webnovel

Chapter 1.4 ประจำวันอันเเสนสงบสุข(จบ)

"นี่ๆ เข้าไปคุยอะไรกับหัวหน้าเฟยมาหรอ?" พี่ไมร่ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ถามจินในตอนที่กำลังยืนเหม่อรอรถประจำทาง หลังจากทำงานเสร็จ

"เรื่องเมื่อสมัยก่อนๆนะ แต่ว่าพี่ไมร่าทำไมยังไม่กลับที่พักอีกหรอครับ? พี่ก็พักอยู่แถวนี้ไม่ใช่หรอ?"

"ก็นะ...พอดีมันเหงา เลยจะมาชวนไปดื่มที่หอสักหน่อย ได้ไหม?"

"ไว้รอบหน้านะครับ วันนี้ผมเหนื่อยแล้วด้วย"

"ไม่เห็นเป็นไรเลย จะค้างกับฉันสักคืนก็ได้ ไม่ว่าอะไรหรอก"

"เกรงใจครับ ผมไม่อยากไปเป็นขี้ปากชาวบ้าน"

"ถ้าอย่างนั้น...ฉันขอยืนรอจนกว่านายจะไปแล้วกันนะ"

"ซึ้งใจจัง!...มีสาวสวยมายืนรอรถเป็นเพื่อนผมด้วย บางทีตอนนี้ผมอาจจะเป็นชายที่โชคดีที่สุดแล้วก็ได้"

ไมร่ายิ้มตอบกลับมาพร้อมด้วยอาการเขินเล็กน้อย "ฉันละแปลกใจจริงทั้งที่นายมักจะขัดสนเรื่องเงินอยู่เสมอ แต่กลับพักอยู่ไกลจากที่ทำงานกับมหาลัย ทำไมไม่ย้ายมาอยู่ใกล้ๆล่ะ"

คำถามนี้ทำให้จินนั้นแปลกใจเล็กน้อย ปกติแล้วพี่ไมร่าจะไม่ถามเรื่องส่วนตัวของใครเลย ปกติจะคอยปฏิบัติตนอย่างเท่าเทียมกับคนอื่น สง่าและดูงดงาม ใครต่างก็มักจะหลงใหลในเสน่ห์กันทั้งนั้น แม้แต่ลูกค้าขาประจำที่มาร้านก็ด้วย...

"ที่พักแถวเวสมันแพงไม่ใช่หรอครับ เมื่อผมลองเทียบแล้วยอมเสียเวลาในการเดินทางหน่อย มันคุ้มกว่าและอีกอย่างผมชอบอยู่เงียบๆแถบชานเมืองแล้วมันสบายใจกว่า"

เมื่อนึกบางอย่างได้ที่มักสงสัยมาตลอด แล้วก็ถามบางอย่างออกไป "แล้วพี่ล่ะครับ ขนาดที่มีพวกแมวมองเข้ามาหาตั้งหลากหลายคนให้ไปเป็นนางแบบบ้างหรือดาราบ้าง ทำไมถึงปฏิเสธไป? ทั้งที่น่าจะเป็นโอกาสที่ใครๆต่างก็อยากได้...ไม่ใช่หรอ?"

เพียงแค่ที่จินถามมานั้น ทำให้เธอนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งแล้วก็ตอบกลับมา ด้วยใบหน้าที่เย็นชา "ไม่ได้สนใจ! มันก็แค่นั้นแหละ!"

คำตอบที่เหมือนขวานผ่าซาก ทั้งใบหน้าที่นิ่งราวกับไร้ความรู้สึก ทำให้จินรู้ได้เลยว่าเธอคนนี้เป็นคนที่ไม่ใยดีต่อสิ่งที่ตนไม่ได้สนใจ

จินไม่ได้ถามอะไรต่อจนกระทั่งรถเที่ยวสุดท้ายก็มาพอดี

"ถ้าอย่างนั้น ไว้เจอกันที่มหาวิทยาลัยนะครับ" จินบอกลาไมร่าแล้วรีบขึ้นรถทันที รถคันนี้เป็นรถเที่ยวสุดท้ายผู้โดยสารเลยมีน้อยมาก หรือจนแทบจะไม่มีเลย เป็นช่วงที่ดีในการคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งเรื่องดีและร้าย

จะว่าก็เหมือนว่าจะเคยโดนโกธรด้วยนิ...ที่ว่าจงใจแพ้เพื่อที่จะได้ออกจากวงการนักสู้ใต้ดิน ใครกันน้า~?....

