อันว่าอำเภอเฟิ่งกู่นั้น อยู่ห่างจากเมืองชานตงราวสองวันสำหรับรถม้า แต่การเดินทางครั้งนี้กลับต้องใช้เวลาถึงห้าวัน เพราะมีชาวบ้านอำเภอเฟิ่งกู่ติดตามขบวนกลับบ้านเกิดเป็นจำนวนมาก ทำให้รถม้ามิเพียงพอ แม้จะหามาเพิ่มได้กว่าสามสิบคันแล้วก็ตาม ทำให้บางส่วนต้องเดินเท้ากลับบ้าน
มู่หลิ่งเหวินจึงมีคำสั่งให้เด็กสตรีคนชราและคนอ่อนแอ ได้สิทธิ์นั่งรถม้า ส่วนชายฉกรรจ์ที่มีร่างกายแข็งแรงให้เดินเท้า การตัดสินใจเช่นนี้ทำให้ย่นระเวลาได้ถึงสองวัน จากเดิมที่คาดไว้เจ็ดวันสำหรับการเดินเท้า
ระหว่างทางเมื่อถึงเวลาพักรับประทานอาหาร ชิงหลินมักจะเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของชาวบ้าน แบ่งอาหารให้บ้าง พูดให้กำลังใจบ้าง การกระเหล่านั้นอาจจะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย แต่สำหรับชาวบ้านผู้ตกทุกข์ได้ยาก เป็นดั่งสายฝนอันชุ่มฉ่ำตกลงมายังผืนดินอันแห้งแล้ง ชุบพื้นดินให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
แม่ทัพหนุ่มยืนกอดอก ทอดสายตามองร่างเล็กบอบบางที่งดงาม เปล่งประกายอยู่ท่ามกลางเด็กและเสียงหัวเราะ มีเจ้าสี่มารน้อยคอยเรียกความสนใจจากเด็กเหล่านั้นได้เป็นอย่างดีด้วยสายตาอ่อนโยน
"อา..ท่านแม่ทัพช่างเป็นบุรุษที่โชคดีนัก ที่ได้ภรรยาแสนวิเศษและเพียบพร้อมเช่นนี้"จินเฉวียนเอ่ยชมจริงใจ
คนฟังยกยิ้มพอใจ ใช่ โชคดีที่ได้นางมาเป็นภรรยา เขากล้าพูดได้เต็มปากว่า หากจะหาสตรีที่วิเศษ อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ชอบช่วยเหลือผู้อื่นไม่ห่วงตนเองเช่นนี้ เห็นทีคงดั่งงมเข็มในมหาสมุทร เพียงแต่หลายวันมานี้ถูกเจ้าสี่มารน้อยกับเด็กน่ารำคาญเหล่านั้นแย่งเวลาส่วนตัวที่จะอยู่กับนางไปเสียเกือบหมด!
"พี่ธิดาสวรรค์ ท่านจะอยู่กับพวกเราตลอดไปใช่หรือไม่เจ้าคะ?"เสียงแหลมเล็กของเด็กน้อยคนหนึ่งถามขึ้น เป็นเหตุให้เด็กคนอื่นหยุดชะงัก แล้วพากันคลานเข่าเข้ามานั่งเบื้องหน้าธิดาสวรรค์แววตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง
"พี่ธิดาสรรค์ คงอยู่กับพวกเจ้าตลอดไปไม่ได้ แต่พี่ธิดาสวรรค์สัญญาว่า จะมาเยี่ยมพวกเจ้าบ่อยๆ"ยิ้มตอบพลางลูบศีรษะของเด็กน้อยช่างถาม
ตำตอบของนางทำให้เด็กๆหน้าเศร้าคอตกด้วยความผิดหวัง ลามไปยังชาวบ้านที่นั่งรับประทานอาหาร พอได้ยินถ้อยคำนั้นความอยากอาหารก็หายไปแทบจะทันทีบางคนถึงกับวางหมั่นโถวในมือลงดื้อๆ
"พี่ธิดาสวรรค์ แล้วท่านจะอยู่กับพวกเรานานเพียงใดขอรับ?"เด็กชายวัยราวสิบขวบเอ่ยถามบ้าง หลังจากที่ถูกความผิดหวังครอบงำไปพักหนึ่ง
