างก็แย่ลงเรื่อย "วีธีการจดจำที่ดีขึ้น" เป็นหนังสือที่ผมซื้อหลังจากนั้น ช่วงเวลาที่ผมอยู่กับบิลลี่ผมเริ่มจดทุกอย่างมากขึ้น การจดเหมือนเครื่องกระโดดข้ามเวลา แต่น่าเสียดายที่สิ่งพวกนี้ไม่ใช่ความทรงจำแต่เป็นความพร่ามัวของการตีความ ผมแทบจำตัวเองไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครหรือไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง และถ้าผมไม่ระวัง สักวันสิ่งที่ผมบันทึกเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเถ้าถ่านเหมือนกระดูกและร่างกายผมสักวันหนึ่ง เรื่องตลกนี้ไม่เหมาะให้การกับเป็นพื้นที่ฝึกความทรงจำ เพราะยิ่งจำได้ดีเท่าไหร่ความสามารถในการไล่ลำดับเวลาในสมองจะทำให้เราไม่คุ้นชิน กับเกิดภาวะลักลั่นในตัวตน

วิธีการจำที่ดีขึ้นเรื่อย จากการแข่งขันของนักจำ ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ใช้เทคนิคที่เรียกว่า "จดจำสถานที่" ตัวอย่างเช่นถ้าคุณอยากท่องตารางธาตุตามลำดับได้ก็ให้สร้างสถานที่ในความทรงจำขึ้นมา อย่าง เอช ไฮโดรเจนก็อาจจะวางน้ำไว้บนเตียงเยอะ ๆ เตียงก็ทำจากน้ำส่วนขาโต๊ะก็ทำจากลูกโป่งเพื่อให้เราจำลูกโป่งฮีเลียมได้ แล้วไล่ไปตามรูปแบบที่เป็นลำดับ เราแค่ต้องหลับตาลงเดินผ่านสถานที่สักแห่งที่เรารู้จักเป็นอย่างดีและจัดวางสิ่งของที่เราอยากจดจำไว้ในใจ เราไม่มีทางปฏิเสธความทรงจำได้ จิตของเราถูกปิดทับความจริงไปโดยสิ้นเชิง

เสียงในหัวผมชนกันไปหมด การเชื่อมโยงของคำและระบบทางภาษา มันเป็นรูปแบบการทำงานพื้นฐานของความคิด เพื่อทำให้รูปแบบทางภาษากระจายตัวและทำงานกับข้อมูล เสียงในหัวเป็นทั้งการทดลองและการวางแผน ก่อนที่จะนำเสนอบางอย่างในหัว เกิดเสียงในหัวบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงในหัวช่วยเราพูดคุยภาษาที่ง่ายมากขึ้น เสียงในหัวช่วยเราเรียบเรียงเรื่องราวของชีวิต บางคนใช้เรื่องที่เล่าตัวเองในชีวิตบอกและให้กำลังตัวเองบางอย่างมันก่อรูปร่างของความเข้าใจแบบภาษาว่าผมเป็นใคร ทั้งหมดของบุคลิกที่ผมเป็น บางทีมันก็ช่วยผมมากๆ แต่บางทีมันก็ทำให้ผมจม มันทำให้เราแต่งเรื่องแย่เกี่ยวกับตัวเอง หลงผิด และแทนที่ความทรงจำด้วยความก้าวร้าว ในที่สุดเราก็จะรู้ว่าการเติมคำลงไปในบทสนทนาของความคิดมีผลต่อสุขภาพ ทำให้เกิดความเครียด จริงๆแล้วความเครียดมีรูปแบบต้องประสงค์ในความทรงจำ แต่ในความคิด ความเครียดกับเล่าเรื่องตัวเองซ้ำได้

เรามีเครื่องมือควบคุมความคิด เพื่อเกิดระยะทางสายสัมพันธ์ และสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านั้นคือพิธีกรรม เราชอบที่จะถูกควบคุมเพราะถ้าทำแบบนั้นเราจะรู้สึกว่าความคิดควบคุมเราอยู่ แต่เราสามารถสร้างกฎของสิ่งแวดล้อมได้ รูปแบบของการกระทบต่อเนื่องทุกกิจกรรมในแต่ละระยะเวลา จะทำให้เรามีคำในหัวลดลงเมื่อเสียงในหัว สิ่งที่เราทำขณะออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาคือคุยกับเสียงในหัวของตัวเอง รูปแบบของพฤติกรรมที่จะเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของเสียงในหัว

ที่ที่แย่ในความทรงจำจะสามารถใช้ความทรงจำเป็นอะไรก็ได้ ผมรู้สึกเศร้าที่ต้องออกจากความทรงจำทุกครั้ง ผมอ่านบันทึกของผมอ่านจนมาถึงช่วงท้าย ตัวเองจนใกล้จบทำให้ผมหดหู่บ้าง ในท้ายของวันเราอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องผิดธรรมชาติที่เราพยายามจะรักษาบางอย่างไว้ให้คงอยู่เป็นอดีตในหัวของเรา อาจจะไม่เหมือนที่เราเคยจำและยังไงในท้ายของวันทุกอย่างย่อมบิดเบือนเสมอเพราะเมื่อเราเจอวันพรุ่งนี้อย่างน้อยเราจะได้คาดหวังว่ามันจะอยู่เพียงวันนี้ และมีพรุ่งนี้ที่ปลอดภัย เพ้อฝันต่ออีกเพื่อที่จะได้มีวันที่แย่แค่ในอดีต

