webnovel

ภาคต่อตอนที่ 25 วิกฤตของใคร?

"ท่านแม่ทัพ ดูท่านเป็นกังวล?"

"หรือเจ้าคิดว่า ข้าไม่ควรกังวล?"แม่ทัพหนุ่มปรายตาดุใส่จิ๋นอี้

จิ๋นอี้พยักหน้าเพราะฮูหยินน้อยมีทั้งพญาหงส์เพลิงและสี่สหายน้อย ผู้ที่น่าเป็นห่วงน่าจะเป็นเจ้าพวกนั้นมากกว่าหากคิดจะแตะ ฮูหยินน้อยละก็มีหวังได้กลับบ้านเก่าเป็นแน่

"โจรกลุ่มนี้ขึ้นชื่อในเรื่องความโหดเหี้ยมป่าเถื่อน สังหารผู้คนไม่เว้นกระทั่งเด็ก ซ้ำยังเจ้าเล่ห์เพทุบาย เพื่อชัยชนะพวกมันพร้อมลงมือไม่เกี่ยงวิธีการ แม้จะต้องใช้ชาวบ้านเป็นเครื่องมือพวกมันก็หาละอายใจไม่!"มู่หลิ่งเหวินหยุดถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ "ข่าวลือเกี่ยวกับนาง พวกมันก็คงได้ยินแล้วเช่นกัน ถ้ามีสตรีงดงามโดดเด่นมากด้วยพลังอำนาจ ปรากฏกายอยู่ตรงหน้า เป็นเจ้า.. เจ้าจะทำเช่นไร?"

"ข้าย่อมต้องหาทางครอบครองนางให้ได้...อา.."ถ้อยคำของจิ๋นอี้ เป็นเหตุให้องครักษ์ทั้งสาม รวมถึงกองกำลังหลิ่งหลินทั้งสิบตื่นตระหนกยิ่งนัก หากเป็นดังที่จิ๋นอี้กล่าว ย่อมหมาย ความว่าฮูหยินน้อยก็กำลังตกอยู่ในอันตรายใช่หรือไม่?

"ถ้าต่อสู้ด้วยพละกำลัง ชัยชนะย่อมตกเป็นของนางอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าพวกมันใช้ชาวบ้านเป็นเหยื่อล่อให้นางมาติดกับ หรือใช้ชีวิตชาวบ้านมาเป็นเครื่องต่อรองเล่า เจ้าคิดว่าผลจะเป็นเช่นไร?"แม่ทัพหนุ่มหันมาเผชิญหน้าสี่องครักษ์ตรงๆแล้วกล่าวต่อ "ด้วยนิสัยของนาง ย่อมกระโจนลงไปในหลุมกับดักของพวกมัน เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านเป็นแน่"

"แล้วจะทำเช่นไรดีขอรับ?"จิ๋นเอ้อถามด้วยท่าทางร้อนรน

"เรียนท่านแม่ทัพ"เสียงทหารนายหนึ่งดังแทรกเข้ามาเรียกความสนใจ

"...เตรียมพร้อมแล้ว?"

"เสบียงและม้าฝีเท้าดี สำหรับสิบเอ็ดคนเตรียมพร้อมแล้วขอรับ"ทหารร่างสูงใหญ่เงยหน้ามองท่านแม่ทัพแล้วก้มหน้ารายงานเสียงเข้มแข็ง

"ดี... จิ๋นอี้"

"ขอรับท่านแม่ทัพ!"

"ข้าฝากเจ้าจัดการเรื่องที่เหลือด้วย"

"..เอ๊ะ..แล้วท่านจะไปที่ใด?...หรือว่า.."

"อย่างที่เจ้าคิด ข้าจะไปอำเภอชิงไห่"กล่าวจบก็กระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังทาเสว่ มียอดฝีมืออย่างกองกำลังหลิ่งหลินทั้งสิบติดตามไปด้วย

มู่หลิ่งเหวินมั่นใจว่านางต้องปลอดภัยเพราะมีพญาหงส์เพลิงกับสี่มารน้อยอยู่ด้วย แต่สิ่งที่แม่ทัพหนุ่มกังวลคือ นางกำลังตั้งครรภ์ทายาทของเขาอยู่ หากร่างกายและจิตใจได้รับความกระทบกระเทือนมากๆเกรงจะมีผลต่อนางและเด็กที่อยู่ในครรภ์

"เมื่อภารกิจช่วยเหลือชาวบ้านสำเร็จให้รั้งอยู่ที่นี่ จนกว่าข้าจะส่งข่าวมา ห้ามทำอะไรโดยพลการเด็ดขาด เข้าใจรึไม่?"กำชับเสียงเข้มด้วยรู้นิสัยขององครักษ์ทั้งสี่ดี หากภารกิจลุล่วงต้องรีบตามไปชิงไห่เป็นแน่

