webnovel

การร่วงหล่นที่ใกล้เข้ามา Down Will Come

ความทุกข์ของทุกคน

พวกเรารู้จักกันในคิปป์หมดเลยเป็นเรื่องลำบาก เพราะการเรียนรู้ทำให้นึกถึงการไม่หยุดหนิ่งของลำดับขั้นความรู้ต่างๆ เหตุผลและบทกวี จินตนาการและปัญญา สำหรับการเป็นเด็กในคิปป์ทีม ต้องเรียบเรียงกระบวนการคิดเพื่อรับมือกับเรื่องใหญ่ ๆ ของความรู้อย่างจักรวาล เช่นเดียวกับเรื่องใกล้ตัวอย่างเรื่องจิตวิญญาณ การพูดได้เกินสามภาษาหรือมากกว่าเป็นเรื่องปกติของที่นี่ เพราะการอ่านและการเรียนภาษาที่ตายไปแล้วหรือวัฒนธรรมที่ต่างกันมากเป็นเรื่องความสมมาตรภายในใจและความสนใจตามแต่ปัจเจกบุคคล เด็กเหล่านี้ไม่สามารถทำอย่างหนึ่งและไม่ทำอีกอย่างหนึ่งได้ เราไม่สามารถอยากเรียนวิทยาศาสตร์ได้ถ้าไม่ทึ่งและไม่รู้สึกอัศจรรย์ใจ เราไม่สามารถเชื่อการสร้างของพระเจ้าได้ ถ้าไม่เคยสัมผัสกับการสร้าง

วันที่พุธที่ 22 เป็นวันที่สามของสัปดาห์ โมเสกของจิตใจหายไป ไม่มีความหวังในการนำทางอารมณ์ถ้าอารมณ์ทั้งหมดถูกน้ำท่วมทับถมไปหมด การตะโกนและแสดงออกความรู้สึกกำลังสำลักน้ำเพราะพยายามพูดถึงสิ่งที่ตัวเองรู้สึก ลินหลับได้เพราะเสียงปืนที่ดังในหัวเมื่อวานแต่อาหารตรงหน้าในจานแบนเซรามิกสีขาวไม่ได้น่ากินขนาดนั้น ข่าวในโทรทัศน์ร้านอาหาร ยังพูดถึงฆาตกรรมและความเชื่อของคนแถวนี้อยู่ เริ่มมีการวางหุ่นหน้าบ้าน เพราะเชื่อว่าอาจจะเป็นบาปที่ลงมือฆ่า ลินเหนื่อยใจกับความคิดของคนอื่นและตัวเอง ทั้งยังไม่ชอบตัวเองที่เบื่ออาหารตรงหน้า ลินนั่งอยู่ข้างวิวที่มากินอาหารเช้าเป็นเพื่อน

"ดูเหมือนมีแต่คนต้องการจะเชื่อในแบบของตัวเอง" วิวพูดพร้อมดูข่าว

ลินถอนหายใจ เธอวางเงินข้างจานพร้อมหยิบเบคอนแห้ง ๆ ไปกิน

"จะไปไหน" วิวถาม

"หาที่กินข้าวเช้า" เธอพูดพร้อมชูเบคอนกรอบน้ำมันแห้งเปื้อนปลายนิ้ว

"ลิน" วิวถามซ้ำ

"…ฉันไม่รู้" ลินต้องเขียนปราศรัยก่อนฝังศพพ่อตัวเอง ลินไม่อยากอยู่ร้านอาหารตอนนี้กับคนอื่น เธอโยนเบคอนทิ้งถังขยะก่อนออกจากร้าน ถอนหายใจและผลักประตูออกไป อีกชั่วโมงครึ่งเธอต้องพูดบางอย่างที่ทำให้ชีวิตพ่อมีค่าขึ้นมาแล้วทำให้คนร้องไห้ เพื่อให้สมกับที่เป็นงานศพ