จินนั่งคิดเพลินระหว่างที่นั่งรถเวลาก็ได้ล่วงเลยมาหลายนาทีจนกลับมาถึงที่พัก แต่ไม่รู้สึกตัวจนพนักงานขับรถเข้ามาบอก

"คุณลูกค้าครับ ถึงที่ปลายสายแล้วครับ นี่เป็นรถเที่ยวสุดท้ายช่วยลงไปด้วยครับ"

"ขอโทษครับ คิดอะไรเพลินๆไปหน่อย"

แทบไม่สังเกตเลยว่ามาถึงป้ายแล้ว เอาล่ะยังต้องเดินไปต่ออีกหน่อยเข้าไปยังที่พัก

ขณะที่เดินเข้าไปยังที่พัก ทางเดินที่เงียบเชียบ ดับแสงไฟที่ส่องลายทาง จะว่าไปคล้ายหนังสยองขวัญหลายๆเรื่อง ถ้าตอนนี้มีผีคลายออกมาจากมุมมืดคงจะน่ากลัวสุดเลย

จากมุมมืดๆนั้นไม่ใช่ทั้งผีหรือโจร แต่เป็นพวกวัยรุ่นที่มานั่งรวมกลุ่มราวสิบคน ตรงข้ามร้านสะดวกซื้อ

"มองไรวะ?!!!"

"เปล่าครับ"

หลีกเลี่ยงดีกว่า ตอนนี้เหนื่อยจนแทบไม่มีแรงแล้ว อยากกลับไปพักเร็วจัง

"ขอโทษที่ให้รอครับ ลูกพี่" เสียงที่คุ้นเคย มันเป็นเสียงที่จำได้ขึ้นใจ เขาคือพวกเดียวกับเมื่อตอนกลางวันนี้

" พวกมึงนี่ช้าชะมัด ใช้ไปซื้อบุหรี่แค่นี้นานเหลือเกิน"

"นี่มัน ไอ้คนที่เข้ามาอัดผมในเมื่อตอนกลางวันนี่ "

(ให้ตายสิดูเหมือนว่าความจะแตกแล้ว เอาไงดี?)

"อ้าว พี่ชายนี่เองพวกน้องๆของผมมันมาฟ้องว่าระหว่างที่กำลังทำมาหากินอย่างสุจริต โดนใครที่ไหนไม่รู้เข้ามาทำร้าย พี่ชายเองหรอกหรอ?"

"(สุจริตมาก!)" จินนึกในใจ

พวกคนที่นั่งๆอยู่เริ่มที่จะลุกเข้ามาล้อมหน้าและหลังของจิน

"แต่ผมจำไม่เห็นได้เลย จำคนผิดแล้วละ"

แย่ละสิถ้าเอาจริงละก็ตอนนี้แรงก็แทบจะไม่มีแล้ว อีกฝ่ายมีมากกว่าสิบคน แต่ละคนอาจจะไม่ได้เก่งอะไรมาก จำนวนเยอะเกินไป

ทันใดนั้นเองความทรงจำตอนสมัยที่ยังเด็กได้ผุดขึ้นมาในหัว คำพูดของลุงในการรับมือกับคนที่มีจำนวนมากกว่าตน

-จำไว้นะจิน ในตอนที่หลานเจอศัตรูที่มีมากว่าก็ให้ใช้วิธีนี้-

ครับ!ผมจำมันได้ขึ้นใจเลยคงมีแต่ต้องใช้วิธีนั้นวิธีเดียว

"เฮ้ย อย่ามาทำเป็นเงียบ ทีนี้ได้เวลาที่ฉันจะอัดแกคืนแล้ว"

นักเลงคนหนึ่งบุกเข้ามาต่อยแต่จินหลบได้ อ้อมไปข้างหลัง ถีบที่ก้นแล้วรีบออกจากวงล้อมทันที

เอาละ! ตอนนี้ยังมีหวัง หลุดจากวงล้อมแล้วขั้นตอนแรกเรียบร้อย

จินยิ้มออกมาอย่างมาเลศนัยแล้วทำท่าทางยืดเส้นยืดสาย หักนิ้วเสียงดัง "กร๊อบแกร็บ"