"ขอรับท่านแม่ทัพ"จิ๋นอี้ชะงักตอบเสียงเบาที่ถูกท่านแม่ทัพรู้ทันความคิดตน

องครักษ์ทั้งสี่ได้แต่ยืนมองส่งท่านแม่ทัพตาละห้อย นึกอิจฉากองกำลังหลิ่งหลินทั้งสิบที่ได้ติดตามไปช่วยฮูหยินน้อย อา...ข้าก็อยากไปนะท่านแม่ทัพ สี่องครักษ์ร่ำร้องในใจ

"เอ่อ..ท่านองครักษ์จิ๋น การเดินทางไปชิงไห่ใช้เวลานานเพียงใดเจ้าคะ?"เสี่ยวอี้เอ่ยถามจิ๋นซาน ใบหน้าน่ารักซีดขาวและเต็มไปด้วยความกังวลใจ

"สองชั่วยามก็ถึงแล้ว แม่นางเสี่ยวอี้อย่าได้กังวล ฮูหยินน้อยเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง"จิ๋นซานยิ้มบางพลางกล่าวเสียงนุ่มนวล ดวงตาคมมองสบตาหญิงสาวไม่ยอมหลบ จนได้เห็นใบหน้าน่ารักขาวซีดค่อยๆแดงเรื่อขึ้นอย่างเอียงอาย ทำเอาองครักษ์หนุ่มใจเต้นแรง

ฝ่ายเสี่ยวอี้พอเห็นอีกฝ่ายส่งสายตาหวานมาให้ เด็กสาวพลันรู้สึกขัดเขินจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาคมคู่นั้น สองมือบิดกันไปมาวุ่นวาย

"คิกๆ"เสี่ยวสุ่ยที่เห็นตลอด แอบปิดปากขบขันกับอาการเขินอายของพี่สาว ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งกระแอมไออยู่ข้างหลัง พอหันไปก็ปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง ทำให้เสียหลักจะหงายหลังศีรษะฟาดพื้น ด้วยความตกใจจึงไขว่คว้าสิ่งยึดเกาะที่อยู่ตรงหน้า

"ว๊าย...อุ๊บ..."เสี่ยวสุ่ยร้องได้คำเดียวร่างบอบบางก็ลอยลิ่วเข้าสู่อ้อมอกแข็งแรงของชายหนุ่มจนใบหน้าฝังเข้ากับหน้าอกของอีกฝ่าย

จิ๋นซื่อคราแรกตั้งใจจะหยอกนางเล่นเท่านั้น แต่ไม่คาดว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ก็ให้รู้สึกตกใจอยู่บ้างก่อนจะแปรเปลี่ยนไปพึงพอใจ

"อะแฮ่ม...อากาศวันนี้ช่างร้อนแรงนัก ข้าไปหาอะไรดื่มดับร้อนดีกว่า เจ้าจะไปด้วยกันรึไม่จิ๋นเอ้อ?"จิ๋นอี้เอ่ยล้อเลียนสององครักษ์เสร็จก็หันไปชวนอีกคนที่ยืนดูนิ่งๆ ด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์

จิ๋นเอ้อเพียงเลิกคิ้วขึ้นมองหนุ่มสาวทั้งสี่แล้วสาวเท้าตามจิ๋นอี้ไปเงียบๆ

"เอ่อ...ล่วงเกินแม่นางแล้ว..ขออภัยด้วย"จิ๋นซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนใจรีบปล่อยนางราวกับต้องของร้อน

"มะมะมิได้...หากท่านองครักษ์ไม่ช่วย..เห็นทีข้าคงศีรษะฟาดพื้นไปแล้ว..อะเอ่อ..ขอบคุณมากเจ้าค่ะ..ขะข้าขอตัวก่อน"คำนับให้เร็วๆแล้วรีบวิ่งเข้าเรือนรับรองไป

"อ้าว...เสี่ยวสุ่ย รอพี่ด้วย เอ่อ..ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ"เสี่ยวอี้หันมาคำนับให้องครักษ์ทั้งสอง แล้วรีบตามน้องสาวไปติดๆปล่อยให้สององครักษ์มองตามตาเป็นประกายขบขันเจือความเอ็นดู

------------

สูงขึ้นไปบนฟ้า ณ อำเภอชิงไห่

ด้วยอิทธิฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ของหงส์เพลิง นำพานางมาโผล่ที่อำเภอชิงไห่ได้ในชั่วพริบตาเดียว ท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้ที่นั่งอยู่บนหลัง โดยเฉพาะชิงหลินที่ทึ่งจนอ้าปากค้าง ว้าววว....วาร์ป...นี่คือ..การวาร์ป...ใช่หรือไม่?...สุดยอด!

