ตอนนี้ซิลิคอนอยู่ในช่วงเติบโต พัฒน์น่าจะเอาเงินลงทุนไปกับการส่งข้อมูลระดับโมเลกุล ของคาร์บอนชนิด กราฟีนเพื่อส่งข้อมูลระดับอะตอมความฉลาดของวัตถุดิบยังไม่สามารถทำให้เป็นจักรกลเพื่อตอบสนองอุตสาหกรรม แต่เขาไม่สามารถสร้างมันซ้ำ หรือทำให้มันเยอะได้ เป็นเรื่องเทคนิค ปีเตอร์ ธีลโค้ชของเทคโนโลยีบริษัทในซิลิคอนวัลเลย์ผู้ลงทุนยุคแรกของเฟซบุ๊ค พูดว่าทุกบริษัทที่เกิดขึ้นมีเป้าหมายต้องผูกขาดเท่านั้น นั้นไม่ต่างจากความคิดของชาติ
เขาต้องเติบโตมากกว่าซิลิคอน มากกว่ากฎของมัวร์ การพัฒนาของคลื่นความถี่พื้นฐานถึงสุดปลายทางที่ควอนตัม ถึงจะเติบโตเราต้องเข้าใจเรื่องการส่งสัญญาณระดับโฟตอน การส่งสัญญาณระดับโมเลกุล การส่งสัญญาณของโปรตีน หรือการส่งสัญญาณของดีเอ็นเอ พวกเราต้องหาทรัพยากรและแหล่งที่มาทั้งหมดของความเป็นไปได้ของทรัพยากร ซิลิคอนวัลเลย์จะเกิดขึ้นใหม่หลังคำถามทางเทคโนยี ราคาของคำถามจะเกิดมูลค่าของปัญหา พวกเขาจะเจอปัญหาของกฎของมัวร์ และเจออุปสรรคของปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาดขึ้นเรื่อย ลิงรู้ว่าตัวเองเป็นลิง สุนัขไม่รู้ว่าตัวเองเป็นสุนัข เขาต้องใช้เวลาสักระยะกว่า พวกเขาแค่ต้องเชื่อมต่อกับความฉลาดของตัวเองเขาเองให้ได้แล้วก็เร็วขึ้น เมื่อเป็นนักฟิสิกส์จะอยู่กับข้อมูลและพลังงาน พัฒน์ต้องเข้าถึงความฉลาดของการมีชีวิต เขาคิดแบบนั้น
พัฒน์เดินตรงกลับมาที่ห้องมาเขียนโน๊ตในกระดานที่ห้องเรื่อง 'ข้อสนับสนุน และข้อต่อต้าน' ของการตัดสินใจเรื่องการลาออกจากมหาวิทยาลัย
โน๊ตบนกระดานในห้องพัฒน์
ข้อสนับสนุน
1.ต้องอยู่ในระบบทุนนิยม อยู่แบบผู้บริโภค? ทำระบบของตัวเอง?
2.มีรูปแบบการส่งข้อมูลที่มากว่าไบนารี่จำกัดอยู่แค่ในซิลิคอนวัลเลย์ ควอนตัมคือข้อจำกัดของระบบการส่งข้อมูล 50 คิวบิท
3.ระบบพลังงานหมุนเวียนยังไม่ได้ถูกติดตั้งให้ใช้กับมนุษย์ทุกคน
4.ร่างกาย กับพลังงานยังไม่ฉลาดมากพอและมีขอบเขตมากเกินไป
5.จะใช้ความฉลาดของคอมพิวเตอร์รูปแบบไหนมาแก้ปัญหาของมนุษย์
ข้อต่อต้าน
1.โลกหมุนด้วยระบบอุตสาหกรรมกลุ่มเงินและความเชื่อเรื่องเล่าของรัฐแต่ละรัฐ
2.เงินเฟ้อเกินค่าทอง ไม่สัมพันธ์กับงบคลัง คลังไม่สัมพันธ์กับค่าทองตั้งแต่แฮมเบอร์เกอร์
3.ธนาคารกลางไม่สามารถรักษาความสมดุลของการกระจายทรัพยากร
4.โลกนี้ไม่มีพระเจ้า
