สามสัปดาห์ถัดมา ตอนนี้ผมอยู่ในเรือนั่งบนหลังคาของเรือท่องเที่ยว กลับจากเกาะพะงันกำลังลมทะเลปะทะหน้าเต็มไปด้วยภาพเขียนทะเลจากธรรมชาติประมาณสองชั่วโมง
ความโกลาหลทางอากาศ ท้องฟ้าราวกับถูกวาดด้วยพู่กันจากปลายน้ำหมึกที่เคยรุ่งเรือง ผมจ่ายราคาของการเป็นตัวเองไปแล้วในการยกอัลกอริทึมให้กับยูเอ็น แต่บอร์ดบริหารตัดสินใจจะขายราคาทุนกับรัฐบาลแทน หมายความว่าบริษัทผมจะได้เงินแค่ต่อยอดการแก้ปัญหาของมนุษย์ตราบเท่าที่มนุษย์จะมองว่าสิ่งนี้เป็นปัญหา ผมถูกไล่ออกจากบอร์ดบริหารแต่ยังเป็นผู้ถือหุ่นหลัก 51 เปอร์เซ็นต์ เบนอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ทั้งผมทั้งเบนถอนตัวจากการทำงาน เราสองคนอยู่แค่ในฐานะผู้ก่อตั้ง
เบนนั่งเอนหลังกับเก้าอี้สีขาว ยกแขนพยักนิ้วชี้เข้าหูตัวเองเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อสารกับพัฒน์ เขากลับถามดัง ๆ ย้อนเสียงลมที่กระทบหูตัวเอง "ฟังเพลงเหรอ หรือใส่เฉย ๆ"
พัฒน์หันหลังกลับมาตอบ "แค่คิดหน่ะ" เขาตอบทั้ง ๆ ที่ฟังเพลงอยู่เพลงช่วยให้พัฒน์คิดบางอย่างได้
พวกเราทั้งสองไม่อยากนั่งอยู่ที่ออฟฟิศให้เราค้นพบตัวตนของตัวเองในถังขยะ กระถางถุงพลาสติกเต็มไปด้วยแก้วสตาร์บัคส์ กระป๋องเบียร์และกล่องสินค้าไอบีเอ็ม ท่ามกลางความมืดและความเงียบงันของการรอความตาย ที่นั่นไร้ซึ่งตัวตนคือความอิสระของตัวเอง อิสระกลายเป็นความทรงจำที่ให้ผมรู้สึกถึงการเป็นมนุษย์ในตัวเองมากกว่านั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ ตอนนี้ผมกลายเป็นจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งบนโลกที่รายล้อมไปด้วยคนตกงานและตามการปฏิวัติทางเทคโนโลยีไม่ทัน ในประเทศท่องเที่ยว ที่นี่ยังคงไม่มีอะไรที่ผมต้องการ และอีก 90 เปอร์เซ็นต์ที่เหลืออยู่ของชิ้นเนื้อสมอง
วันหนึ่งเราจะลืมทุกอย่างที่เคยจำได้เป็นความรู้สึกอย่างแรกหลังจากกลับมาบ้านในภูเก็ต คนทั่วไปน้ำหนักสมอง หนึ่งพันห้าร้อยกรัม ของพัฒน์ตอนนี้มีอยู่ที่หนึ่งพันสามร้อยเจ็ดสิบแปดกรัม สมองกำลังจัดเรียงข้อมูลรสชาติและควบคุมการจับตะเกียบ ในการเอาเส้นอาหารผัดไทยจากกล่องกระดาษในมือซ้าย โดยทั้งหมดมีหนึ่งในความรู้สึกคือความปลอดโปร่งของการเอาเท้าแช่น้ำอุ่น ตอนนี้พัฒน์นั่งอยู่หน้าทีวีในห้องนั่งเล่น อีกสามสิบนาที เขาต้องประชุมพอดแคสต์วิชาการชีววิทยาและจุลชีวะ มีสื่อหลายสำนักได้นำข้อมูลการมีเนื้องอกในสมองอีกครั้งไปเป็นข่าวเพื่อลดความเชื่อถือในบอร์ดบริหาร