สองชั่วโมงถัดมา สิบเอ็ดโมงเช้า ในงานศพเต็มไปด้วยบุคคลภายนอก ประชาชนทั่วไป และคนรู้จักไกล ๆ บางคนก็คุ้นหน้า บางคนลินพึ่งมารู้ที่หลังว่าเป็นญาติห่าง ลินเดินมาจากทางเข้าประตูโบสถ์ ตอนนี้มีแต่เจ้าภาพงานศพพูดก่อน แล้วคนสนิทก็มองดูใบหน้าครั้งสุดท้ายไปเรียบร้อยแล้ว ลินสังเกตทุกอย่างในงานเหมือนเกมจับผิดภาพ สอดส่องและเฝ้าระวังหลายจุดเท่าที่จะเห็นได้

คนที่มาที่นี่คือคนที่มีผลประโยชน์กับพ่อในสายสัมพันธ์ หรือเรื่องราวก่อนหน้านั้นทำให้พวกเขาต้องมาที่นี่ พิธีที่นี่เริ่มไปสักพักแล้ว ภายในใจลิน เธอวิ่งจนไม่รู้จะไปทางไหน รู้สึกบ้าคลั่งตลอดภายในสังคม เราทรมานที่ต้องโดดเดี่ยว

"เสียใจเรื่องพ่อด้วยนะ" เป็นประโยคที่ได้ยินเกินสิบครั้งในงานนี้ แค่เปลี่ยนฉันทะในประโยคแต่ใจความยังเท่าเดิม

ลินทำได้แค่ตอบว่า "ขอบคุณมากค่ะ" ไม่น่าเชื่อว่าประโยคที่ทุกคนบอกว่าเสียใจทำลินสับสนในภายหลังว่า 'ทุกคนเสียใจกับเรื่องไหนกันแน่' ที่เหลือบางคนก็จะมอบดอกไม้หรือพวงหรีดมาให้ ก็จะมีพนักงานคอยดูแลเรื่องนี้ทำหน้าที่อยู่

มีเสียงซุบซิบในงานศพหลังมีภาพเกี่ยวกับพ่อเผยแพร่ เป็นผู้หญิงที่ผับในพื้นที่ท่องเที่ยว พอพ่อเสียชีวิต ขายการรูปพวกนี้ยิ่งทำให้ข่าวนักการเมืองคนนั้นน่าสนใจ ลินได้ยินมาบ้างเพียงแค่ "เขาว่ามีลูกเยอะกว่าทีมฟุตบอล"

ลินทำได้แค่เพียงยอมรับความอึดอัดกับเสียงซุบซิบภายนอก น่ากังวลและที่เหลือก็แค่เงยหน้าเข้าไว้ ถึงแม้จะต้องทนกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเท่าไหร่ก็ตาม 'เงยหน้าเข้าไว้ เงยหน้าเข้าไว้' ลินพูดซ้ำ ๆ ในหัวของตัวเองก่อนจะก้าวเท้าไปอยู่หลังโพเดียมเพื่อพูดถึงพ่อเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะคนในครอบครัว ลินเงยหน้ามองจุดเชื่อมชั้นที่สอง แสงที่ส่องเข้ามาทำให้คนข้างบนย้อนแสง ลินเห็นหน้าที่ก้มลงมาไม่ชัด เธอสังเกตและรับรู้และเริ่มพูดขึ้น

"พ่อฉันมีความหวังในการช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่แม้แต่วันที่ดี แต่มันจะมีวันที่มืดหม่นอยู่ข้างหน้า วันที่รู้สึกเหมือนตัวคนเดียว นั้นคือเวลาที่พ่อทำงานและทำให้ชาวเมืองภูเก็ตได้รับสิ่งที่ปรารถนา คุณต้องสัญญากับฉันว่าเราจะกอดความหวังไว้ให้แน่น เหมือนที่พ่อกอดฉัน เหมือนครอบครัวที่ช่วยเหลือกัน เหมือนคนสำคัญของชีวิต ให้ความจริงมีชีวิตอยู่ต่อ เราปวดร้าวเพื่อสิ่งที่คิดจะปกป้อง ความปรารถนาของฉันไม่ใช่แค่การให้ความหวังของพ่ออยู่ต่อ แต่ให้เพื่อนและคนรอบตัวที่รักเป็นความหวัง ผู้คนต้องการสิ่งนั้น เมื่อหันมองรอบตัววันนี้ ไม่ต้องการให้ลืมว่าพวกเราพามาได้ไกลแค่ไหน รู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังจะบอกลาเรา เต็มไปด้วยความกลัวที่จะนำสิ่งเล็ก ๆ และดีในแต่ละคนออกมา เราเสียคนที่จะมาบอกว่าเราเป็นได้แค่ไหน แต่เราจะยังคงจดจำและส่งต่อความหวังนี้ได้"