แต่ที่แย่ที่สุดของเรื่องราวทั้งหมดคือ บิลลี่รู้วิธีทำไดนาไมท์จากน้ำตาลค่าพลังงานของน้ำตาลสูงอยู่แล้ว ที่เหลือคือวิธีการจุด และจะให้มันระเบิดที่ไหน เราปฏิวัติสิ่งที่เคยมีเพื่อปลดปล่อยคนเป็นอิสระจากบาป ไม่นานนักหลังจากที่พวกเราคิดและมีคนหลายคนเข้ามาช่วย ผ่านสังคมออนไลน์

ฮวนเสนอไอเดียหลังจากที่เขาไปทำงานเป็นภารโรง โรงเรียนประจำจังหวัดภูเก็ตและเจอรายงานเกี่ยวกับวงแหวนไฟตามแนวการเคลื่อนตัวของโลก เจ้าของโครงงานเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในโรงเรียน ที่จริงฮวนอ่านทั้งหมด แต่การระเบิดวงแหวนไฟ จะกระตุ้นและเป็นผลผลักดันต่อการเลื่อนตัวของเปลือกโลกอาจจะทำให้แผ่นดินไหวได้ประมาณ ห้าถึงหกริกเตอร์และนั้นก็จะเกิดสึนามิ โคตรเจ๋ง เราจะได้เรียนรู้ภูมิศาสตร์ผ่านการทดลองจริง

การเริ่มต้นถอยหลังวันที่ 1 เริ่มนับจากวันที่ 19 ธันวาคมปี 2547 พวกเราต้องการเห็น การหนีเอาชีวิตรอดไม่เห็นจะน่าอายตรงไหน อย่าพยายามเป็นผู้กล้าเลย คนในกลุ่มมีคนสนใจและบางคนเป็นนักประดาน้ำ ไม่มีใครรู้ทั้งหมดว่าเราจะทำอะไร คนที่เหลือรู้เท่าที่รู้ก็พอแล้ว บิลลี่เป็นคนสั่งการ ที่เหลือแซมจะคอยตามเช็ดตามล้างทั้งหมด พระเจ้าคงบ้าไปแล้ว เขาไม่เคยได้ยินเสียงของเด็กเหล่านี้เลย

บิลลี่แอบไปถ่ายฟิล์มแถวป่าเกือบโดนจับได้ แต่ก็ได้แผลมา ทุกวันเรามีเรื่องน่าตื่นเต้น บางทีเราก็ซื้อปืนมาป้องกันตัวไว้

ภาพกำลังลอยอยู่ในน้ำยาคงสภาพ

"คุณเร่งกระบวนการไม่ได้หรอก" บิลลี่บอกผมในห้องล้างฟิล์มสีแดง

แซมพยักหน้ารับรู้ข้อมูล

"ไม่ต้องห่วงหรอก คุณรู้เท่าที่จำเป็นต้องรู้ก็พอแล้ว"

เป็นเรื่องที่บิลลี่พยายามบอกใบ้แซม

"นี่มันเป็นก้าวใหญ่ที่สำคัญมาก แต่วงล้อจะหมุนช้ามาก เราต้องกลับมาดูราโชมอนหรือปริศนาที่เราจดจำอยู่ตลอดว่าเราพลาดสิ่งไหน หรือสิ่งไหนสร้างเรา เรามีแนวโน้มที่อยากกลับไปหาอดีต ความเศร้าและความเสียใจมักรอเราอยู่ที่นั่นเพื่อลากเราลงไป ชีวิตผมกลายเป็นปริศนาของการรับรู้ โลกนี้ไม่มีอัจฉริยะ มีแต่คนด้นสดอัจฉริยะ เราต้องทำเรื่องพวกนี้ให้เสร็จ เวลาเราย้อนกลับมาและนี่คือสิ่งที่เราทำ เราต้องไม่จมดิ่งสู่ความซับซ้อน ทั้งหมดที่พูดต้องเรียบง่ายและละเอียดอ่อน ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่นายอยากทำก่อนลาโลก รายการของนาย รายการของเรา"

ทั้งหมดคือสิ่งที่บิลลี่บอกแซม แต่หลังจากที่แซมรู้ว่าเราจะระเบิดแนววงแหวนไฟ แซมอยากให้บิลลี่มอบตัว และเขาก็โทรแจ้งตำรวจ แต่ไม่มีตำรวจที่ไหนเชื่อ แซมต้องแจ้งหลักฐานเรื่องรอยแผลของการทำร้ายผู้หญิง จนตำรวจเรียกแซมไปคุย แต่คนในกลุ่มก็ห้ามแซมไป ถึงแม้คนในกลุ่มจะมีตำรวจอยู่ด้วย ต่อให้ไปโรงพักก็อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้เป็นวันศุกร์แล้ว พรุ่งนี้เป็นเวลาที่บิลลี่ต้องการจะล้างหน้าตักของความผิดบาปของมนุษย์ทั้งหมด

สำหรับแซมทั้งหมดมันบ้าเกินไป ผมคิดว่าเวลาที่ใช้อยู่บนโลกนี้บ่งบอกตัวผม แต่เปล่าเลย มันกำลังดำเนินต่อไปโดยแทบไม่จำเป็นต้องมีผมเลยเสียด้วยซ้า ในที่สุดผมก็เกลียดหนังสือ มันทั้งสร้างตัวผมและทำลายตัวผม การกระทุ้งความทรงจำ ความเจ็บปวดและความทรมาน แซมเลือกที่จะเข้ามอบตัวตอนตีหนึ่งของวันเสาร์และพยายามอธิบายกับเจ้าหน้าที่