"เหตุใดเจ้าไม่ใช้ปราณพลังจิตเช่นที่เฟิ่งกู่?"หงส์เพลิงเอ่ยปากถาม หงส์เพลิงทราบเรื่องนี้จากวิหคน้อยตัวหนึ่งที่เป็นข้ารับใช้มัน

"ตอบตามจริง ข้าอยากมาดูด้วยตาตัวเอง และถือโอกาสท่องเที่ยวไปในตัวด้วยเจ้าค่ะ"

"เฮอะ!..สถานที่แห้งแล้งไร้สีสันเช่นนี้ มีอันใดน่าดูกัน?"หงส์เพลิงกล่าวเย้ยหยัน ดวงตาสีแดงเพลิงหลุบมองข้างล่างอย่างดูแคลน

"มันก็จริงของท่าน แต่จากนี้อีกหนึ่งหรือสองปีให้หลัง พื้นที่แถบทางนี้จะต้องงดงาม เขียวชอุ่มไม่แพ้ที่ใดอย่างแน่นอน"ยิ้มตอบดวงตาเป็นประกายเชื่อมั่นมั่นใจ

"ข้าจะรออย่างไม่คาดหวังก็แล้วกัน"หงส์เพลิงเหล่มองนางด้วยหางตาครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปที่เดิม กล่าวเสียงเนือยๆปีกทั้งสองกระพือนิ่งอยู่กับที่

"หลินหลินไม่ลงไปหรือ?"ฟานฟานน้อยส่งเสียงถาม เจ้าพยัคฆ์น้อยอยากลงไปอวดโฉมข้างล่างมากกว่านั่งอยู่บนหลังพญาหงส์เพลิงอยู่อย่างนี้

"ใจเย็นๆขอข้าใช้ปราณพลังจิตตรวจดูก่อน แล้วค่อยลงไป จริงสิท่านหงส์เพลิง ผู้คนข้างล่างเห็นพวกเราหรือไม่เจ้าคะ?"ประโยคหลังถามหงส์เพลิงมือข้างหนึ่งขยี้หัวกลมๆเล็กๆนุ่มมือของฟานฟานน้อยอย่างอ่อนโยน

"สบายใจได้ ข้าใช้พลังเร้นกายปกปิดตัวตนอยู่ ไม่มีมนุษย์หน้าไหนมองเห็นหรอก"ยามที่กล่าวถึงมนุษย์ ทุกคำจะเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและดูแคลนอยู่เสมอ

"ท่านช่างรอบคอบนัก ขอบคุณมากเจ้าค่ะ"เอ่ยชมอย่างจริงใจ ไม่ได้ขุ่นเคืองหรือหมั่นไส้กับท่าทางของหงส์เพลิงเลยแม้แต่น้อย ด้วยพอจะเข้าใจว่า หงส์เพลิงเป็นประเภท ปากร้ายใจดี ไม่เช่นนั้นมีหรือจะยอมช่วยนางทั้งที่ธุระก็ไม่ใช่

"...อย่ามัวชักช้า จะทำอันใดก็เร่งทำเสีย เดี๋ยวจะมืดค่ำไปเสียก่อน"น้ำเสียงที่ตอบกลับมาทางจิตแม้จะไม่รื่นหูแต่ก็นุ่มนวลขึ้นสองส่วน

ชิงหลินอมยิ้มจากนั้นจึงหลับตาลงตั้งสมาธิเพ่งจิตลงไปเบื้องล่าง โดยมีสี่สหายน้อยนอนหมอบอยู่ด้านหน้าเฝ้ามองหลินหลินอย่างใกล้ชิด

ผ่านไปราวหนึ่งเค่อจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าจิ้มลิ้มซีดเผือด ดวงตากลมโตสั่นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก สองมือเย็นเฉียบและสั่นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่

"หลินหลินเป็นอันใด?"ฟานฟานน้อยส่งเสียงถาม เท้าหน้าวางบนท่อนขาทั้งสองของนาง แหงนเงยหัวกลมๆเล็กๆขึ้นมอง มันจับสัมผัสที่สับสนวุ่นวายของนางได้

"..."เงียบ

"หลินหลินขอรับ/เจ้าคะ"คราวนี้เป็นสามสหายน้อยส่งเสียงร้องเรียกหลินหลินบ้าง ทั้งยังเข้ามาคลอเคลียด้วยความเป็นห่วงทำให้ชิงหลินได้สติ

ฝ่ายหงส์เพลิงเห็นท่าทีแปลกๆจึงลองเพ่งจิตดูสถานการณ์เบื้องล่างบ้าง ภาพที่ปรากฏให้เห็นทำให้หงส์เพลิงรำพันกับตัวมันเองในใจ อา..สมควรแล้วที่นางจะมีอาการเช่นนี้