พัฒน์นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ที่ต้องประชุมวิชาการโดยมีคณะก่อตั้งชมรมสุดท้าย ทั้งโชที่ทำบริษัทเอาท์ซอร์สอัลกอริทึม ซอฟต์แวร์จากพัฒน์ไปทำต่อต่อให้โชไม่ใช่หัวหน้าแผนกแต่ก็พอใจที่ได้อยู่ในบริษัทนั้น ไมล์ ลิน และเบน คนฟังนับแสนคนในแอปพลิเคชันแบบการเสวนาเปิด ที่ถูกบันทึกไว้
ทั้งเรื่องอาการและการกลับมาของเนื้องอกถูกพูดถึงในก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ความหวังของการรักษาก่อนหน้าถูกพูดถึงผ่านกลุ่มแพทย์และวิธีการรักษาที่หลากหลาย ตอนนี้ทุกคนกำลังฟังไมล์บ่น
"พี่ผมว่าผมมีแผนแล้ว ถ้าพี่สร้างเตาปฏิกรณ์อันเท่าฝ่ามือได้ และทำให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบอวัยวะ ให้พลังงานการรักษายีนของร่างกาย พี่ก็สามารถรักษาสมดุลในยีนได้และพี่ก็เป็นอมตะในการคงยีน" ไมล์ไปศึกษาเรื่องจุลชีววิทยาเพิ่มเพื่อพูดภาษาเดียวกันกับคนในชมรมสุดท้าย
"ฉันไม่เห็นว่าจะควบคุมได้ไง แกต้องใช้หาวิธีการส่งพลังงานไปที่แต่ละอวัยวะ การกักข้อมูลยีนแทบเป็นไปไม่ได้" พัฒน์ตอบคำถาม
"ใช่ พี่พูดมีประเด็น แต่ลองคิดตามนะ พี่จะเป็นไอรอนแมน มีเตาปฏิกรณ์ตรงหน้าอก" ไมล์เสนอ
พัฒน์พยักหน้า ยิ้มตลกตามไปกับไอเดียของไมล์ มันอาจจะไม่เป็นความจริงแต่มันก็เป็นความคิดที่ดี อีกไม่กี่วินาทีถัดมา พัฒน์ปิดสัญญาณและฉุกคิดขึ้นได้ ปรับการออนไลน์ปิดเป็นการพูดคุยส่วนตัวของคนในชมรมสุดท้าย ผู้ฟังข้างนอกนับแสนสัญญาณขาดหาย พิธีกรที่นำการพูดคุยงงกับการปรับขนาดวงสนทนาให้เล็กลง
"ไอเดียนี้ก็ไม่แย่นักหรอก" พัฒน์พูดลอย ๆ ลงไปในห้องแชท
"มันแย่ที่สุดในโลกเลยต่างหาก" เบนที่อยู่ในห้องแชทด้วยซ้ำเติม
"ไม่ใช่เรื่องไอรอนแมน แต่เรื่องที่ใช้สมดุลในยีน จะเป็นยังไงถ้าเราใช้ไวรัสทำให้ร่างกายติดเชื้อ" พัฒน์สงสัย
"เดี๋ยวนะ นายจะทำให้ร่างกายติดเชื้อเหรอ" เบนสับสน
"นั้นช่วยเราอีกแรงในการไม่กลับไปเป็นเนื้องอก" พัฒน์เสนอ
"แต่ร่างกายอาจจะช็อก" เบนบอกข้อเสีย
"และภูมิคุ้มกันร่างกายจะลดลง เราต้องการภูมิคุ้มกัน" ลินเตือน
"เราจะหยุดการทำงานของร่างกาย ให้เข้าในภาวะโคม่าก่อน ส่วนอื่นของร่างกายจะทำงานเป็นปกติ" พัฒน์ยอมรับความเป็นไปได้ โดยเอามาจากเรื่องที่ผ่านมา พัฒน์ถามโช "โช ช่วยเช็คอัลกอริทึมในไดรฟ์ที่ส่งไปให้แกสามารถทำไวรัสได้มั้ย"