"อืม...เรื่องนั้นยังบอกไม่ได้..แต่อย่างน้อยก็หนึ่งเดือนจ้ะ"ตอบพลางเหลือบมองสามีอย่างขอความเห็น เห็นเขาพยักหน้าให้เชิงอนุญาตก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมาจนตาหยีอวดลักยิ้มและฟันขาวอย่างไม่ตั้งใจ ท่ามกลางสายตานับพันที่เฝ้ามองอยู่ ทุกคนต่างตะลึงงันราวกับถูกมนต์สะกด คิดตรงกันว่า อา...นี่คือ...รอยยิ้มของธิดาสวรรค์? ช่างงดงามสดใสและบริสุทธิ์ยิ่งนัก
"..."ผิดกับแม่ทัพหนุ่มที่หงุดหงิดไม่ชอบใจเผลอปล่อยรังสีความขุ่นเคืองกดดันผู้คนออกมา จนจินเฉวียที่ไร้วรยุทธยังรู้สึกได้ รีบถอยมายืนให้ห่างอีกหลายก้าว
"..."ส่วนองครักษ์ทั้งสี่ที่คุ้นชินกับอารมณ์แปรปรวนของท่านแม่ทัพ มองหน้ากันแล้วแอบขำ อา...ท่านจะรู้ตัวรึไม่? เมื่อใดที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินน้อย ท่านมักจะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ท่านแม่ทัพที่แสนจะสุขุมเยือกเย็น แม้ในสถานการณ์วิกฤต ไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ศึกใด กลับต้องมาหวั่นไหว พ่ายแพ้ให้ฮูหยินน้อย สตรีร่างเล็กบอบบางผู้นี้ คิดแล้วก็ให้.....
"หลินเอ๋อร์ ไปเถิด"แม่ทัพหนุ่มกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
"เอ่อ..เจ้าค่ะ"ตอบรับแล้วยืนขึ้นอย่างงงๆ แล้วเดินไปหาสามี แน่นอนพร้อมด้วยผู้ติดตามสิบสองคนและสี่สหายน้อย
"เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?"เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ เพราะทุกครั้งเมื่อถึงมื้ออาหารกลางวัน ทุกคนจะได้หยุดพักครึ่งชั่วยาม แต่นี่พึ่งจะผ่านไปสองเค่อเท่านั้น
นี่นางไม่รู้เลยหรือ ว่าข้ารู้สึกเช่นไร? นางเป็นภรรยาข้าสมควรอยู่ข้างกายคอยดูแลข้าสิ!
"เอ่อ..ฮูหยินน้อย..ทำตามที่ท่านแม่ทัพบอกเถิดเจ้าค่ะ"เสี่ยวอี้กระซิบบอกนายสาว เมื่อสังเกตเห็นความขุ่นเคืองใจ ฉายออกมาทางแววตาของท่านแม่ทัพ
"ว๊าย!..แหก!"อุทานตกใจเสียงดัง ที่จู่ๆก็ถูกสามีอุ้มสองแขนเรียวจึงคว้าโอบคอเขาไว้ตามสัญชาตญาณ "ท่านทำอะไรเนี่ย ตกใจหมดเลย"หลังจากหายตกใจ มือเล็กทุบไปที่อกหนั่นแน่นหนึ่งครั้งทำโทษ
ฝ่ายคนที่อารมณ์ไม่ดี พอได้ยินคำอุทานของนางก็แทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ แหก?...อา..คำนี้ไม่ได้ยินเสียนาน..มันหมายความว่าอย่างไรนะ? เขาต้องรู้ให้จงได้
เช่นเดียวกับองครักษ์ทั้งสี่และกองกำลังหลิ่งหลินทั้งสิบ ที่เหลือบมองฮูหยินน้อยคิ้วเข้มขมวดมุ่นสงสัยคิดตรงกันว่า แหก?ไม่เคยได้ยินจากที่ใดมาก่อนภาษาชนเผ่าน้อยกระมัง?