"อย่าโทษตัวเองไป ต่อให้เจ้าเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ ก็ไม่สามารถช่วยให้มนุษย์ทุกคนรอดพ้นกับความตายและวิบากกรรมได้หรอก"หงส์เพลิงกล่าวปลอบนาง

"แต่นี่มันโหดเหี้ยมเกินไป สังหารได้กระทั่งเด็ก!"พูดจบน้ำตาก็ไหลออกมา นางเกิดในยุคสันติที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์ เห็นการเข่นฆ่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมและจะถูกประณามอย่างรุนแรงจากผู้คนในสังคม ถึงแม้จะเคยพบเห็นสงครามกลางเมืองตามสื่อต่างๆในโลกเก่ามาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นจะจะอย่างนี้มาก่อน

ภาพที่เห็นคือ สภาพบ้านเรือนเสียหายหลายสิบหลังเพราะไฟไหม้เหลือเพียงตอตะโกมีควันไฟหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง ตามตรอกซอกซอยมีศพถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม กะคร่าวๆด้วยสายตาไม่ต่ำกว่าห้าสิบชีวิต! มีบางรายที่บาดเจ็บสาหัสนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด เป็นที่น่าอเนจอนาถสะเทือนใจยิ่งนัก

ภาพถัดมานางเห็นชาวบ้านนับร้อยทุกวัยทั้งหญิงและชาย ถูกต้อนให้ไปรวมกลุ่มกันที่ลานกว้างจวนนายอำเภอชิงไห่ ในสภาพถูกมัดมือโยงต่อๆกัน โดยกลุ่มชายชุดดำปิดบังใบหน้ามากว่าห้าร้อยยากจะระบุได้ว่าเป็นทหารหรือโจรถ่อย

แต่นางเดาว่าน่าจะเป็นทหาร ดูจากความเป็นระบบระเบียบไม่วุ่นวายทั้งที่พรรคพวกมากมายถึงเพียงนั้น หากเป็นโจรถ่อยจริงไม่มีทางคุมได้ดีถึงเพียงนี้หรอก แล้วพวกมันมีจุดประสงค์อะไรถึงได้เข่นฆ่าชาวบ้านที่ไม่มีทางสู้อย่างนี้? หนำซ้ำยังจับชาวบ้านไว้เป็นตัวประกันอีก

ชิงไห่ประสบภัยแล้งมาเกือบสามปี ชาวบ้านอดมื้อกินมื้อ ทรัพย์สินเงินทองของมีค่าไหนเลยจะหลงเหลือให้ปล้นชิงได้? อา..ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลก..

"...เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป จะลงไปช่วยมนุษย์อ่อนแอเหล่านั้นหรือไม่?"หงส์เพลิงถามทางจิต ดวงตาสีแดงเพลิงเหลือบมองมาข้างหลัง

"เห็นคนตกทุกข์ได้ยากแล้วยังนิ่งเฉย ก็ไม่สมควรได้ชื่อว่ามนุษย์ แต่ข้าไม่รู้จะช่วยอย่างไร? จุดประสงค์ของคนชั่วคืออะไรก็ยังไม่รู้? ท่านมีความคิดดีๆบ้างหรือไม่เจ้าคะ?"ชิงหลินที่หยุดร้องไห้มาได้สักพักแล้ว ย้อนถามหงส์เพลิงสายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

"จับหัวหน้ามันมาถามเสียก็สิ้นเรื่อง"คำตอบของหงส์เพลิง หากมาจากปากผู้อื่นคงต้องถูกหัวเราะเยาะเป็นแน่ มีอย่างที่ไหนให้ไปจับหัวหน้าโจรถ่อยเพื่อเค้นถามความจริง

"อืม..ความคิดของท่านไม่เลวเลยเจ้าค่ะ หากจับหัวหน้าได้ก็จะได้รู้ความจริง ชาวบ้านและคนอื่นๆก็จะปลอดภัยไปด้วย"

"คนอื่นๆ?..เจ้าหมายรวมถึงโจรถ่อยสมควรตายเหล่านั้น?"

"ข้าแค่ไม่อยากเห็นใครตายไปมากกว่านี้ อีกอย่างวิธีลงโทษก็มีมากมายที่สร้างเจ็บปวดทรมานเสียยิ่งกว่าตาย ท่านว่าจริงหรือไม่?"ถ้อยคำแม้จะฟังดูราบเรียบแต่ทำเอาหงส์เพลิงอึ้งไป การลงทัณฑ์ที่สร้างความเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าตาย?