"ระวังตัวกันด้วยนะลูกพี่ เห็นอย่างนี้ฝีมือมันไม่ธรรมดาเลยทีเดียว"

อีกฝ่ายเห็นได้ดังนั้นแล้วต่างก็ระวังตัวไม่เคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า สายตาทุกสายตาต่างจ้องเขม็งกันไปที่คนๆเดียว

การที่จะรับมือกับคนจำนวนมากนั้นยากมาก แถมยังเสี่ยงที่จะโดนรุมโดยที่อย่างมากคนล้มได้แค่คนหรือสองคน ดังนั้นแล้ว....(ใส่ตีนหมาแล้ววิ่งหนีอย่างสุดชีวิต)

จินหันหลังอย่างรวดเร็ว วิ่งหนีอย่างสุดกำลังเท่าที่เหลือ ทุกคนต่างอึ้งกันตามๆกัน จนเริ่มค่อยวิ่งตามเขาไป

"อย่าหนีสิเว้ย!!" เสียงตะโกนชายนับสิบไล่หลังมา

"ไม่หนีก็บ้าแล้ว! ฉันไม่ใช่พระเอกในอนิเมะนะเว้ย! โดนไล่ตามโดยพวกชายฉกรรจ์ตั้งเกือบสิบคน!" จินที่วิ่งหนีอย่างสุดกำลังขาเท่าที่จะเร็วได้ ผ่านตรอกแคบแล้วซอยมากมายนับหลายกิโลเป็นเวลาเกือบสิบนาที มีหลายคนที่ยังคงตามเขามาอยู่อย่างไม่ลดละ จนแรงของเขาเริ่มที่จะหมดลง

ไม่ไหวแล้วแรงก็เริ่มที่จะหมดลง มีหวังพวกมันตามทันแน่ๆ เอายังไงดี ถ้าเป็นตอนนี้ป้อมยามน่าจะยังมีคนอยู่ แต่ตอนนี้แรงที่จะวิ่งไปให้ถึงคงไม่ไหว

ในขณะนั้นเองก็มีมือคนหนึ่งคนเข้ามาดึงตัวของเขาเข้าไปยังที่ๆหนึ่ง แล้วเอามืออีกข้างหนึ่งส่งสัญญาณ "ชู่~" ไม่ให้เขาส่งสียงดัง เป็นชายเร่ร่อนสูงวัยคนหนึ่งตัวใหญ่ ไว้หนวดเครารกรุงรัง ชุดดูขาดและสกปรก จนพวกวัยรุ่นพวกนั้นได้ค่อยพากันวิ่งผ่านไปโดยที่ไม่สนใจชายเร่ร่อนคนนั้นเลยแม้แต่น้อย

"มันไปไหนแล้ววะ!?" คนหนึ่งในกลุ่มนั้นพูดขึ้นอาการหัวร้อน

"เชี้ย!หนีเร็วชะมัดเลย!"

แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนหนึ่งเกิดเอ๊ะใจ ความแปลกนี้เลยพูดขึ้นมา "มันแปลกนะ? ทั้งที่เห็นหลังเมื่อตะกี้นี้เอง แต่ทำไมมันหายไปเร็วจัง? พวกมึง!ลองหาบริเวณแถวนี้สิ มันต้องแอบอยู่แน่นอน" ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นเลยพากันแยกไปหาตามบริเวณโดยรอบ

มีวัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาหาลุงเร่ร่อนที่นั่งใกล้ถังขยะอยู่ถามว่า "นี่ลุง? เห็นคนวิ่งมาแถวนี้บ้างไหม? พอดีผมกำลังหาคนอยู่นะ เป็นเพื่อนของผมเอง" ลุงนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพียงแต่นั่งเงียบๆเฉยๆ "นี่ลุง!"

ทันทีนั้นลุงก็สะดุ้งโหยง "วะ..ว่าไงนะ?"