นั้นคือสิ่งที่ลินพูดในงานศพของพ่อตัวเอง เธอไม่พูดแม้แต่ชื่อและนามสกุลของพ่อ แต่ก็ได้รับเสียงตบมืออย่างปรี่ล้นผู้คนตีความว่าลินเศร้าเกินไปกว่าจะพูดถึงชื่อ แต่ด้วยสิ่งที่พ่อทิ้งไว้ให้ เราต่างอยากที่จะหลงลืมหลายเรื่องเกี่ยวกับคนที่เราเคยรักและตีความว่าแบบนั้น

ขณะที่คนเริ่มลุกเข้ามาดูหน้าครั้งสุดท้าย ทันใดนั้น มีชายคนหนึ่งลุกยืนขึ้นเป็นนักกฎหมายของพ่อ ที่เสื้อมีจดหมายถึงลินเขาลุกขึ้นขาเกร็งพร้อมตัวสั่นเหงื่อออกใน เสื้อคลุมหนาใส่หลายชั้นกับเสื้อกั๊ก เป็นเพียงผู้ใหญ่อีกหนึ่งคนในงาน แค่ตอนนี้ ในมือมีรีโมทตัวจุดระเบิด ลินเบี่ยงตาขึ้น คนเริ่มฮือฮาและกระจายออกจากคนที่ยืนขึ้น ที่ชั้นสองมีเสียงกรี๊ดและคนแยกออก ยกเว้นหนึ่งคนที่ยืนอยู่ก้มมองมาที่ลิน แต่นั่นมืดเกินไปกว่าจะเห็นหน้า ตำรวจรีบเคลียร์พื้นที่ให้คนออกภายในสิบวินาทีทันทีที่ประกาศ แต่เวลาที่ชุลมุนทั้งหมด การกดระเบิดเกิดขึ้นหกวินาทีเพียงหลัง มีเสียงกรี๊ดเกิดขึ้น

"ฉันขอโทษ"

จดหมายฉบับที่สี่

คิมหันต์เพลิงเหมันต์ร้นรนเผาจากภายใน จากเพื่อนแสนรัก

บรึ้มม!!!! ลินรีบดึงตัวเด็กที่นั่งด้านหน้าก้มหัวและปิดหูลง สติเรือนลางของลินเริ่มลุกขึ้นพร้อมควันที่ออกจากเสื้อ เสื้อผ้ารับความร้อนและไหม้ระเหยออกมา เธอรอดมาได้ งานศพกลายเป็นที่ที่มีความตายเพิ่มขึ้น งานศพเป็นอีกจุดเหตุการณ์หนึ่งที่คนลงมือต้องการ

ลินตื่นมาในโรงพยาบาล มีตำรวจมาเฝ้าหน้าห้องลิน เธอสลบไปตอนนี้ไม่ได้มีใครมาเยี่ยมเป็นพิเศษ ลินรีบเก็บของและดึงสายรอบตัวออก ตำรวจที่นี่ที่มาเฝ้า ลินสังเกตเห็นความต่างของคนที่มาเฝ้าได้ ที่นี่ไม่ใช่ตำรวจเพื่อเฝ้าแต่เป็นตำรวจสืบคดี ลินเดินออกไปออกจากหน้าประตูด้วยอาการดีแล้วค่อย ๆ ออกจากที่นี่หลังหนึ่งทุ่มของวัน