"อาจจะได้ แต่ผมขอเตือนก่อนว่า การทำให้ร่างกายติดเชื้อไวรัสเป็นไอเดียที่แย่มาก ๆ" โชอธิบาย
"ใช่ แกทำได้มั้ย" พัฒน์ถามซ้ำ
"ได้" โชตอบ โชที่อยู่บริษัทในออสเตรเลียเอาข้อมูลประมวลผลในซอฟต์แวร์ดูหน้าจอสี่เหลี่ยมที่ประมวลผลเพิ่มอยู่
เบนรีบขับรถตรงมาบ้านพัฒน์ เปิดประตูตรงเข้ามาทางพัฒน์ในห้องนั่งเล่น
"นายทำอะไรของนายวะ นายเสียสติไปแล้วเหรอ" เบนว่า
"ผมพยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง นี่จะไม่ใช่เวลาจะมาห่วงเรื่องตัวเอง พี่มีหน้าไปบอกคนที่ตายจากสมการพี่มั้ย" พัฒน์บอก ข้อมูลในหน้าจอบนโต๊ะคอมพิวเตอร์บอกถึงสถานะต่อเนื่องของร่างกายกับอาการพัฒน์ไม่ได้อยู่ในจุดที่ต่อรองได้
"เราไม่ได้เตรียมรับกับเรื่องนี้" เบนใจเย็นลงและแนะนำ "มันสมองพาเรามาถึงไกลที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ"
"แต่มันไม่ไกลพอ เราติดอยู่ที่นี่ขอบเขตของเงิน และโลกนี้ก็ไม่มีอะไรเหลือ" พัฒน์หงุดหงิดที่เบนไม่เข้าใจ เขาไม่ค่อยได้พูดว่าจริง ๆ แล้วเขาโกรธเรื่องต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา
"ฉันกำลังโมโหทุกนาทีพอ ๆ กับนาย พัฒน์!!" เบนตะคอก "มีความเป็นไปได้มั้ยถ้ามีวิธีอื่น หรือนายก็แค่ยอมรับแผนการรักษา มันเป็นไปไม่ได้!"
"ไม่!! มันจำเป็น" พัฒน์สารภาพและจำนนต่อความจริง เขารับรู้ว่าต้องพาตัวเองเข้าสู่ภาวะหลับใหลเพื่อแก้ระบบอัตโนมัติของร่างกายตัวเอง
"มันต้องมีทางอื่นดิวะ ทางอื่นที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้"
"ผมไม่มีเวลาแล้ว!! ผมไม่อยากนอนรอวันตายเหมือนแม่ นี่เป็นการตัดสินใจของผม"
ทั้งสองเงียบผงะอย่างนึกขึ้นได้
"ผมน่าจะอยู่ที่ไหน สักที่ในความทรงจำ ผมว่ามันไม่เป็นไร ผมเจอพ่อแม่บ่อยในความทรงจำ" พัฒน์พูดพร้อมกับสะอึกร้องไห้ เขาคิดว่าความเจ็บปวดไม่จำเป็นต้องถักทอทั้งชีวิต แต่นี่ก็อาจจะเป็นความทรมานครั้งสุดท้ายของตัวเอง พัฒน์รับทราบเรื่องนี้ดีในบทสนทนานี้
ในออสเตรเลีย โชที่นั่งหลับในโกดังฮาร์ดแวร์เพื่อประมวลผลข้อมูลอัลกอริทึมของพัฒน์ โชหลับรอในนี้จนข้อมูลประมวลผลความเป็นไปได้ที่เป็นทั้งทางออกเดียวของพัฒน์ และทางออกของการเป็นมนุษย์ ในการลดโอกาสเนื้องอกและการรักษา พันธุกรรม กฎของเมอร์ฟี่มันมีโอกาสที่จะพลาดได้ อุบัติเหตุคืออุปสรรคแรกของวิวัฒนาการ ช่วงที่ยังไม่เข้าใจพันธุกรรมและการรักษายีน มาจนถึงการแพทย์ที่ใช้ "ตรึ๊ง" ข้อมูลประมวลผลเสร็จใน 1,038 แบบ และโชส่งข้อมูลไปให้พัฒน์เลือกรูปแบบการรักษาผ่านไวรัสพันธุกรรม พัฒน์ต้องเข้ารับการรักษา โดยการที่ยังไม่ผ่าตัด และให้ตัวเองติดเชื้อไวรัส และส่วนที่แย่ที่สุดคือมีโอกาสรอบแค่สิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์จากการคำนวณ