"ปล่อยข้าลงนะเจ้าคะ ข้าเดินเองได้"กัดฟันบอกเขาเสียงเบา ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำอายจนไม่กล้าเงยหน้ามองผู้คน
"อยู่นิ่งๆ ไม่เช่นนั้นพี่จะจุมพิตเจ้าต่อหน้าคนเหล่านี้เสียเลย"แม่ทัพหนุ่มขู่นางในอ้อมแขนเสียงเข้มและเป็นอีกครั้งที่มันได้ผล แม้ใจลึกๆอยากให้นางลองดิ้นรนขัดขืนดูบ้าง เพื่อที่ตนจะได้หาเรื่องจุมพิตนางก็เถิด
คนถูกขู่รีบซุกหน้าลงกับอกแกร่งทำตัวเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ปล่อยให้สามีอุ้มไป เพราะลึกๆในใจก็ไม่ได้ไม่ชอบที่เขาทำเช่นนี้ ก็แค่รู้สึกอายเท่านั้นเอง
"....."สี่สหายน้อย เมื่อเห็นหลินหลินถูกอุ้มไปก็ตั้งท่าจะวิ่งไล่ตาม แต่จิ๋นซาน จิ๋นซื่อจับตัวไว้เสียก่อนพวกมันจึงได้แต่ร้องประท้วงดิ้นขลุกขลักๆขัดใจ
"ไม่ต้องตามมา!จิ๋นอี้!"แม่ทัพหนุ่มสั่งห้ามเสียงเข้มทันทีที่เหลือบไปเห็นกองกำลังหลิ่งหลินทั้งสิบขยับตัวจะตามมาจากนั้นหันไปเรียกองครักษ์หนุ่ม
"ขอรับท่านแม่ทัพ!"จิ๋นอี้ก้าวออกมา
"ให้เจ้าดูแลเรื่องการเดินทาง หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าตัดสินใจแทนข้าได้"กล่าวกับองครักษ์เสียงเข้ม
"รับทราบ!!"จิ๋นอี้โค้งคำนับอย่างเข้มแข็ง
"แล้วเจอกันที่จวนอำเภอเฟิ่งกู่....ใต้เท้าจิน"กล่าวกับองครักษ์เสร็จ ก็หันมาค้อมศีรษะให้จินเฉวียน จากนั้นดีดตัวขึ้นไปนั่งบนหลังเจ้าทาเสว่ด้วยท่วงท่าสง่างาม จนชาวบ้านทั้งชายหญิงพากันอ้าปากค้าง ลืมหายใจไปชั่วขณะ อา...ช่างสง่างามยิ่งนักราวกับเทพเซียน
"ทุกคนเตรียมตัวออกเดินทางได้!"จิ๋นอี้ที่ต้องรับหน้าที่คุมขบวนแทนเป็นการชั่วคราว ตะโกนสั่งเสียงดัง หลังจากที่ท่านแม่ทัพกับฮูหยินน้อยควบม้าจากไป
"..น้องเล็ก หลินหลินไม่เป็นอันใดหรอก เจ้าอย่ากังวลไปนักเลย"ฟงฟงน้อยร้องบอกฟานฟานน้อย
"ลองหลินหลินเป็นอันใดสิ ข้าจะกัดเจ้าคนนิสัยไม่ดีให้จมเขี้ยวเชียว"ฟานฟานน้อยแค่นเสียงรอดไรฟันกล่าวกับพยัคฆ์น้อยตัวพี่
"เหวินเหวินเก่งออกปานนั้น ไม่มีทางปล่อยให้หลินหลินเป็นอันตรายหรอกเจ้าค่ะ"หมั่นโถวน้อยรีบออกตัวปกป้องแม่ทัพหนุ่ม
"ข้าก็คิดเช่นนั้น หัวหน้าท่านต้องเปิดใจให้กว้างกว่านี้นะขอรับ"เป่าเปาน้อย เห็นด้วยกับคำพูดของหมั่นโถว จิ้งจอกน้อยตัวน้อง
"เหอะ แล้วข้าจะคอยดู"ฟานฟานน้อยสะบัดหัวกลมๆเล็กๆหนีไม่พอใจ ที่เจ้าหมั่นโถวจอมขี้แยออกปากปกป้องคู่อริที่ชอบกลั่นแกล้งมัน ซ้ำยังถูกตำหนิว่า เป็นพยัคฆ์น้อยใจแคบอีก
".....?"การสนทนาประสาสัตว์ของสี่สหายน้อย อยู่ในสายตาของจิ๋นซาน จิ๋นซื่อตลอด พวกเขาไม่รู้ว่าพวกมันทั้งสี่สนทนาอันใดกัน เพราะสิ่งที่ได้ยิน มีเพียง แง้วๆ กับ ฮ่งๆ สลับกันไปมาเท่านั้น