พัฒน์เคยเข้าร่วมฟังเสวนาของกูเกิล เรื่องการเลือกระดับของเงินที่อยากได้มาจากขนาดของปัญหาและตอนนี้พัฒน์ก็มีเงินแค่ สามร้อยล้านบาทเป็นไปได้ที่จะตั้งบริษัทที่นี่ได้ แต่ก็มีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ การปวดหัวถึงความเป็นไปได้เป็นความยุ่งเหยิงที่สวยงามกว่าการทุกข์ระทมต่อความเจ็บปวดจากการเสียใจในอดีต ตัวพัฒน์เองเข้าใจดีว่ามุมมองของความหมายปัจจุบัน ถูกทำให้ช้าลงผ่านความบกพร่องและขอบเขตของร่างกายชีวภาพกับความหมายทางสังคม มนุษย์ไม่เคยเข้าถึงความจริงเลยต่างหาก การคิดยังคงดำเนินต่อ เวลาเข้าสู่ช่วงเวลาที่ลื่นไหลเขาแทบจะไม่ได้รับรู้ถึงตัวตน เวลาหรือคิดว่าตรงหน้าเป็นการทำงาน การลงมือเป็นเพียงกระโดดลงไปในสนามเด็กเล่นเพื่อเป็นการท่องเที่ยวพิสูจน์ผลลัพธ์ทางความคิด
เสียงนาฬิกาแจ้งเตือนดังขึ้น "กริ๊งงง ๆ กริ๊งงง ๆ กริ๊งงง ๆ "
พัฒน์ต้องไปทำงานพิเศษต่อ พัฒน์ยังหาวิธีการเอาเงินสดที่ตัวเองมีเข้าระบบไม่ได้ เขาต้องทำงานเพื่อมีเงินหมุนเวียนในบัญชี พัฒน์ทำงานในร้านอาหารจีน ในไชน่าทาวน์ พัฒน์ทำงานเป็นพนักงานรับและจ่ายเงินเพื่อต้อนรับลูกค้า การทำงานที่นี่ทำให้ได้ยินเสียงภาษาไทยบ้าง หรือแม้แต่คนเอเชียที่นี่ก็หลากหลาย ความต่างของสีผิวก็ยังทำให้ทุกคนเป็นมนุษย์เหมือนกัน หิว คิดถึงอาหารและลิ้มรสชาติของสิ่งที่ตัวเองต้องการ
พัฒน์ทำงานที่นี่ถึงสี่ทุ่มครึ่ง พนักงานห้าคนหลังจากที่ทำงานครัวและทำความสะอาดเสร็จ จะมีการทานอาหารร่วมกัน พัฒน์ไม่ได้กินมากนักในมื้อนี้และวันนี้ วันนี้ทุกคนต่างคุยเรื่องบ้านเกิดและการมาอยู่ที่นี่อีกเหมือนเคย ทั้งยังส่งเงินให้กับครอบครัวในประเทศตัวเอง ที่นี่มีคนไทยทำงาน สามคนและคนจีนหนึ่งคนและคนเกาหลีอีกหนึ่งคน
ในห้องครัวทุกคนเตรียมอาหารทานกัน พัฒน์มาช่วยเตรียมอาหารด้วย
"เขากำลังจะลาออกจากเอ็มไอที" บุญพูดกับน้อย
"ดีนะ เขาจะได้เหมือนพวกเรา ลาออกจากมหาลัยที่ไทยแล้วมาทำงาน ดูเหมือนหนังสือมีผลกับเขามากนะ" น้อยตอบ บุญโดยที่มีพัฒน์อยู่ด้วย กลับกลายเป็นว่าคนสองคนสร้างบทสนทนาเกี่ยวกับอีกคนหนึ่งโดยที่ก้มหน้าก้มตาทำอาหาร
พัฒน์ที่หันหลังหั่นผักอยู่ เอียงตัวหันกลับมาตอบ "ครับ"
"ดีเลย ช่วยหยิบจานนั้นไปด้วยสิ" บุญพูดขอร้องพัฒน์
บนโต๊ะอาหารเวลาพักของพนักงาน
"น้ำซุปผัดไทยเหรอ วัฒนธรรมนี่นำหน้าไปฉลาดมากแต่แสบคอ! ข้นชะมัด" วัดชายที่เป็นหัวหน้าพ่อครัวนั่งหัวโต๊ะพูดถึงอาหารที่พัฒน์เอามาวาง "มือตกไปเยอะนะ" วัดพูดตำหนิไปทางบุญ
"แล้วพัฒน์เรียนคอมพิวเตอร์เป็นยังไงบ้าง"
"คะ… ครับ" พัฒน์รู้สึกตัวตอบ "กำลังไปได้ดีเลยครับ ผมเพิ่งได้เป็นกำลังหลักของโปรเจคชื่อ..."