สามสัปดาห์ถัดมา สถานีอนามัย ในนิวแม็กซิโก
ทั้งระยะเวลาการฟักตัวของไวรัสสามสัปดาห์ เราเลือกไวรัสตับที่มีผลต่อสมอง อาจจะเกิดผลข้างเคียงต่อตับได้ แต่ตับก็มีโอกาสปลูกถ่ายหลังจากมีภูมิคุ้มกัน การหลับของพัฒน์อยู่ในการดูแลขององค์กรกลาง เป็นข่าวที่มีผู้ช่วยรัฐบางส่วน มีสำนักข่าวเทคโนโลยีนำข่าวเข้ารับการรักษาของพัฒน์ไปลง ในขณะที่การเตรียมแล็บและการรักษาของพัฒน์ไม่ได้ทำการรักษากับคนมาก่อน ความเร่งรีบของผลลัพธ์ทำให้ความหวังริบหรี่ ในห้องสีขาว เต็มไปด้วยพลาสติกที่พัฒน์ใกล้จะหลับ
ข้อความที่พัฒน์ส่งให้คนในชมรมสุดท้ายทุกคนก่อนเข้าสู่ภาวะหลับ
"กฎของชาลส์ข้อสาม ความแปรผันของลักษณะจะมีโอกาสแก่การรอดชีวิต"
สมองเป็นเพียงโรงพยาบาล ที่มีคนไข้ในโรงพยาบาลเป็นคนเข้ามาเยี่ยมคุณอีกที คนไข้เหล่านั้นก็คือคนแวะเวียนเข้ามาในชีวิตซุกตัวอยู่หลังผ่านผ้าม่านดูร่า เยื่อหุ้มอันบอบบาง พัฒน์ใช้อาการป่วยและการไม่คงร่องรอย ก็คือความรู้สึกหดหู่และไร้ค่าที่สุดมันคือการทำความเข้าใจว่าโรคประจำตัวก็คือส่วนหนึ่งของการเป็นปัจเจกบุคคล พัฒน์ไม่รู้ว่าเขาเก่งชีวะมั้ย เขาไม่รู้ว่าเขาเก่งหรือไม่เก่ง มันเป็นแค่การบำบัดส่วนตัวด้วยการใช้ความรู้ของเขา ความหงุดหงิดต่อความไม่รู้เรื่องของครอบครัวก็ลดลง จะมัวเสียเวลาอยู่ไม่ได้ เขาเป็นนักปฏิบัติ เขาเต็มไปด้วยข้อเรียกร้อง นั้นเพราะเขาเรียกร้องจากตัวเองอยู่ตลอดเวลา มันผลักดันให้เขาหาคำตอบและก็สร้าง เขาไม่เคยปล่อยให้ตัวเองหรือมั่นใจเกินไป ผมกังวลว่ามผมจะไม่สำเร็จในหัวเขาเต็มไปด้วยเรื่องประโยคราวนี้
เขากำลังเข้าสู่สภาวะโคม่า ในร่างกายของพัฒน์ จมูกหายใจแผ่วเบา ร่างกายที่เป็นบ้านหลังสุดท้ายทรุดโทรมและกำลังพังทลายบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ โครงข่ายของสมองการส่งกระแสไฟฟ้าและการทำงานของสายประสาทนิวรอนกำลังเชื่อมโยงข้อมูลน้อยลง