มีข้อความจากบีแมนเข้ามา ลินได้ที่อยู่จากห้องสมุดมาเรียบร้อยแล้ว ลินส่งที่อยู่ไปให้วิวหลังจากที่อยู่หน้าบ้านของผู้ต้องสงสัยแล้ว

เมื่อรถยนต์ของลินมาใกล้บริเวณบ้านที่อยู่ชานเมือง เป็นบ้านทั่วไปเรารู้ว่าตอนนี้ในบ้านอาจจะไม่มีคนอยู่ ลินตัดสินใจลงจากรถยนต์เพื่อเข้าไปทำความรู้จักกับสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ มันกลายเป็นไม่ใช่ความกล้า แต่เป็นความกลัวว่าน้องจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ความอยากรู้คำตอบนั้นคือบ้านหลังนี้ บรรยากาศพาร่างกายหนัก ลินค่อย ๆ ปิดประตูรถลงจากรถพร้อมปืน

บ้านหลังนี้ไม่ได้ล็อก มีเพลงเปิดอยู่ข้างใน ไฟสีเหลืองจากโคมไฟห้องต่าง ๆ เปิดอยู่ เพลงเปิดด้วยแผ่นเสียงและเครื่องเสียง มือสั่นและลมหายใจเบา ๆ หัวใจรัวกลองเสียงดัง บ้านหลังนี้มีศพนอนอยู่กับพื้นหนึ่งคนที่ห้องรับแขก ลินกดโทรหาเบอร์วิวและเปิดเสียงไว้ ระหว่างที่วิวยังไม่รับการเดินสำรวจแต่ละห้องเป็นทั้งเพื่อการหาน้องตัวเอง และตรวจสอบความปลอดภัย ศพผู้ชายใส่ชุดสีดำนอนอยู่คราบเลือดแห้งที่พื้น ลินอาจมาที่นี่ช้าไปเพียง สองหรือสามชั่วโมง

ลินผายปืนไปจุดต่าง ๆ ของแต่ละห้องที่นี่อันตรายและมีคนตายเรียบร้อยแล้ว

ปัง! เสียงปืนลูกซองดังออกจากรังเพลิง กระสุนเข้าที่หัวไหล่ขวาของลิน ชายใส่หมวกกันน็อคชุดสีดำกางเกงสีดำใส่ถุงมือเจอลินก่อน เลือดกำลังซึมไปจุดต่าง ๆ ของเสื้อลิน

ลินนอนกับพื้น แนวเพลงโซลกับแซ็กโซโฟนกำลังขับกล่อมให้ลินหลับ หลังแตะพื้นมือตะกายเอื้อมหยิบปืน ปืนถูกเตะออกจากมือลิน ชายที่ยืนเหนือร่างใช้มือขวาชี้ลูกซองมายังบริเวณท้องลิน

ปัง! กระสุนเข้าที่ท้อง เธอจุกกับบาดแผล ภาพที่มองเห็นเบลอแล้วก็หลับไป

เลือดที่กำลังไหลออกจากตัว ร่างกายที่ไม่คิดจะตื่นการทำอะไรหลาย ๆ อย่างกำลังจะจบลง ถ้าฆ่าตัวตายเราต้องไปนรก แต่ถ้าชีวิตเป็นนรกอยู่แล้ว การตายแค่เปลี่ยนรอยแผลเท่านั้น จากแผลในจินตนาการเป็นเลือดที่กำลังไหลออกจากตัวกระจายเป็นวง ตอนนี้ลินได้เจอกับแม่ในบาร์เก่า ๆ ที่มีนักร้องขับร้องอยู่ปราศจากเครื่องดนตรีเป็นเพียงดนตรีที่บันทึกไว้ เป็นพื้นที่บางส่วนก่อนสมองกำลังจะตาย การไล่ลำดับเหตุการณ์จะเกิดขึ้นที่นี่ที่สุดท้าย เหมือนหนังยาวที่รวดเร็วลงท้ายด้วยหนังสั้นก่อนที่ภาพจะดับไป จิตใต้สำนึกสร้างเรื่องสั้นนี้ก่อนลมหายใจสุดท้าย