ทันใดนั้น เสียงครื้นเครงของ พนักงานเสิร์ฟอายุคราวเดียวกับพัฒน์ก็เข้ามา เขาเดินเข้ามาจากด้านหลังของคนที่จะฟังพัฒน์พูด ทุกคนหันไปสนใจผู้ชายไทยกับคนเกาหลีอีกหนึ่งคน พัฒน์ได้แต่เคี้ยวอาหาร แววตาของการอยากพูดเรื่องตัวเองหายไปพร้อมกับความสนใจที่คนอื่นลดลง และเพิ่มที่พี่บอยกับนัมทุกคนบนโต๊ะดูภูมิใจกับบอย มากกว่าพัฒน์
บอยเขยิบเก้าอี้และนั่งตรงข้ามพัฒน์
น้อยเกริ่น "คุณวัดรู้รึยัง"
"เกิดอะไรขึ้นเหรอ"
"บอยพึ่งจะได้ทุนจากยูเอ็น" วัดบอกเรื่องเกี่ยวกับบอยให้กับบุญและคนในโต๊ะฟัง
"สุดยอดมาก" บุญชมเพิ่ม
"นัมกำลังทำเพลงแร็ปส่งประกวดและเอาลงยูทูป" น้อยพูดถึงนัม นัมถอดเสื้อกันหนาวและพาดไว้ทาบกับที่พิงหลังเก้าอี้ "ส่วนวัดเชฟหลักของปีนี้" น้อยผายมือไปทางวัด
"ใช่… เอ่อ" พี่วัดรู้สึกถ่อมตัวแต่เขาก็พึ่งเข้ามาเป็นหัวหน้าเชฟได้สองปีหลังจากเป็นพนักงานครัวมากห้าปี
"ทุกคนในโต๊ะนี้มีแต่คนดี มีความสามารถ" น้อยพูดแต่ไม่ได้หันมามองทางพัฒน์
พัฒน์รับรู้ว่าเขาไม่ได้ถูกยอมรับบนโต๊ะนี้ สำหรับพัฒน์ทุกคนบนโต๊ะนี้ชอบพูดบทสนทนาซ้ำ เรื่องเดิม ร้านอาหารเดิม ซุบซิบ ข่าวการเมืองแล้ววนไปเรื่อย ๆ โดยที่ยังคงปล่อยให้เรื่องราวนั้นเกิดขึ้น ทุกคนแค่คิดว่าการพูดถึงปัญหาเป็นการแก้ปัญหา เปล่าเลยทุกคนแค่อยากรู้สึกว่าตัวเองแก้ปัญหาโดยการพูดถึง แต่ละคนบนโต๊ะนี้คิดกันแล้วว่าฉันทำงานในอาชีพของฉันแล้วระบบจะดูแลฉันเอง พวกเขาชอบเรื่องจริงที่ทำให้เกิดความสงบมากกว่าความจริงที่จะทำให้เกิดความวุ่นวาย
"แล้วพัฒน์หล่ะ เรื่องการทำคอมพิวเตอร์ของเธอล่ะ" น้อยถามอีกครั้ง
พัฒน์รู้สึกว่าบทสนทนากลับมาที่เดิมอีกรอบ พวกเขาไม่ได้ยิ้มตอนพูดถึงพัฒน์
"เอ่อ ตอนนี้มันกำลังไปได้ดีมาก ๆ ผมเป็นส่วนหนึ่งของแล็บวิจัยที่เยี่ยมที่สุดในบอสตัน นั้นอาจจะหมายถึง ยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศ และผมเป็นหัวหน้าโปรเจคหรืออยู่ตำแหน่งวิจัยและก็ได้ทุนสนับสนุนโครงการนั้นซึ่งอันที่จริงผมเป็นสมาชิกที่เด็กที่สุดในแล็บนั้นเลย"
"นี่ฉันอยากรู้ว่าเขาตัดสินยังไงกับเทคโนโลยี? มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคำถามเชิงจริยธรรมไม่ใช่เหรอ?"