"ฮ่าๆๆๆ ตอบได้ดี! แล้วข้าจะรอดู!"หงส์เพลิงส่งเสียงหัวเราะออกมา พอใจกับคำตอบของนางยิ่งนัก

สี่สหายน้อยมองดูการสนทนาระหว่างหลินหลินกับหงส์เพลิงเงียบๆ ไม่กล้าเอ่ยแทรกเกรงจะไปทำให้หงส์เพลิงกริ้ว แล้วสลัดพวกมันให้หล่นลงไปยังพื้นเบื้องล่างขึ้นมามีหวังได้เจ็บตัวกันเปล่าๆ

"แล้วเจ้าจะใช้วิธีใดจับหัวหน้าโจรถ่อย?"แสร้งเอ่ยถามเสียงเครียด ทั้งที่ภายในใจกำลังรื่นเริงและสนใจยิ่งว่านางจะใช้วิธีใดจัดการ

"แผนของข้าก็คือ.....ไม่มีแผน"

หงส์เพลิงผงะไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบ หมายความว่าอะไร? แผนคือไม่มีแผน?

ส่วนสี่สหายน้อยเอียงคอมองไม่เข้าใจและไม่คิดจะเข้าใจ รู้เพียงว่าพวกมันแค่เตรียมตัวให้พร้อมที่จะเล่นสนุกเท่านั้นเป็นพอ!

-------------------

ห้องโถงจวนนายอำเภอชิงไห่

"ท่านประมุข เจ้านี่มันปากแข็งนัก ทรมานอย่างไรมันก็ไม่ยอมปริปากบอกที่ซ่อนคลังอาวุธขอรับ"ชายฉกรรจ์ชุดดำรายงานต่อชายชุดดำอีกคนที่ร่างกายห่อหุ้มด้วยเกราะเหล็กสีดำทั้งตัว สวมหน้ากากปีศาจสีขาวริมฝีปากสีแดงสดมีเขี้ยวยาวแลดูน่ากลัว

ชายผู้นั้นกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงตำแหน่งประธาน มีชายชุดดำคลุมใบหน้าครึ่งล่างยืนขนาบซ้ายขวา ในมือถือดาบกอดอกเยื้องออกมาด้านหน้าสี่ห้าก้าว สองฝั่งยังมีชายชุดดำยืนเรียงแถวหน้าเข้าหากันฝั่งละสิบคน แต่ละคนแผ่ไอสังหารออกมาเต็มที่

บรรยากาศในห้องโถงยามนี้ จึงอบอวลไปด้วยรังสีฆ่าฟันชวนให้ผู้คนสะพรึงกลัวและหนาวเหน็บไปถึงกระดูก

"นำลูกเมียมันเข้ามา"เสียงนั้นไม่ดังแต่กลับทำให้ร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดนอนคว่ำหน้าสองมือถูกมัดอยู่ข้างหลังหายใจรวยรินสะท้านเฮือก

"เจ้าโจรชั่ว! คิดจะทำอันใด?!"หม่าเทียนอี้ใช้พลังทั้งหมดที่มีตะโกนออกมาสุดเสียงจนกระอักเลือดออกมาคำโต แต่หม่าเทียนอี้หาได้ใส่ใจไม่ กะเสือกกะสนดิ้นรนสุดชีวิตให้หลุดจากเชือกที่พันธนาการ ใบหน้าชุ่มเลือดบิดเบี้ยวสองตาจ้องเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อและเต็มไปด้วยความอาฆาตเคียดแค้น

หม่าเทียนอี้วัยสี่สิบ เป็นนายอำเภอชิงไห่มากว่าสิบปีแล้ว พื้นที่ปกครองห้าร้อยครัวเรือน ทิศเหนือติดอำเภอเฟิ่งกู่ทิศใต้ติดแคว้นฉิน เป็นอำเภอที่มีขนาดใหญ่รองจากอำเภอเฟิ่งกู่จากทั้งสิ้นเจ็ดอำเภอ ของเมืองชานตง

ขุนนางใจซื่อมือสะอาดน่านับถือคนหนึ่ง สร้างผลงานแก่อำเภอชิงไห่ไว้มากมาย เป็นที่รักและเคารพของชาวบ้าน แต่เพราะไม่ชอบประจบสอพลอขุนนางผู้ใหญ่ทำให้ไร้ซึ่งคนสนับ สนุน หน้าที่การงานจึงไม่ก้าวหน้าอย่างที่ควรจะเป็น แต่หม่าเทียนอี้หาได้ใส่ใจไม่ ขอเพียงครอบครัวอยู่พร้อมหน้ารักใคร่กลมเกลียวชาวบ้านอยู่ดีกินดีเท่านี้ก็พอแล้ว