"นึกว่าแม่เลิกสูบบุหรี่ไปแล้ว"

"พระเจ้าไม่ชอบคนล้มเลิกอะไรง่าย ๆ" แม่ของเธอเงยหน้ามองตาลิน "แต่ชั้นไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเหมือนเธอนะ"

"แม่รู้ด้วยเหรอ"

"ฉันเฝ้ามองแกอยู่ตลอดแหละ" แม่กำลังพ่นควันและใช้นิ้วโป้งดีดก้นบุหรี่เพื่อให้ส่วนที่ไหม้กระเด็นลงที่เขี่ยบุหรี่

ลินถอนหายใจ เฮอะในใจก่อนหันมามองแม่ตัวเองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

"แต่หนูเลิกล่ะนะ"

"โกหก" แม่ลินพูดขึ้น "เหมือนเป่าปี่ให้หุ่นยนต์ใช่มั้ย" แม่พูดพร้อมกับจ้องตาราวกับว่ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับลิน

แม่ลินรู้สิ่งที่ลินคิด "เรามาอยู่ที่นี่ได้ไง" ลินถาม

"ที่นี่คือที่ที่แม่พบกับพ่อ… เธอเคยมากินข้าวที่นี่นะ บ่อย ๆ ตอนเด็ก ๆ" แม่ลินพูดพร้อมกับจ้องตาเธอ "แต่เธอต้องกลับไป" การเรียบเรียงบาดแผลเป็นการช่วยเหลือครั้งสุดท้ายจากพระเจ้า ลินหายใจเฮือกใหญ่ตื่นขึ้นมา

ตอนนี้เธอได้สติกลับคืนมาตอนนี้เธอนั่งอยู่หลังรถพยาบาล ตำรวจสำรวจพื้นที่บ้านเรียบแล้ว มีการเก็บหลักฐานและเก็บศพแล้ว

"โชคยังดีนะที่เป็นแค่กระสุนยาง" วิวพูดขณะที่ยืนเอียงข้างให้ลิน

ลินเงียบและไม่ได้คิดจะตอบอะไร

"ซี่โครงกว่าจะหายอีกสองสัปดาห์"

ลินพยักหน้าตอบ

"เราเอาชื่อเจ้าของบ้านไปตรวจสอบแล้ว เขามีที่พักอีกที่ ตอนนี้ตำรวจขอหมายศาลและไปที่พักที่สองตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วแล้ว"

"ฉันหลับไปนานเท่าไหร่"

"สองหรือสามชั่วโมงได้"

"แล้วอีกที่เป็นยังไง"

"ไม่มีคนอยู่ ตอนนี้ตำรวจกำลังเก็บหลักฐาน ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ แล้วก็เอ็ม เสียใจด้วย"

"ฉันเข้าไปได้เมื่อไหร่"

"อีกสามชั่วโมง"

ลินเงียบตอบ ยังไงเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับตัวเธอเองเรียบร้อยแล้ว เธอนั่งรถไปกับวิว ในใจลินล้วนมีแต่คำด่า คำพูดด้วยกระจกที่แตกสลาย วัฒนธรรมที่กำหนดโครงสร้างพฤติกรรมเริ่มเปราะบาง ตาชั่งในใจพัง ก่อนหน้านี้มีแค่ความมืด ถ้าภายในแสงสว่างในประวัติดาวเคราะห์สีฟ้ากลายเป็นดาวแห่งความตาย

"ชีวิตเป็นยังไงบ้าง" วิวถามเรื่องที่พยายามจะทั่วไป

"ไม่มีแฟน แค่เรียนแล้วก็กลับบ้าน" เธอลงเอยเป็นสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจไว้ลินพูดแบบนั้น หายไปหมดแล้วรอยยิ้มพิมพ์ใจบนใบหน้า