การสูบฉีดเลือดของหัวใจ ความสว่างของข้อมูลชีวภาพทยอยหรี่ลงเรื่อย ๆ เปลือกตาง่วงชวนไปสู่การหลับตา ภาพสุดท้ายของพัฒน์ตรงหน้าเป็นภาพของคือผู้หญิงที่เป็นความหวังสุดท้ายของตัวเขาเองในการแหวกว่ายสติที่เลือนลาง เรื่องราวปรากฏการณ์เคมีชีวภาพครั้งสุดท้ายกำลังจะหยุดลง เป็นวินาทีที่พัฒน์ได้ถึงขอบเขตของชีวิต ที่นี่ไม่ได้มีความหมายที่ก่อนหน้านี้ชีวิตที่วางไว้และสร้างความหมาย มุมมองต่อช่วงเวลาสุดท้าย ก็ยังไม่ได้สามารถทำให้ตัวพัฒน์เองเข้าใจชีวิต โอกาสที่ได้ทบทวนว่าทุกอย่างที่แลกไปกับการกระทำที่พัฒน์ต้องการ เขาเองยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดที่ผ่านมาจะคุ้มค่ามั้ยกับสิ่งที่เลือกทั้งหมดของชีวิตพัฒน์เป็นเพียงทรัพยากรของมุมมองต่อจิตวิทยา เพื่อสร้างเป้าหมายและเห็นใจกับมนุษย์ จนเกิดการแลกเปลี่ยนครั้งสุดท้าย กระแสไฟฟ้าในร่างกายจำนวนหนึ่งร้อยจูลต่อพื้นที่ออกซิเจนในร่างกาย ตัวเลขถอยลดลง พัฒน์ยังโหยหาภาพลวงตาที่คิดว่าตัวเองควบคุมได้ทุกสิ่ง แม้แต่ความตายที่ไม่มีใครคุมได้ แม้แต่ตัวพัฒน์เอง เสียงหัวใจไม่ใช่เต้นแผ่วรัว กล้ามเนื้อหัวใจพัฒน์เกร็งเป็นครั้งสุดท้าย การระบำของระบบหมุนเวียนเลือดกำลังจะปิดม่านลง ที่เส้นประสาทกำลังจะหยุดทำงาน ต้องลดความดันในสมองทันที หัวใจหยุดลง ม่านตากำลังขยาย ต้องให้ออกซิเจนเพิ่ม ร่างกายของพัฒน์ไม่ตอบสนองต่อคนตรงหน้า สมองไร้ปฏิกิริยา พัฒน์กำลังจะตายเขาไม่มีเวลาแล้ว ร่างพัฒน์กำลังจะล้มลงอับปางบนเตียงผู้ป่วย เวลาใกล้ความตายช่วงเวลาจะถูกยืดออกขณะที่เวลาชีวิตหดลง พัฒน์ใช้เวลาหลายปีเฝ้าดูและสร้างอนาคต พยายามทำบางอย่างแต่ไม่สามารถเห็นเวลาของตัวเองได้ พัฒน์เฝ้าหาห้วงเวลานี้ทุกครั้ง ทุกครั้งที่ชีวิตจบไปจะมีชีวิตใหม่ แต่ทั้งหมดกำลังจะจบลงตรงนี้ พัฒน์เชื่อว่าเขาจะตายตรงนี้ พัฒน์เต็มไปด้วยสารพัดแนวโน้มเขาเปี่ยมไปด้วยศักยภาพด้านความดี ทำสิ่งใดก็ล้ำเลิศ ไม่ใช่เพราะคลั่งความสำเร็จแต่เพราะกลัวความล้มเหลว นั้นทำให้พัฒน์เป็นคนพิมพ์อวัยวะที่เก่ง โลกที่เคยหมุนรอบพัฒน์กำลังทำอย่างอื่นกับความทรงจำครั้งสุดท้ายของเขา
ปรากฏการณ์เคมีครั้งสุดท้ายอยู่ในรูปแบบการเชื่อมโยงรูปภาพในสมองข้อมูลกำลังวิ่งเล่น กระโดดระหว่างกันผ่านไซแนปส์ ความทรงจำฝากร่องรอยทิ้งไว้ ทั้งเสียงหัวเราะและคราบน้ำตา ทั้งเวลาที่ดีและร้ายที่เราได้เห็นเป็นสนามเด็กเล่นของความคิด ที่ผ่านมาเขาไม่ชอบทำร้ายใครแต่บางครั้งก็ต้องแหกกฎเพื่อค้ำจุนเพื่อคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่า เหมือนการชดใช้ทางศีลธรรมของตัวเอง