"สี่ตัวนี้ ฝากพวกเจ้าดูแลด้วย"จิ๋นซานกล่าวกับสองสาวใช้ที่ขึ้นไปนั่งในรถม้าของตนเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงส่งสี่สหายน้อยให้สองสาวใช้
"ข้าจะดูแลอย่างดีเจ้าค่ะ"เสี่ยวอี้ก้มหน้าตอบเอียงอาย ด้วยแอบชอบในตัวขององครักษ์หนุ่มผู้นี้อยู่ ซึ่งเสี่ยวสุ่ยผู้เป็นน้องสาวก็รับรู้เรื่องนี้ดี
"...เอ่อ..ข้าขอตัวก่อน"จิ๋นซานเห็นท่าทางเอียงอายของสตรีเบื้องหน้า ก็ให้รู้สึกขัดเขินขึ้นมา ด้วยไม่ใคร่ได้สนทนาพูดคุยกับสตรีมากนัก อีกอย่างรูปโฉมนางก็น่าเอ็นดูซ้ำยังขยันขันแข็ง โดยเฉพาะเรื่องที่เอาตัวเองเข้าปกป้องฮูหยินน้อยจนตนเองได้รับบาดเจ็บทำให้จิ๋นซานประทับใจและชื่นชมในข้อนี้ของนางยิ่งนัก นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้จิ๋นซานสนใจและแอบลอบมองนางอยู่บ่อยครั้งที่มีโอกาส
"อะแฮ่ม..พี่สาวข้า ท่านหน้าแดงเหลือเกิน ไม่สบายหรือ?"เสี่ยวสุ่ยเย้าพี่สาว
"เจ้า..กล้าล้อเลียนพี่หรือ?.."เสี่ยวอี้หน้าแดงเป็นผลอิงเถาที่ถูกน้องสาวล้อเลียน แก้เขินด้วยการตีแรงๆที่แขนของนาง
"โอ๊ย!..เจ็บนะ เหตุใดจึงลงมือกับน้องสาวผู้อ่อนแอแรงนักเล่า?"เสียงของเสี่ยวสุ่ยดัง ออกมาเข้าหูจิ๋นซานและจิ๋นซื่อ ที่พึ่งก้าวออกไปไม่กี่ก้าว เป็นเหตุให้องครักษ์ทั้งสองหยุดฟังอย่างสนใจ
น้องสาวผู้อ่อนแอ? หึๆ..หากนางเป็นสตรีที่อ่อนแอ เกรงว่า สตรีทั้งแคว้นคงเป็นสตรีขี้โรคเป็นแน่แท้ จิ๋นซื่อยกยิ้มเหลือบมองไปที่รถม้าอย่างขบขัน
"เจ้าสนใจเจ้าของเสียงเมื่อครู่หรือ?"จิ๋นซานถามลองเชิง แอบหวังลึกๆว่า สหายร่วมงานผู้นี้จะไม่สนใจสตรีคนเดียวกันกับตน เพราะหากเป็นเช่นนั้นตนคงปวดใจไม่น้อย
"อย่าพูดจาเหลวไหล สนใจอันใดกัน?"จิ๋นซื่อหลบสายตาจิ๋นซาน ก้าวเร็วๆหลบเลี่ยงการซักถามของอีกฝ่าย ใบหน้าคมเข้มเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่หากสังเกตดูให้ดีจะเห็นริ้วแดงจางๆบนใบหน้าคมเข้มนั้น
"หึๆ"จิ๋นซาน หัวเราะขบขันกับท่าทีขัดเขินของอีกฝ่าย ก่อนจะเหลือบมองไปทางรถม้าครู่หนึ่งด้วยประกายตาล้ำลึก จากนั้นจึงหมุนกายเดินกลับไปที่หน้าขบวน ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับสหายร่วมงานเพื่อเดินทางต่อไป
-----------
ขณะเดียวกัน
"แยกออกมาแบบนี้ จะดีหรือเจ้าคะ?"ชิงหลินนั่งไพล่อยู่บนหลังอาชาศึกกำลังควบด้วยความเร็วปานกลาง เอ่ยถามสามีที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง สองแขนเรียวโอบกอดเอวสอบไว้แน่น
"...เช่นนี้แหละดีแล้ว"ตอบกลับเสียงเบาสูดกลิ่นหอมเข้าเต็มปอด กลิ่นกายหอมกรุ่นบางเบาที่โชยออกมาจากร่างเล็กบอบบาง เป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบมากเป็นพิเศษอย่างไม่มีเหตุผล แล้วยกยิ้มพอใจที่นางซุกหน้ากอดเอวเขาแน่นเข้า