"ไม่" พัฒน์ตอบ
"แล้วแล็บวิจัยนั้นจะจ้างเธอเหรอ" วัดถามพัฒน์อย่างตรงไปตรงมา ใคร ๆ ต่างอยากได้สิทธิและประกันสังคมที่นี่
"ไม่ครับ มันไม่ใช่แล็บวิจัยแบบนั้น มันเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัยรวมตัวกัน แต่ว่ามันก็เป็นก้าวสำคัญในการทำงานของผม"
"งั้นเธอคงน่าจะนึกออกนะว่ามันก็แค่งานช่วยอาจารย์น่ะ" วัดตอบก่อนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยไปทางนัม "โอ้ นัมน่าจะเล่าให้เราฟังเรื่องเอ็มวีที่ไปถ่ายอาทิตย์นี้นะ ที่ทำให้ได้ยอดหมื่นคนดูมานะ"
"ผมถ่ายที่สะพานบรูคลินเป็นลองเทคไม่มีตัดต่อ แล้วก็บูม! หมื่นวิว!" นัมพูดด้วยความตื่นเต้น
"สถิติใหม่เลยนะเนี่ย!" วัดชมนัม
การพูดถึงเรื่องพวกนี้ทำพัฒน์หน่ายเพิ่มขึ้นไปอีก "มันก็แค่ดิวิชั่น3"
ทุกคนในโต๊ะอึ้ง เงียบสายตาทั้งสี่คู่มองมายังพัฒน์
"ก็แค่ทีมเล่นดนตรีในบอสตัน ไม่ได้อยู่ในดิวิชั่นสอง แค่ดิวิชั่น3" พัฒน์พูด
"นี่เธอมีเพื่อน บ้างรึเปล่าพัฒน์" วัดกอดอกและมองตรงไปทางพัฒน์
"ไม่ครับ"
"ทำไมล่ะ?"
"ไม่รู้สิครับ ผมแค่ไม่เห็นประโยชน์ในการมีเพื่อน" พัฒน์ตอบเขาไม่ได้มีใครรู้จักเขาจริง ๆ เพื่อที่จะเล่าเรื่องชีวิตให้ฟัง
"ถ้าอย่างนั้นเธอทำชมรมกับใครล่ะ สตีฟ จ๊อบกับ สตีฟ วอซเนียกเขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนนี่ถูกมั้ย?"
"พาลเมอร์ ลัคกี้ก็ไม่เคยมีเพื่อนเลยจนกระทั่งชวนเพื่อนมาเล่นเกมเขา"
"อ้อ นั้นเองเป็นแบบอย่างความสำเร็จของเธอสินะ" วัดถาม
"ผมคิดว่าการเป็นนักนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในศตวรรษที่ยี่สิบคือแบบอย่างของความสำเร็จทุก ๆ คน"
"ตายอย่างอนาถเพราะปฎิเสธการรักษา และโดนไล่ออกจากบริษัทตัวเองตอนอายุสามสิบไม่ใช่แบบอย่างความสำเร็จสำหรับฉัน" วัดพูด
"ผมยอมตายอย่างอนาถตอนอายุห้าสิบหกแต่มีคนพูดถึงผมตอนกินข้าวดีกว่ารวยฉิบหายแต่ต้องอยู่อย่างเหงา ๆ จนอายุเก้าสิบแต่ตายโดยไม่มีใครจำผมได้สักคน" พัฒน์พูดด้วยเสียงมั่นใจมองไปทางวัด
"แต่ต้องมีเพื่อนสักคนที่จดจำเธอ นั่นแหละประเด็น" วัดบอก
"แล้วแถวนี้มีใครเป็นเพื่อนกับฌอน ปาร์คเกอร์บ้างครับ นั่นแหละประเด็น"
"บอยกับนัมมีเพื่อนมากมายและสิ่งนั้นทำให้เขาได้ประโยชน์มาก" วัดพยักหน้าชี้ชวนหันไปทางบอยกับนัม
"อ้ออย่างนั้นสักวัน เขาคงได้เป็นประธานการประชุมสันติภาพโลก งั้นสินะครับ"
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! แกคิดว่าแกแน่กว่าเราเหรอ!" บอยถามพัฒน์