ชิงไห่เป็นพื้นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การเพาะปลูก ชาวบ้านจึงทำนาเป็นหลักเช่นเดียวกับอำเภอเฟิ่งกู่ แต่สามปีหลังกลับประสบภัยแล้งอย่างหนักไม่ทราบสาเหตุ แม่น้ำลำคลองตามธรรมชาติแห้งขอดจนเผยให้เห็นพื้นดินที่อยู่ข้างใต้ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนและมีบางส่วนอพยพไปตายเอาดาบหน้า สร้างความปวดใจแก่หม่าเทียนอี้ยิ่งนัก ทั้งยังโทษว่าเป็นความผิดของตนที่ไร้สามารถไม่อาจแก้ปัญหาความเดือดร้อนทุกข์ใจของชาวบ้านได้

ความคิดหยุดลง เมื่อเห็นชายชุดดำสองคนนำฮูหยินและบุตรชายฝาแฝดวัยสิบขวบปีที่ถูกมัดมือไว้ข้างหลัง มีผ้าปิดปากมิให้ส่งเสียงร้องเข้ามาในโถงด้านใน แล้วผลักทั้งสามอย่างแรงจนล้มใส่ร่างหม่าเทียนอี้ที่นอนคว่ำหน้าเชิดหัวขึ้นมองอยู่

"อื้อ..อ้านอ้อ..อ้านอ้อ...อ้าอัว..อ้าอัว..ฮือๆๆ(ท่านพ่อ..ท่านพ่อ..ข้ากลัว..ข้ากลัว..)"หม่าเทียนจิ้น บุตรชายคนโตร้องเรียกผู้เป็นบิดาเสียงอู้อี้ๆน้ำตาไหลอาบแก้ม เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวเฉกเช่นเดียวกับ หม่าเทียนเซิง ผู้เป็นน้องชายและหม่าฮูหยินภรรยา

"ไม่ต้องกลัว พ่ออยู่ทั้งคน พ่อจะปกป้องพวกเจ้า"หม่าเทียนอี้กล่าวปลอบบุตรชาย แม้ปากจะให้คำมั่นแต่ภายในใจกลับพร่ำขอโทษที่นำพาหายนะมาสู่ครอบครัว

หม่าเทียนอี้ พอจะเดาจุดประสงค์ที่พวกมันบุกยึดชิงไห่ และจับชาวบ้านเป็นตัวประกัน พวกมันหมายตาคลังอาวุธที่เก็บซ่อนไว้มาหลายสิบปี ซึ่งหม่าเทียนอี้ทราบดีว่ามันถูกเก็บซ่อนไว้ที่ใด ด้วยแผนที่ที่เผอิญค้นเจอในห้องหนังสือ แต่เก็บงำปิดเป็นความลับกับตัวมาตลอด เพราะเกรงว่าตนเองและครอบครัวอาจตกอยู่ในอันตราย หากมีผู้ไม่ประสงค์ดีใส่ร้ายว่า เป็นพวกกบฏแล้วตนซึ่งเป็นเพียงขุนนางเล็กๆจะมีปัญญาแก้ต่างให้ตนเองได้อย่างไร ข้อหากบฏประหารเจ็ดชั่วโคตร เช่นนั้นแล้วสกุลหม่ามิต้องจบสิ้นที่รุ่นของตนหรือ?

จนเมื่อครึ่งเดือนก่อน หม่าเทียนอี้ตัดสินใจเขียนฎีกาถึงฝ่าบาทขึ้นมา เนื้อความคือเล่าถึงความเดือดร้อนทุกเข็ญของขาวบ้านและเรื่องการมีอยู่ของคลังอาวุธ เพียงแต่ไม่ได้กล่าวถึงตำแหน่งที่ซ่อน ปรารถนาให้ฝ่าบาทสนพระทัยและให้การช่วยเหลือ ไหนเลยจะคาดคิดว่าจะถูกหานซือเฉิง เจ้าเมืองชานตงยึดฎีกาไว้ ซ้ำดูท่าความลับที่รั่วไหลก็คงเป็นเพราะมัน!

"ประมุขข้าไม่อยากเสียเวลากับขุนนางต่ำต้อยเช่นเจ้า พูดมา!ไม่เช่นนั้น...ข้าจะตัดมือตัดลิ้นลูกเมียเจ้าซะ!"ชายร่างใหญ่ยักษ์ที่ยืนใกล้ชายที่มันเรียกว่า ประมุข ตวาดขู่เสียงดังจนคนทั้งสี่สะดุ้งตกใจกลัวรนราน ตัวที่สั่นเทาอยู่แล้วยิ่งสั่นหนักขึ้น

หม่าเทียนอี้กัดริมฝีปากล่างจนเลือดออก โกรธมากจนเส้นเลือดข้างขมับปูดโปน ดวงตาทั้งสองแดงก่ำจ้องมองมันเขม็งลูกนัยน์ตาแทบถลนออกมานอกเบ้า หายใจติดๆขัดๆเหลือบมองฮูหยินและบุตรทั้งสองด้วยสายตาเจ็บปวด