แม้จะเป็นสามีภรรยากันมาเดือนกว่าแล้ว แต่กลับไม่ค่อยได้อยู่ตามลำพังกับนางสักเท่าใด ทำให้เขาหงุดหงิดใจและอารมณ์เสียอยู่บ่อยครั้ง
ครั้นพอคิดว่า การเดินทางแจกจ่ายเสบียงครั้งนี้ จะมีโอกาสใช้เวลาร่วมกับนางมากขึ้น กลับกลายเป็นว่า นอกจากสี่มารน้อยแล้วยังมีเด็กพวกนั้น เฝ้าล้อมหน้าล้อมหลังนางราวกับแมลงวัน ซ้ำนางยังทำตัวลื่นไหลไปตามน้ำไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขาสักนิด สร้างความหงุดหงิดขุ่นเคืองใจจึงต้องทำเช่นนี้
"อีกไกลไหมเจ้าคะ?"เสียงหวานดึงเขากลับมา "คงถึงจวนนายอำเภอก่อนค่ำนี้...หากเจ้าเหนื่อยก็พักเถิด ถึงแล้วพี่จะปลุกเจ้าเอง"ตอบพร้อมกระทุ้งสีข้างเจ้าทาเสว่ให้เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
----------
ต้นยามอิ่ว ตะวันยังไม่ลับขอบฟ้า ด้านหน้าจวนนายอำเภอเฟิ่งกู่ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางตัวอำเภอ มีบ้านเรือนเรียงรายอยู่สองฝั่งถนน มีตรอกซอกซอยคล้ายเมืองชานตง แตกต่างเพียงจำนวนประชากรและความเจริญเท่านั้น
นับแต่อดีต เฟิ่งกู่ เป็นอำเภอในฝันของพวกนายอำเภอกังฉิน ที่ต้องการกอบโกยผลประโยชน์ ที่ได้จากผลิตผลทางการเกษตร เพราะเฟิ่งกู่เป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิชั้นเลิศ ที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นฉี ข้าวที่ส่งเข้าวังหลวงล้วนมาจากที่นี่ทั้งสิ้น
แต่ใครจะนึกฝัน อำเภอที่เคยคึกคักมีชีวิตชีวา บนถนนคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ มาจับจ่ายใช้สอย หาซื้อข้าวปลาอาหาร จากร้านค้าที่ตั้งเรียงรายอยู่สองฝั่งถนนยาวเหยียด บัดนี้กลับเงียบราวกับป่าช้า
แหล่งน้ำสำคัญหลายแห่ง ที่เคยอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี กลับแห้งขอด ผืนดินแตกระแหงราวกับแผนที่ ฝุ่นกระจายฟุ้งไปทั่วยามต้องลมจนมู่หลิ่งต้องใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกของตนและภรรยา
"ไม่คิดว่าจะหนักหนาสาหัสถึงเพียงนี้"แม่ทัพหนุ่มกล่าวขึ้นเบาๆ ดวงตาคมทรงเสน่ห์กวาดตามองไปรอบๆพลางทอดถอนใจ กับภัยแล้งที่ชาวบ้านเหล่านี้ต้องประสบมาถึงสามปี
"พี่เหวิน ข้าอยากไปที่แห่งหนึ่งเจ้าค่ะ"หากใครยังจำได้นางเคยใช้ปราณพลังจิตกับที่แห่งนั้น ผ่านมาหลายวันแล้วไม่รู้ว่ายายหลานกับเหล่าสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง
"....เจ้าเคยมาที่นี่ด้วยหรือ?"คนถามออกจะแปลกใจด้วยไม่เคยได้ยินนางเอ่ยถึงที่นี่มาก่อน
"ไม่เคยมาหรอกเจ้าค่ะ"ส่ายหน้าตอบ
"อย่าให้รู้ ว่าเจ้าปดพี่ พี่จะลงโทษเจ้าให้หนักเชียว"
เอะอะขู่ๆคุณสามีเจ้าขา ท่านติดนิสัยชอบขู่มาจากฟานฟานน้อยของข้าใช่หรือไม่?