"เข้าใจเร็วดีนี่ พ่อทูตสันติภาพ" พัฒน์ประชด
นัมถามพัฒน์กลับ "ฉันขอถามแกสักคำสิ ถ้าแกคิดว่าได้ทุนจากยูเอ็นตลกมาก แกก็ลองขอดูสิ"
"นั่นแหละประโยคที่นายไม่มีวันได้ยินจากผู้ช่วยรัฐมนตรี" วัดประชดพัฒน์
"ใครอยากได้ของหวานบ้าง" น้อยเอ่ยแทรกเพื่อลดอุณหภูมิอารมณ์ที่ฉุนเฉียวเหนือจานอาหาร
"และไม่มีวันได้ยินจาก ซีอีโอสตาร์บัคส์ใช่มั้ย?" บุญพูดกับพัฒน์อย่างประนีประนอม
พัฒน์เงียบและลุกออกจากโต๊ะ พัฒน์แวะมองแววตาที่เคยเปล่งประกายเหล่านี้ ความรับผิดชอบทางการเงินที่มากขึ้นทำให้คนเหล่านี้กลัวทั้งการมีเงินและการสูญเงินมากขึ้น สหรัฐกลับกลายเป็นเหมือนโรงเรียนสร้างความกลัวที่ยังไม่มาถึงคนถูกกรอกข้อมูล พวกเขาเหล่านั้นจึงยึดติดกับภาพของฆาตกรหรือหุ่นยนต์นักฆ่าแทนที่จะมองเห็นถึงตัวเลขสกุลเงิน เศรษฐกิจ หนี้เสียทั้งหมดเป็นเพียง 'กระดาษที่ค่อย ๆ บาดเราจนตาย' เขาหยิบจานของตัวเองนำไปวางไว้ในซิงค์ล้างจาน และเดินออกมานอกร้านอาหาร
สายตาพัฒน์สาดส่องไปที่เหล่าคนที่แทรกตัว วิ่งวุ่นอยู่ในเมือง เห็นประเทศนี้มั้ยคนชนชั้นล่างทำงานหนักทุกวันแต่คนรวยมีเวลาว่างกินของดี ๆ ทุกวัน ความรวยทำให้คุณสำคัญไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี เงินคืออำนาจและจะอยู่ข้างคนที่มีเสมอ ถ้าคุณบริโภคมากพอคุณจะได้ทุกอย่างมากพอด้วย โลกนี้ไม่ได้พูดถึงคนเหล่านี้แม้แต่จะพูดเพื่อนชื่นชมหรือยอมรับอย่างเป็นมนุษย์ พวกเขาแค่ต้องเดินตามถนนล่องหนที่ชนชั้นนำขีดไว้ให้ ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ต่างจากประเทศบ้านเกิดของผม อับแสง เงียบงัน เสียงที่กระชุ่มกระชวยได้คือคนที่สะสมอำนาจมากพอ ความหวังที่คนเหล่านี้จะไต่เต้าได้เหมือนที่ต้องซื้อของบางอย่างเพื่อคิดว่าจะพามันไปสู่เป้าหมายทางสังคมได้ซึ่งคนที่จะคอยแทะเล็มส่วนแบ่งเงินในกระเป๋าเงินของคุณก็คือคนรวยเหล่านั้น พัฒน์คิดเรื่องเหล่านี้ไปกับจังหวะของตัวโน้ตดนตรีอิสระในเพลงใต้ดินเกาหลี เป็นเพลงที่คิมยอง ซูเคยแนะนำพัฒน์ตอนเด็ก
พัฒน์ดูเวลาในโทรศัพท์มือถือ เขาต้องกลับห้องไปเรียนออนไลน์ของหลักสูตรมหาลัยวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเพิ่มความรู้ของเอ็มไอทีไม่เพียงพอต่อเป้าหมายและการสร้างทักษะย่อย มนุษย์เป็นเหมือนโรคยังไงก็จะหาทางและมีชีวิตรอดมาได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในภูเก็ต เขาคิดว่าการช่วยคนเป็นการมีคุณธรรมจะทำให้ข้างในตัวเองเปลี่ยนไปหรือทำให้เกิดบางอย่างได้แต่ทั้งหมดเกิดจากพื้นฐานของอารมณ์อ่อนไหวของมนุษย์ ทั้งหมดเป็นเพียงแค่เด็กที่สวดอ้อนวอนอยากให้โลกนี้ดีขึ้น พัฒน์โกหกทั้งคนอื่นและทำร้ายคนอื่น พัฒน์กำลังทำตัวออกห่างจากคนอื่นเพื่อหาความหมายในตัวเอง บางสิ่งที่เขาทำเป็นเพียงแค่เรื่องสยองขวัญของคนอื่นแต่บางส่วนของพัฒน์ยังคงอยู่ภายในไม่ได้หายไป เวลาจะค่อย ๆ ฆ่าพัฒน์กัดกินจากข้างในและตัวเขาเองก็รับรู้ถึงทุกทางของอารมณ์ที่เข้ามาว่าเอ่อล้นไปด้วยความกลัว เขาเองแค่รอเวลาว่าความกลัวการตายของตัวเองกำลังจะลิ้มแทะตัวตนไปอีกแค่ไหน เขากู่ร้องความช่วยเหลือภายในแปลเปลี่ยนเป็นความฝัน
มันจะเป็นเพียงแค่การแตกออกของตัวตนอีกครั้ง เขากำลังใจเสาะและเล่นซ่อนหากับพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง ที่มีอยู่แค่ในความทรงจำมีสิ่งที่ยืนยันถึงมันน้อยนักการจำได้ถึงแต่ละช่วงเวลาทั้งสร้างคุณค่าและลดคุณค่าต่อความหมายตัวตนไปพร้อม ๆ กัน พัฒน์ไม่สามารถล้างสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเองได้ ในโลกนี้เด็กแบบพวกเขาแทบจะไม่มีพื้นที่ที่ปลอดภัย เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนสัตว์ประหลาด เขาพยายามจะทำสิ่งที่ดีมาตลอดแต่มันกลับจบด้วยความเจ็บปวด สำหรับพัฒน์เขายังอยู่ในช่วงไม่รู้ว่าสิ่งไหนถูกต้อง เขาคิดว่าเรื่องทุกอย่างแย่เพราะเขามาตลอด พัฒน์มีความต้องการจะเปลี่ยนแปลงอดีตแต่ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงอดีตก็กลับมาขยำเคี้ยวตัวตนเขาอย่างเอร็ดอร่อย ราวกับโลกนี้ผิดไปหมดแล้วไม่มีใครเลือกที่จะพูดสิ่งที่ถูกต้อง เขาแค่ทำในเรื่องที่พยายามจะถูกต้องมาตลอด แต่การทำสิ่งที่ถูกต้องทำให้เขาต้องยอมรับความเจ็บปวดของการกระทบกับชีวิตของคนอื่นตลอด ภายในลูกบอลของตัวตนพัฒน์กำลังจะจมในแอ่งน้ำตาของตัวเอง ที่เขาไม่ร้องไห้ออกมาอีกตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
พัฒน์เหม่อคิดถึงเรื่องในความทรงจำก่อนเดินออกจากหน้าร้านและเดินตรงกลับที่พักแคบ ๆ ในนิวยอร์ก พัฒน์เอาเงินสดของตัวเองอยู่ใต้พื้นห้องพักของตัวเอง อีกหนึ่งร้อยเมตรแมนชั่นที่มุมถนนและห้องพักที่ชั้นสามนั้นอยู่ปลายสายตา
ทันใดนั้น บรึ้มมม!! เสียงของแสงไฟลุกวาว เป็นก้อนกลมออกมาจากห้องที่พัฒน์พักกริ่งแจ้งเตือนไฟไหม้ของอาคารดังด้านใน ม่านตาพัฒน์ขยายเหงื่อร้อนออกทั่วตัว เขาสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใจเขาเต้นรัวเรียกร้องหาคำตอบก่อนที่คำตอบจะเข้ามาเป็นเสียงโทรศัพท์มือถือของเขา