"อ้านอี้...อากอะอาย..อ้ออายอ้วยกัน(ท่านพี่...หากจะตาย...ก็ตายด้วยกัน)"ฮูหยินหม่าตอบเสียงอู้อี้ แต่ยังพอจับใจความได้ ดวงตาคู่งามแม้จะยังมีน้ำไหลรินออกมาแต่กลับเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว ทำเอาหม่าเทียนอี้น้ำตาซึมซาบซึ้งในความเด็ดเดี่ยวของนาง

"พวกเจ้าอยากจะทำอันใดก็เชิญ!..แต่ข้า หม่าเทียนอี้ จะไม่ยอมเป็นคนชั่ว ให้ผู้คนประณามว่าเป็นขุนนางขายชาติเด็ดขาด!"ถ้อยคำที่หนักแน่น สายตาที่เด็ดเดี่ยวของหม่าเทียนอี้ สร้างความประทับใจแก่ชายผู้ประมุขไม่น้อย

"ฮ่าๆๆๆๆ....ดี!...ข้าจะดูซิว่า เจ้าจะใจแข็งได้นานแค่ไหน?....ควักลูกตาลูกเมียมันซะ!"สะบัดชายเสื้อสั่งเสียงเหี้ยม เสียงที่ทำเอาผู้ที่ได้ยินพากันตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

"อื้อ...อ่า..อ้านอ้อ..อ้านอ้อ...อ้วยอ้าอ้วย..ฮือๆๆๆ(อย่า..ท่านพ่อ..ท่านพ่อ...ช่วยข้าด้วย)"

"พ่อขอโทษเจ้า..พ่อขอโทษ...พ่อขอโทษ..."หม่าเทียนอี้พร่ำขอโทษบุตรชายด้วยน้ำตานองหน้า อา...สวรรค์ ข้าหม่าเทียนอี้ทำแต่ความดีมาตลอด ใยท่านจึงทอดทิ้งข้าเช่นนี้....หม่าเทียนอี้ต่อว่าสวรรค์ด้วยความน้อยใจและคับแค้นใจ

ชายสามคนย่างสามขุมเข้าหาสามแม่ลูกช้าๆ ในมือมีมีดสั้น ดวงตาทั้งสามคู่ฉายแววสนุกสนานรื่นเริง ราวกับได้เจอสิ่งถูกใจ ทั้งที่กำลังจะควักลูกตาคนเป็นๆ เจ้าพวกนี้ใจคอโหดเหี้ยม วิปริตเกินไปแล้ว!

แต่ก่อนที่พวกมันจะได้ลงมือ...

"ท่านประมุข!...เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!"ชายชุดดำนายหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เนื้อตัวเต็มไปด้วยขี้นกส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วโถง จนผู้ที่อยู่ในโถงถึงกับเบือนหน้าย่นจมูกหนีไม่เว้นประมุขของพวกมัน

"ว่ามา หากไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงดังที่เจ้าว่า ข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะ"ชายผู้เป็นประมุขกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน ใช้พลังภายในเพียงหนึ่งส่วนก็สามารถซัดผู้ที่เข้ามารายงานกระเด็นกระดอนไปจนติดธรณีประตูกระอักเลือดออกมาคำโต ก่อนจะกระเสือกกระสนคลานเข่าเข้ามาที่เดิมอีกครั้ง

"ถะถะถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขะข้ายอมถูก ตะตัดลิ้นขอรับ"แม้จะรายงานติดอ่างเพราะความหวาดเกรงในพลังอำนาจ แต่ก็มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าข่าวที่นำมาแจ้งจะไม่ทำให้ต้องถูกตัดลิ้นอย่างแน่นอน

"...."ชายผู้เป็นประมุขหรี่ตามองอย่างครุ่นคิด ดูเจ้านี่แล้ว เห็นทีคงจะไม่ใช่เรื่องเล็กเป็นแน่

"ท่านประมุข ข้าจะออกไปดูเองขอรับ"ชายที่ยืนเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้น

"..."ชายผู้เป็นประมุขยกมือห้ามสาวเท้านำออกไปทันที พร้อมผู้ติดตามจำนวนหนึ่งเหลือทิ้งไว้เพียงสี่คนเท่านั้น

".....?"หม่าเทียนอี้มองตามหลังพวกมันอย่างงุนงง ลอบถอนใจที่รอดมาได้อย่างหวุดหวิด แม้ไม่รู้ว่าจะรอดได้นานเพียงใดก็ตาม