"ผมถามว่าลุงพอเห็นคนวิ่งมาแถวนี้บ้างไหม? นั่นคือเพื่อนของผมเอง" วัยรุ่นคนั้นถามแบบเดิม

"ว่าไงนะ? ลุงไม่ได้ยินเลย" ลุงเอามือป้องไปที่หูเหมือนไม่ค่อยจะได้ยินที่วัยรุ่นคนนั้นพูด

คราวนี้วัยรุ่นคนนั้นเริ่มมีน้ำโหขึ้น "ผมบอกว่า-"

แต่เพื่อนของเขาก็มาหยุดไว้ก่อนพูดขึ้นมา "ไปกันเถอะ! ดูจากอาการแล้วเหมือนว่าลุงจะหูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วอีกอย่างเสื้อผ้าและทรงผมน่าจะเป็นคนเร่ร่อนที่ลูกหลานทิ้งไว้แน่"

และในที่สุดพวกเขาก็เริ่มพากันถอดใจในการตามหาจิน แล้วพากันไปหาที่อื่นต่อ

"ในที่สุดก็ไปกันหมดสักที" จินค่อยๆคลานออกมาจากท่อที่อยู่ข้างหลังลุงเร่ร่อนคนนั้น

"ไม่เป็นไรนะหนู" ชายคนนั้นพูดจาเป็นห่วง

"ขอบคุณคุณลุงมากจริงๆ ไม่ได้ลุงช่วยผมคงกลายเป็นกระสอบทรายให้เจ้าพวกนั้นกระทืบตายแน่ๆ"

ว่าแต่ไม่นึกเลยว่าแถวนี้ยังมีทางลับแบบนี้อยู่ด้วย ถึงแม้ภายในจะแคบก็เถอะ "มีอะไรที่ผมสามารถช่วยได้ไหมครับ ถึงจะไม่มาก อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้ตอบแทนบุญคุณทีครับ"

"ไม่เป็นไร! พอเห็นหนูแล้วก็นึกถึงหลานขึ้นมาก็เลยเผลอเข้าไปช่วยนะ อย่าไปคิดมากเลย"

"แต่ว่า"

"บอกว่าไม่เป็นไร ก็ไม่เป็นไรสิ! ถือซะว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่ตัวเองได้ทำความดีก่อนจะตายไปพบหน้าหลานที่อยู่โลกอีกฝั่งหนึ่ง"

"หมายความว่าหลานลุงก็?"

"นั่นสินะ! ถ้าเทียบอายุน่าจะใกล้ๆเคียงกันกับหนูละมั้ง? แต่ว่าหลานของลุงเขาร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เด็กแล้ว" แล้วลุงก็เอามือหนึ่งข้างมาลูบที่หัวของจินอย่างอ่อนโยน "รีบไปซะ!เดี๋ยวพวกนั้นมันจะพากันกลับมาอีก" แล้วลุงก็โบกมือลา

จินที่เดินไปเรื่อยๆจนถึงที่พัก ค่อยเปิดประตูออก ถอดเสื้อผ้าทิ้งกองไว้ แล้วรีบเข้านอนทันที

เหมือนว่าครั้งนี้จะยังเอาตัวรอดไปได้ แต่ว่าแอบเป็นห่วงลุงคนนั้นนิดหน่อยแฮะ หวังว่าความจะไม่แตกที่คุณลุงมาช่วย...แต่มันก็แอบเป็นห่วงไม่ได้ ก็ว่าจะอาบน้ำก่อนนอนแหละแต่ว่าไม่ไหวแล้ว วันนี้เหนื่อยเหลือเกิน ขอพักก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยอาบน้ำ แล้ว...หาซื้อ...ให้ลุง...นั้น

ณ เมืองหลวง ในพระราชวัง

ดีลเลอร์ที่กำลังรายงานผลการชันสูตรที่ออกมา

"ท่านเลโอ ผลการชันสูตรออกมาแล้วครับ ผลจากการตรวจเลือดดูแล้วว่าเป็นฝ่าบาทแน่นอนครับ ส่วนสาเหตุการตายนั้นมีร่องรอยตรงหัวใจฉีกขาดแต่ไม่ทราบว่าโดนอะไร?"

"ขอบใจมาก ตอนนี้คนในสภาก็กำลังยุ่งเหมือนกัน ดูเหมือนว่าฉันคงจะไม่ว่างไปอีกสักพักใหญ่เลย ฝากรับแขกแทนทีพรุ่งนี้ แล้วก็อย่าลืมสิ่งที่ฉันสั่งไปด้วยละ"

"รับทราบแล้วครับ แสดงว่าเป็นเรื่องจริงสินะครับ?"