เจ้าทาเสว่ อาชาศึกตัวใหญ่ สีน้ำหมึกย่างเหยาะไปตามเส้นทางที่เจ้านายสั่งราวหนึ่งเค่อก็ถึงที่หมาย ร่างสูงพลิ้วกายลงจากหลังอาชาศึกคู่ใจ แล้วอุ้มนางลงมายืนบนพื้นเคียงข้างจากนั้นกวาดสายตามองรอบกายอย่างระแวดระวัง
เบื้องหน้าทั้งสอง คือกระท่อมที่สร้างด้วยดิน หลังคามุงด้วยหญ้าคล้ายหญ้าแฝกของไทยขนาดสี่ห้าคนอยู่ ชิงหลินเดินไปที่รั้วไม้ไผ่ ชะเง้อมองเข้าไปในกระท่อม
แอ๊ดดดด เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับร่างเล็กจ้อยของเด็กน้อยคนหนึ่งถือถังน้ำเปล่าออกมา เด็กหญิงผู้มีใบหน้าน่ารัก บัดนี้อ้าปากค้างตาโตเป็นไข่ห่านจนถังน้ำหลุดจากมือหล่นลงพื้น
"เด็กน้อย ยายอยู่หรือเปล่าจ๊ะ?"ชิงหลินถามพร้อมกับส่งยิ้มให้เด็กน้อย คำถามของนางสะดุดใจร่างสูงให้ฉุกคิด แต่ยังอดทนดูเหตุการณ์ไปก่อน
เสียงหวานทำเด็กน้อยได้สติ วิ่งหายเข้าไปในกระท่อม ปล่อยให้ชิงหลินที่กำลังจะถามต่อยกมือค้าง
"...หลินเอ๋อร์ เจ้ารู้จักพวกเขา?"
"แน่นอน ว่าไม่รู้จักเจ้าค่ะ"
"แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร? ว่าเด็กน้อยนั่นอยู่กับยาย"
"แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลังเจ้าค่ะ" ยังไม่ทันที่แม่ทัพหนุ่มจะได้กล่าวต่อ ประตูกระท่อมก็เปิดออกอีกครั้ง คราวนี้นอกจากเด็กน้อยน่ารักแล้ว ยังมีเด็กชายวัยน่าจะราวสิบขวบปีกับหญิงชราวัยหกสิบกว่าออกมาด้วย
"เอ่อ...ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองมีธุระอันใดกับข้าหรือ?"หญิงชราเอ่ยถามเสียงสั่น ไม่กล้าเงยหน้ามองเต็มตา รอบตัวบุรุษและสตรีทั้งสอง เปล่งประกายความสง่างามออกมาทำให้นางตาพร่าไปหมด
"ข้าขอดูบ่อน้ำของท่านหน่อยจะได้หรือไม่?"ชิงหลินถามแต่คำถามนั้นกลับทำให้หญิงชราและสองเด็กน้อยเงยหน้ามองสตรีผู้มีรอยยิ้มราวกับรอยยิ้มของเทพธิดาด้วยความประหลาดใจ
หญิงชรายังไม่ได้จะตอบรับหรือปฏิเสธ ด้านข้างกลับปรากฏร่างของสิ่งมีชีวิตนับสิบ พากันเดินออกมาจากด้านข้างกระท่อม ราวกับรู้ล่วงหน้าว่านางจะมาหาพวกมัน