"ชีวิตแทบไม่นานพอจะเก่งอะไรสักอย่าง" วิวเสริม

"ชีวิตฉันมีแต่วัฏจักรแห่งความรุนแรง และเสื่อมเสียตราบเท่าที่จะจำได้ ตอนแม่ชั้นตั้งท้อง พ่อไล่แม่ให้ไปทำแท้ง แม่หนีจากพ่อมาได้ฉันถึงได้เกิดมา…"

วิวสังเกตสีหน้าที่เล่าอย่างเรียบเฉยและสงสัยทำไมลินถึงเล่า แต่ก็ตั้งใจฟังต่อ

"พ่อแค่ทำให้ชีวิตชั้นยากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันแทบไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบสิ่งที่พ่อทำทั้งหมด มันยากเกินไปที่จะใช้ชีวิตต่อจากพ่อที่ทิ้งเรื่องปริศนา หรือการลงโทษไว้ให้ พ่อเคยบอกว่าฉันเป็นความอัปยศของครอบครัว ไม่แม้แต่จะให้ใช้นามสกุล สรุปคือพ่อให้ฉันอยู่ในนรก ที่ไม่ได้มีใครไยดี" ทั้งครอบครัวของลินไม่เหลือแล้ว ทั้งหมดเป็นการเดินทางไปอนาคตที่ไม่สามารถลืมอดีตได้ เธอยากตื่นจากฝันร้ายนี้แล้ว

"ทำไมถึงเล่าให้ฉันฟัง" วิวสงสัย

"เพราะเธอคือพี่น้องคนเดียวที่เหลืออยู่ เท่าที่ฉันรู้จัก" ลินตอบทั้ง ๆ ที่มองไปด้านหน้าคำตอบของลินเป็นเรื่องที่รู้กันลับ ๆ ตั้งแต่เด็กของวิวและลินนั้นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่วิวถึงยื่นมือเข้ามาช่วย ต่อให้สายสัมพันธ์จะบางแค่ไหน เกี่ยวข้องน้อยแค่ไหน นั้นก็เป็นหนึ่งช่วงชีวิตที่ได้ลงมือทำในสิ่งที่ตัววิวเองมองว่าควรจะต้องทำ รถยนต์ยังคงแล่นด้วยความรวดเร็วไปยังที่พักผู้ต้องสงสัย

ในปี 2545 เดือนพฤศจิกายน

ก่อนหน้านี้การทำคิปป์ทีมมีผลต่อโลกทัศน์ของชีวิต ลินเคยจัดการหลักสูตรค่ายเรียนเขียนโปรแกรม "Everyone Can Code" สำหรับลิน เธอคิดว่าถ้าหากต้องเลือกเรียน การเรียนเขียนโค้ดสำคัญกว่าภาษาต่างประเทศเสียอีก การเรียนเขียนโค้ดกลายเป็นภาษาระดับโลกไปแล้ว มันคือวิธีที่เราจะสามารถสื่อสารกับคนเจ็ดพันล้านคนได้ การเขียนโค้ดช่วยให้เรามีความสามารถในการเปลี่ยนโลกและจากมุมมองของลินมันคือภาษาที่สำคัญที่สุดอันดับสองและเป็นภาษาเดียวที่ใช้ได้ทั่วโลก

หน้าห้องวิจัยเตาปฏิกรณ์ พวกเราเช่าตึกสำนักงานและมันถูกสร้างในห้องเล็ก ๆ กำแพงไวท์บอร์ดรอบห้อง ไว้เขียนสมการและรูปทรงวิศวกรรม การผิดพลาดทำให้พวกเขาฉลาดขึ้น ห้องที่นี่เป็นเหมืองแร่ทางการวิจัยพลังงาน ทุกอย่างในห้องน่าหงุดหงิด แบตเตอรี่คือกุญแจสำคัญที่ส่งผลทางจิตวิทยาเบื้องหลังการผลิตพลังงานนี้ ทุกคนต่างเกรี้ยวกราดเมื่อผลลัพธ์หลังจากทำมาหกเดือนแล้วยังไม่ได้มีอะไรได้ดั่งใจ รากเหง้าของไอเดียเกินจริงและเราทุกคนต่างอยากเริ่มโปรเจคใหม่ ห้องนี้มีคนพักและวนเวียนที่นี่อยู่ตลอดเวลา คนที่เข้าต้องใช้คีย์การ์ดเข้า