พัฒน์ยังไม่พร้อมที่จะตายแต่เขาก็ตอบตัวเองว่าไม่มีใครพร้อมที่จะตายเหมือนกัน เราไม่สามารถเลือกวาระเวลาได้ ความตายทำให้ชีวิตมีค่า ภาพสุดท้ายกำลังเดินทางและสร้างการยึดโยงครั้งสิ้นสุด การได้รู้ว่าชีวิตมีสิ้นสุด นานแค่ไหนก็สั้น เขาคงคิดว่าตัวเขาพร้อมที่จะไปแต่ดูดี ๆ พัฒน์กำลังยื้อหนึ่งห้วงขณะให้ยาวเป็นพัน ๆ เพียงเพิ่มเวลาฟังเสียงคลื่นทะเล จิตใจพัฒน์ปล่อยมือจากร่างกายของตัวเอง ชีวิตหยุดลง กับความคาดหวังว่าจะเจอคนที่เรารักทุกคนสุดหัวใจหลังจากนั้น ในแสงอาทิตย์อีกวันหนึ่งของดวงจิตขอเพียงได้พบกับจินตนาการที่อยู่พร้อมกับทุกคน ลมหายใจที่แผ่วลงหมุนเอื่อยไปกับโลกที่เอียงยี่สิบเอ็ดจุดห้าถึงยี่สิบสี่จุดห้า โลกไม่สามารถบอกถึงความคุ้มค่าของชีวิตหนึ่งที่เกิดใหม่ได้ พวกเราไม่เคยคิดว่าเด็กจะเติบโตมาเป็นไอน์สไตน์ หรือไอแซก นิวตันหนึ่งชีวิตที่เกิดมามีค่าตัวเลขความเป็นไปได้เป็นอนันต์ค่าความเป็นไปได้แลกความเป็นไปได้ และเขาก็สามารถเติบโตมาเป็นพัฒน์ได้ เด็กอาจจะถูกสอนว่าอย่าพึ่งแหกกฎของชีวิต หรือกฎของชีวิตสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ชีวิตที่เป็นมากกว่าชีวิต ทั้งหมดเป็นความจริงและแสนเจ็บปวด พัฒน์ครอบครองความสามารถการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ และตายแบบมนุษย์ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาตายซ้ำแล้วซ้ำอีกทุก ๆ ครั้งที่เจอเลือกที่ยุ่งยากการละทิ้งตัวตนเกิดขึ้นบ่อยครั้งในภายใน พัฒน์เชื่อเรื่องนั้น เขาเข้าแทรกแซงธรรมชาติ เขาเชื่อเรื่องวงล้อเหตุและผลและกลับมาสู่การสูญเสียของตัวเองเหมือนเด็กที่พึ่งเกิดมาไม่มีอำนาจแต่มีค่าความเป็นไปได้ วิญญาณที่เปล่งเสียงจากร่างกายออกมา ทั้งยังคือสิ่งทรงกลมสถิตเสถียร ไม่ยื่นไปคว้าสิ่งภายนอก ไม่ย่อกลับมาภายใน ไม่แตกเป็นเสี่ยงออกไปและไม่ยุบลงมา แต่เปล่งแสงที่ส่องความจริง ทั้งสิ่งภายนอกและที่ภายใน สิ่งนั้นออกมาครั้งสุดท้ายลอยออกจากชีวภาพกลุ่มอวัยวะที่หยุดลง ความทรงจำเป็นเพียงของกำนัลจากร่างกาย ดวงดาววูบวาบเดียวกลายเป็นเรื่องเล่านิรันดร์
"ใจเอ๋ย หัวเราะร่าอยู่ภายใน ก่อนเราที่จะกลายเป็นดิน หมดสิ้นแล้วความคะนอง บทเพลงไพเราะ และวันพรุ่งนี้"
นาฬิกาของพัฒน์หยุดเดิน โลกกำลังลุกเป็นไฟ และอีกหนึ่งชีวิตจากไป ไม่มีอะไรยับยั้งได้ สิบแปดชั่วโมงที่ดำมืดว่างเปล่าภายใต้ร่างกาย