นำโดยโคตัวใหญ่สีน้ำตาลเข้มสองตัว สุนัขพันธุ์ทางสีดำขาว น้ำตาลขาว น้ำตาลดำรวมสามตัว น่าจะเป็นแม่ลูกกัน แมวสีขาวปลอดหนึ่งตัว ยังมีสุกรตัวเต็มวัยสองตัว ปิดท้ายด้วยไก่พันธุ์ไข่อีกหกตัว
สัตว์เหล่านั้นเดินตรงมาหาสตรีที่กำลังส่งยิ้มให้พวกมัน ด้วยความดีใจและตื้นตันใจ แม้จะไม่เคยเห็นหน้าแต่เสียงที่ได้ยินมีหรือที่พวกมันจะลืมได้ ก็เพราะเสียงนั้น ทำให้พวกมันรอดพ้นจากความหิวโหยมาได้
"...ขอบพระคุณเหลือเกินขอรับ ที่ช่วยพวกเราไว้"โคหนุ่มก้มหัวให้นางอย่างซาบซึ้งและสำนึกในบุญคุณ
"ใช่ๆ เป็นเพราะท่านช่วยเหลือ พวกเราจึงยังมีชีวิตรอดถึงวันนี้ ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะ"สุนัขสีดำขาวหมอบราบกับพื้นแล้วก้มหัวให้นาง เหล่าสัตว์ตัวอื่นเห็นดังนั้นก็พากันทำตามบ้าง
ซึ่งการกระทำของพวกมัน สร้างความตื่นตะลึงแก่สามยายหลานเป็นที่สุด โดยเฉพาะหญิงชรา อา..สัตว์พวกนี้? กำลัง..ทำความ..เคารพ..สตรีนางนี้? นับแต่เกิดมาไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดมหัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน
โอ...สวรรค์ นางคือเทพธิดาใช่หรือไม่? หรือบ่อน้ำที่นางถามหาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้? หากไม่ใช่ แล้วเหตุใดสัตว์เหล่านี้ถึงได้ ปฏิบัติกับนางราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่อง?
"ไม่ต้องคำนับข้าหรอก แค่พวกเจ้าปลอดภัย ข้าก็พอใจแล้ว"ชิงหลินเดินเข้าไปลูบหัวของพวกมันทีละตัวจนครบ"อ้อ..ชอบคุณพวกเจ้าด้วยนะ ที่ช่วยนำอาหารมาให้พวกเขาตลอดหลายวันที่ผ่านมา"เงยหน้ากล่าวขอบคุณบรรดานกทั้งหลายที่เกาะอยู่บนหลังคา
"พวกเราเต็มใจช่วยขอรับ ใช่หรือไม่พวกเรา?"
"ใช่ๆ พวกเราเต็มใจช่วย"
นกนับร้อยที่เกาะหลังคาอยู่เงียบๆอยู่ดีๆก็ส่งเสียงร้องเซ็งแซ่จนแสบแก้วหู แต่ไม่ทำให้สามยายหลานหวาดกลัวแต่อย่างใด กลับมองพวกมันด้วยความซาบซึ้งและขอบคุณ ก็เพราะได้นกเหล่านี้ คอยช่วยคาบผลไม้ป่ามาให้ จึงทำให้พวกเขายายหลานมีชีวิตรอดมาได้
ทางด้านมู่หลิ่งเหวินยกยิ้มมุมปากเมื่อประติดประต่อเรื่องราวจนได้ข้อสรุป อา..หลินเอ๋อร์ เจ้าชอบทำให้พี่ประหลาดใจอยู่เรื่อย จนพี่เริ่มจะตามเจ้าไม่ทันแล้วรู้หรือไม่?