"อ้านอ้อ(ท่านพ่อ)ฮือๆๆๆ"หม่าเทียนจิ้นซบลงกับไหล่ผู้เป็นบิดาที่ลุกขึ้นมานั่งได้แล้วอย่างทุลักทุเล มีหม่าเทียนเซิงน้องเล็กซบหน้าร้องไห้อยู่กลางอกบิดา

"อ้านอี้....อ้านเอ็นอ่างไออ้าง?(ท่านพี่....ท่านเป็นเช่นไรบ้าง?)"ฮูหยินหม่าส่งเสียงอู้อี้ถามสามีด้วยความเป็นห่วง อยากจะเช็ดเลือดที่ใบหน้าให้แต่มือถูกมัดไว้ จึงทำได้เพียงส่งเสียงถามพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

"ฮูหยิน ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าและลูก ต้องมาประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้"หม่าเทียนอี้กล่าวขอโทษนาง หม่าฮูหยินสั่นศีรษะ

"อ้านอี้(ท่านพี่)"หม่าฮูหยินซบลงกับไหล่อีกข้างของสามีแล้วร้องไห้ออกมาเบาๆ บรรยากาศรอบตัวทั้งสี่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและน้อยใจในโชคชะตา

-------------

ลานกว้างหน้าจวนนายอำเภอ ซึ่งอยู่ห่างจากโถงหลักเกือบหนึ่งเค่อสำหรับการเดินเท้าแบบปกติ แต่ด้วยวรยุทธอันสูงส่ง เพียงพริบตาเดียวกลุ่มชายชุดดำก็มาถึงที่หมายแล้ว

พอมาถึงสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาทำเอาผู้มาใหม่ถึงกับอึ้ง เมื่อเห็นพรรคพวกพากันวิ่งหลบทุ่นระเบิดขี้นกที่ฝูงนกนับพันปล่อยลงมา นอกจากขี้นกแล้วยังมีก้อนหินอีกด้วย และดูเหมือนฝูงนกเหล่านั้นจะมุ่งโจมตีแต่ฝ่ายตน เพราะชาวบ้านที่ถูกจับมานับร้อยอยู่กลางลานกว้างหาได้ถูกฝูงนกโจมตีไม่

"ท่านประมุข...นี่มัน..."ชายที่ถูกเรียกว่า มือขวา เอ่ยขึ้น พร้อมกับสร้างเกราะป้องกันการโจมตีที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าให้ตนเองและประมุข คนอื่นรีบทำตามบ้าง

"หึๆ..ธิดาสวรรค์!....ในเมื่อมาแล้ว ก็ออกมาคุยกับข้าหน่อยเป็นไร!"ถ้อยคำของชายผู้เป็นประมุข สร้างความตื่นตะลึงแก่ผู้คนแม้แต่ลูกน้องที่กำลังวิ่งหลบการโจมตีจากฝูงนกยังหยุดชะงักได้สติรีบมาคุกเข่าเบื้องหน้าประมุขของตน

สิ้นคำท้าทายของชายผู้เป็นประมุข ฝูงนกก็พากันหยุดโจมตี บินไปเกาะตามหลังคาบ้างกำแพงบ้างด้วยอาการสงบเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

"หากท่านอยากคุยกับข้า ก็ปล่อยพวกชาวบ้านเสียก่อน"เสียงกังวานใสดังกลับมาจากท้องฟ้าที่ว่างเปล่า

"ฮ่าๆๆหากทำเช่นนั้น แล้วข้าจะได้สิ่งใด?"ชายผู้เป็นประมุขหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น แล้วถามกลับอย่างเจ้าเล่ห์

"ข้าจะไม่ทรมานเจ้า และปล่อยเจ้าไป"

"ฮ่าๆๆดี!...ข้าต้องขอคำชี้แนะจากธิดาสวรรค์แล้ว! รับมือ!"กล่าวจบ ก็ดีดตัวเหาะเหินขึ้นไปยังทิศทางของเสียง ชักดาบที่เปี่ยมล้นด้วยพลังภายใน ตวัดหนึ่งหนปรากฏลำแสงสีดำรูปกากบาท พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วจู่ๆก็หายไปต่อหน้าต่อตา ทำเอาเจ้าของผู้ใช้พลังถึงกับอึ้งไม่เชื่อสายตา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าหลังหน้ากากปีศาจ กลายเป็นความเครียดขึงเข้ามาแทนที่ ไม่เคยมีผู้ใดรอดจากการโจมตีของสายฟ้าดำของข้ามาก่อน หรือนางจะเป็นธิดาสวรรค์อย่างที่ผู้คนล่ำลือจริงๆ?.....

อ่านแล้วชอบ อย่าลืมเพิ่มในคลังหนังสือน้า^_^

SARABIYA_1501creators' thoughts
Próximo capítulo