"กริ๊ง...กริ๊ง..." มีสายเรียกโทรเข้ามา พัฒน์เปิดฝาพับโทรศัพท์มือถือรับสาย
"ว่าไง"
เสียงที่คุ้นเคยพูดด้วยภาษาเกาหลี "พ่อหนุ่มอิเกีย ที่กำลังจะเป็นอดีตนักศึกษาเอ็มไอที ครั้งสุดท้ายที่เราพูดคุยกันนายบอกว่าจะทำอย่างน้อย หนึ่งปี นายผิดสัญญา พวกนายต้องคืนเงินมาทั้งหมดภายในสองสัปดาห์" สายจากลีดูซัมวางสายลง
ใบหน้าที่กังวลของพัฒน์สะท้อนแสงสีเหลืองก่อนปลายหางตาจะเห็นแม่ของเด็กห้องด้านซ้ายยืนอยู่หน้าอาคารกำลังจะเข้าไปแต่ถูกห้ามจากคนในอาคารที่เคลื่อนตัวออกมาข้างนอก เธอตะโกนขอให้คนไปช่วยพัฒน์รู้จักใบหน้านั้นดี ถึงแม้เสียงไซเรนจะอยู่ห่างไกลออกไปแต่เขาตระหนักดีว่านั้นอาจจะไม่ทันต่อชีวิตเด็กแน่ ๆ
พัฒน์ปาโทรศัพท์มือถือเข้าข้างทางและรัวเท้าก้าวเข้าไปในอาคารเด็กที่หลับอยู่ไม่ได้ร้องไห้ต่อการเจ็บปวดและผนังหลอดลมที่ใกล้จะไหม้ เขารีบเอาไหล่ชนประตูของห้องข้าง ๆ ปึ้ง!! ปึ้ง!! บานพับประตูหลุดออกผนังด้านขวาเป็นรูช่องใหญ่จากห้องของตัวเอง เขาเห็นเงินอยู่ในพื้นไม้ในห้องเปิดอยู่หางตาเหลือบมองไปทางเงินเพียงครู่เดียวก่อนเดินตามหาเด็กในห้องจนเจอเด็กห้าขวบขดตัวอยู่ในผ้าห่ม เด็กหลับอยู่และเริ่มไอตอนหลับ เด็กนี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจะตาย อ้อมแขนพัฒน์อุ้มเด็กลงไปก่อนที่จะเกิดการระเบิดของการรั่วไหลของแก๊ส เขารีบออกมาจากประตูและลงบันไดสู่ชั้นหนึ่ง "บรึ้มมม!!!" เสียงระเบิดจากแก๊สของเปลวไฟไล่หลัง
พัฒน์ออกมาจากบันไดของอาคารเจอกับแววตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตา เขาแค่รู้ว่าการสูญเสียคนที่รักดึงดูดและรั้งท้ายต่อความเศร้า เขาไม่อยากให้ผู้หญิงตรงหน้าเป็นเหมือนตัวเองคำตอบของผลลัพธ์อยู่ในอ้อมแขนของพัฒน์ที่มอบให้กับแม่ตรงหน้าเธอดีใจและอุ้มลูกตัวเอง
"ขอบคุณพระเจ้า" เธอพูดกับตัวเองพลางกอดลูกไปด้วยกับชายตาเห็นพัฒน์เดินห่างไป ไฟที่ติดมาที่ชายเสื้อกันหนาวด้านหลังตัวเอง เขารู้ตัวก่อนที่คนอื่นจะทักให้ถอดชุดกันหนาวกระทืบไฟก่อนที่จะไฟลามไปตามจุดอื่น หลังจากนั้นหยิบเสื้อขึ้นมาโดยหันหลังให้กับผู้หญิงกับเด็กที่ตัวเองช่วย
"คุณเป็นฮีโร่เหรอ" คำถามตามมาจากหญิงที่อุ้มลูก
"อ๊ะ! อ๊ะ! อ๊ะ! ขอร้องอย่าพูดคำนั้น" เขาตอบอย่างทันที พัฒน์รู้ว่าเขาไม่เหมาะกับคำแบบนั้นมือซ้ายก้มตัวหยิบโทรศัพท์บนพื้นซีเมนต์ หักทิ้งเป็นสองท่อนปาเศษซากการติดต่อเข้าไปในถังขยะเหล็กรูปทรงกระบอก