ในชั่วพริบตาแห่งทริปแดนสนธยาของร่างกายเวลากระจัดสั้นพัฒน์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สูดหายใจเฮือกใหญ่ จากการคำนวณทั้งหมดเขาคิดว่าเวลาผ่านไปแค่สิบแปดชั่วโมง แต่เขาหลับไปสามสัปดาห์กับระยะเวลาการฟักตัวอีกสามสัปดาห์โดยรวมทั้งหมด กระบวนการดูแลต้องใช้เวลาไปมากกว่าหกสัปดาห์ของชีวิต ที่ตื่นขึ้นมาและอาจจะไม่พบชีวิต เหมือนการดำมืดทุกครั้งในการหลับ อาการและค่าของยีนคงที่ เขาชะลอระยะเวลาของเนื้องอกออกไปได้ ค่าแปรปรวนของการรักษาชีวิตนี้เต็มไปด้วยสมการ แค่พัฒน์ได้รับอนุญาตให้ตื่นขึ้นมาต่อ รับความทรมานจากอาการของร่างกายไร้ที่สิ้นสุด ความทรมานภายในตามหลอกหลอนชีวิต พัฒน์ลูกตากรอกรับข้อมูลอ่านข่าวการตายของตัวเองไปบนหนังสือพิมพ์ ที่ถูกนำมาไว้ในห้องผู้ป่วย
"นักชีววิทยาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สุดในยุคสมัยของเราหรืออาจจะยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล"
-เดอะเดลี่นิวส์
"นับตั้งแต่มนุษย์เริ่มความสามารถทางการแพทย์ และภายในร่างกาย บางทีอาจไม่มีผู้ศึกษาคนใดเคยมีแนวคิดอันล้ำหน้าถึงสิ่งที่อาจจะเป็นจริง ทั้งยังได้รับการยอมรับจากคนยุคสมัยนี้ด้วยเช่นกัน"
-นิวยอร์กไทม์
"ผู้มีบทบาทระดับกระทรวงสาธารณะสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศของเขา"
-เคมบริช ยูนิเวอร์ซิตี้ เพลส
"…เขาทำได้ยิ่งกว่าคนผู้ใดที่เคยมีชีวิตอยู่ โดยฝากผลงานอันยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษ และสร้างเส้นทางอันทรงคุณค่าแห่งความเป็นไปได้ของมนุษย์ทั้งปวง"
-เดอะโกรป
หลังจากมีการตรวจผลอาการเบื้องต้นทั้งหมด การรักษาด้วยไวรัสพันธุกรรมได้ผลถึงแม้จะมีความเสี่ยงสูง ก้อนเนื้อขนาดเล็กลง ถ้าชิ้นเนื้อใหญ่ขึ้นนั้นขึ้นเป็นทุกข์ทรมานที่ทนได้ พัฒน์คิดว่าการให้โลกนี้รู้ว่าเขาตายอาจจะมีประโยชน์กว่า 'ความคิดเป็นบทความที่เขียนโดยอวัยวะในตัวผม ผมเป็นเนื้องอกและผมก็ฆ่ามัน ผมทำลายทุกอย่างแม้กระทั่งตัวเอง ผมวาดภาพตัวเองร่ำความตายทุรนทุรายออก' นี่เป็นแค่อีกส่วนหนึ่งของการโทรศัพท์ในการอพยพวิญญาณจากรูปแบบความจำมาสู่ร่างกายม้วนเทปกรอย้อนเหตุการณ์ถอยหลังการสูญเสียตัวตนชั่วขณะเหมือนสูญเสียตัวระยะยาว
พยาบาลเข้ามาตรวจสอบอาการเบื้องต้นรอบที่สาม "อีกสองสัปดาห์ก็กลับไปใช้ชีวิตได้ แล้วคุณจะทำอะไรต่อ?" เธอถาม
พัฒน์ยังอยู่ในการปวดหัว กับรู้สึกแปลกเหมือนทั้งโล่งใจและผิดหวัง
"ไม่รู้สิ โฮโมดีอุสโปรเจคมั้ง"