"ใช่ ก็ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้เหมือนกัน"

ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยบรรยากาศเหมือนอย่างเคย เพดานที่ดูคุ้นตาเช่นเดิม ค่อยลุกออกจากที่นอนอย่างงัวเงีย มองเห็นภายในห้องที่รกรุงรังเต็มไปด้วยกองเสื้อผ้าที่ใส่แล้ว ขวดพลาสติกกับถ้วยชามที่ซ้อนกันจนล้นที่ล้างจาน

พอนึกเรื่องที่เกิดเมื่อคืนออก ก็รีบลุกไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วหยิบเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักนั้นมาดมดูว่ายังใส่ได้หรือป่าว พอเห็นว่ายังไม่เหม็นมากนักจึงใส่ออกไปข้างนอกเพื่อไปหาลุงคนนั้น

ฉันพยายามหาซื้ออาหารที่สามารถเก็บไว้ได้สักระยะเวลาหนึ่ง เช่น ขนมปัง ถั่ว และน้ำอีกเล็กน้อย อย่าน้อยให้ผมได้ตอบแทนสักเล็กน้อยก็ยังดี

แต่เมื่อฉันที่ไปจนถึงทีๆเกิดเรื่องเมื่อคืนแล้ว พบว่าไม่มีใครอยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นลุงเร่ร่อนหรือช่องทางที่อยู่หลังลุงคนนั้นเองก็ด้วยเป็นเพียงผนังแข็งๆที่ไม่มีอะไรเลย ฉันยืนงงได้พักนึ่งแล้วคิดขึ้นมาในใจ "เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน มันคืออะไร? ภาพลวงตา? หรือว่าผีหลอกกันแน่?" แม้แต่ตอนนั้นเองก็ไม่เข้าใจ แล้วค่อยๆเดินกลับไปยังที่พักของตนเองทั้งอย่างนั้น

ในระหว่างที่จินกำลังเดินกลับไปที่พักก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งใส่ชุดสูทสีดำเข้ามาทักทาย

"ขอโทษที่เข้ามารบกวนนะครับ ใช่ท่านจินหรือป่าวครับ?"

"ครับ!..ใช่ครับ! แล้วมีธุระอะไรหรือป่าวครับ?"

"ถ้าไม่เป็นการรบกวนท่านมากเกินไป ช่วยมากับพวกเราสักประเดี๋ยวได้ไหมครับ?"

"ถ้าตอบว่าไม่ล่ะ จะทำอย่างไร?"

"ถ่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางเลือก คงต้องบังคับกันหน่อย" ทันทีที่พูดจบหลายคนที่ใส่สูทสีดำก็พร้อมเข้ามาล้อมทั้งหน้าและหลังของจินอย่างพร้อมเพียง

เหมือนเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย ช่วยไม่ได้ยังไงตอนนี้ก็ทำตามไปก่อนแล้วกัน

จินยกมือสองข้างขึ้นแสดงถึงการยอมแพ้ที่จะต่อต้าน

"ถ้าอย่างนั้นเชิญท่านขึ้นรถที่พวกเราได้เตรียมไว้ด้วยครับ"

รถสีดำคันหรูราคาแพงค่อยๆเลื่อนเข้ามาจอดข้างพร้อมกับมีคนเปิดประตูเชิญขึ้นรถ

"คือว่าพวกเรากำลังจะไปไหนกันครับ?"

"พวกเรามีหน้าที่แค่มารับท่านแค่นั้นเอง แต่มันเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่บนมือของท่านเช่นกัน"

จินมองไปที่หลังมือขวาของตัวเองเห็นเลข 0 6 ขึ้นอยู่ ไม่ทันสังเกตเลยว่ามีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

รถคันนั้นค่อยๆวิ่งผ่านกำแพงขนาดใหญ่ที่กั้นระหว่างเมืองหลวง (เซนเตอร์) กับแถบชานเมืองออกจากกัน จนเข้าไปยังใจกลางของตัวเมือง ในสถานที่กว้างใหญ่และสวยสดงดงามเกินความบรรยาย แล้วชายชุดดำคนหนึ่งก็ได้หันหลังมาพูดกับเขาว่า....

"ยินดีต้อนรับเข้าสู่ราชวังหลวงใจกลางเมือง ผู้สมัครราชาคนที่หก...."