พวกเราติดป้ายชื่อว่า ไฟท์คลับ (Fight Club) เพราะกฎข้อแรกในหนังสือคือ คุณไม่พูดถึงไฟท์คลับ และกฎข้อแรกของโครงการเตาปฏิกรณ์คือ เราจะไม่พูดถึงมันนอกประตูพวกนี้ หลังจากทำไปหนึ่งเดือนมันมีความเครียดมากอาจจะแย่ที่สุดสำหรับชีวิตพัฒน์ เบน โช ลินและบีแมน เพราะสร้างหม้อต้มแรงดันกับกลุ่มคนที่มีมันสมองสุดยอด ให้กำหนดการที่เป็นไปไม่ได้ ให้ทำงานที่เป็นไปไม่ได้ และอนาคตของคิปป์ทีมขึ้นอยู่กับโครงการนี้ ไม่มีใครได้นอนเต็มอิ่มตั้งแต่เริ่มโปรเจคนี้ เราจะไม่ได้เห็นการตื่นนอนบนโต๊ะแล้วบอกว่าวันนี้เป็นวันที่ดีมาก มีแต่คำว่าบรรลัยแล้ว ซวยแน่ทุกครั้งที่หันไปมุมมอื่นก็จะมีแต่อุปกรณ์ที่เป็นไปไม่ได้และยังหาวิธีแก้ไม่เสร็จ ส่วนพัฒน์จะชอบนอนฟังเพลงเทปที่คิมยองซูเอามาให้ เวลาที่ตื่นจะได้มองสิ่งที่เขียนบนกระดานกระจ่าง

ในคิปป์ทีมพวกเราทำโปรเจคลูนช็อต (Loon shot) บ่อยว่านั้นเพื่อบรรลุความล้มเหลว มีแค่เรื่องเกี่ยวกับเตาปฏิกรณ์ลงข่าว แต่จริง ๆ คิปป์ทีมล้มเหลวมากกว่านั้น เพราะทุกครั้งที่พวกเขามีเป้าหมายเขาจะเขียนเป้าหมายที่ (เกือบ) ทำไม่ได้ตลอด และที่ระเบิดเพราะจริง ๆ เราต้องการแบตเตอรี่ ที่มีโรงเรียนไหนมีแบตเตอรี่ที่สามารถเก็บพลังงานทั้งหมดได้ทันที ยิ่งล้มเหลวจะมอบทัศนะที่ไม่เพิ่มความเจ็บปวดต่อการตีความ

โครงการของคิปป์ทีมทุกอันทำจากงานที่ทำเสร็จ เรียกว่า Jit ย่อมาจาก (Just in Time) ไอเดียใหม่ไม่มีทางสมบูรณ์ ออกแบบอะไรใหม่และปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้วนำเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง บริษัทที่ทำกระบวนการนี้ได้เร็วที่สุดชนะ หลังจากนี้ก็จะเป็นสินค้าดิจิตอลในวงการซอฟต์แวร์ อย่างดั้มบล็อก และข้อมูลก็เป็นสารสนเทศมากขึ้นไม่ใช่สินค้าที่มีรูปลักษณ์ทางกายภาพ ลินเชื่อว่าสิ่งที่ทำในคิปป์ทีมจะเป็นการส่งต่อความสามารถสร้างสรรค์ในรุ่นถัดไป เป็นไปได้ว่า ณ ที่ไหนสักแห่ง อาจจะเป็นโรงรถ ในหอพัก หรือห้องทดลองหรือในการประชุมธุรกิจ เรื่องการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้นบางคนอาจจะรู้สึกเสียวสันหลัง แต่ลิน กลับเห็นเป็นแรงบันดาลใจ