"ท่านยาย"ชิงหลินหันมาทางสามยายหลานอีกครั้ง
"จะจะเจ้าค่ะ"หญิงชราขานรับตะกุกตะกัก เด็กน้อยสองพี่น้องหลบไปอยู่ข้างหลังผู้เป็นยายอย่างขัดเขิน แอบโผล่หน้าออกมามองสตรีที่พวกเขาคิดว่าเป็น เทพธิดาด้วยความตื่นเต้น
"ช่วยพาข้าไปดูบ่อน้ำของท่านหน่อยได้ไหมเจ้าคะ?"ขอร้องด้วยใบหน้าแย้มยิ้มเป็นมิตร
"ดะดะได้ เชิญทางนี้เจ้าค่ะ"ต่อให้ใจอยากปฏิเสธ แต่พอเห็นใบหน้างดงามเต็มเปี่ยมเมตตาก็ทำให้หญิงชราใจอ่อนยวบปฏิเสธไม่ลง
"โอ้โห...นี่ท่านยายขุดเองหรือเจ้าคะ?"อุทานตื่นเต้นเพราะบ่อน้ำขนาดกว้างยาวหนึ่งเมตรที่เห็นเมื่อหลายวันก่อน กลายเป็นสระน้ำขนาดย่อมไปแล้ว กะด้วยสายตากว้างยาวประมาณสิบเมตรเห็นจะได้
"เอ่อ...เพราะได้สัตว์เหล่านี้ช่วยเหลือเจ้าค่ะ จึงขุดได้กว้างขนาดนี้"หญิงชราตอบตามจริง
"ดีจังเลยนะเจ้าคะ ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำดื่มน้ำใช้แล้ว"ย่อตัวลงตรงหน้าเด็กน้อยทั้งสองที่ยอมออกมายืนข้างผู้เป็นยายแล้วว่า "ขอโทษนะ ที่พวกเรามาช่วยเหลือช้าไปหน่อย อภัยให้พี่สาวคนนี้ได้หรือไม่?"จับมือเด็กน้อยทั้งสองไว้ ภายในใจรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูกหากใช้ความสามารถพิเศษที่มีช้ากว่านี้....จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่อยากจะคิดเลย
"แงๆๆๆๆ"เด็กน้อยทั้งสองโผเข้าหาเทพธิดาแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจใน ความเหนื่อยยากและความหิวโหยที่ต้องเผชิญมาถึงสามปี
"พี่สาวขอโทษ... พี่สาวขอโทษ...."กอดเด็กน้อยทั้งสองไว้แน่น พร่ำพูด พี่ขอโทษ ซ้ำไปซ้ำมาจนรับรู้ถึงความเปียกชื้นที่หัวไหล่ทั้งสอง
สองมือเรียวขาวลูบหลังเด็กน้อยทั้งสองอย่างปลอบโยน แต่สิ่งที่มือสัมผัสผ่านอาภรณ์หยาบราคาถูกทำเอานางขบริมฝีปากแน่นจนห้อเลือด
เด็กสองคนนี้ผอมเหลือเกิน เนื้อหนังแทบจะไม่มี ลูบไปตรงไหนก็เจอแต่กระดูก ภัยแล้งทำให้พวกเขาอดอยากถึงเพียงนี้เชียวหรือ? นี่มันเป็นการลงทัณฑ์ที่โหดร้ายเกินไปแล้ว!
เด็กน้อยทั้งสองร้องไห้จนเหนื่อยและผล็อยหลับไป ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาซุกซบอยู่กับบ่าเล็กหอมกรุ่นและอบอุ่น มุมปากยกยิ้มน้อยๆราวกับกำลังฝันดี
มู่หลิ่งเหวินเดินเข้ามาอุ้มเด็กน้อยทั้งสอง ส่งสายตามาทางหญิงชราที่ยืนตาแดงเพราะการร้องไห้ นั่นทำให้หญิงชรากุลีกุจอเปิดประตูให้อย่างเกรงใจ
"ขอภัยที่เด็กทั้งสองสร้างความลำบากให้ท่าน"หญิงชรากล่าวขอโทษอย่างสุภาพ
"ท่านยายเกรงใจไปแล้ว เป็นความผิดข้าที่ทำให้เด็กทั้งสองหวนคิดถึงเรื่องสะเทือนใจ"
"...อา..แล้วท่านจะไปพักที่ใดหรือเจ้าคะ?"
"...หากไม่เป็นการรบกวน ขอเราพักที่นี่สักคืน ได้หรือไม่เจ้าคะ?"
"อา...ย่อมได้แน่นนอนเจ้าค่ะ เชิญตามข้ามาทางนี้เถิด"หญิงชรารีบพาทั้งสองออกมาจากกระท่อม เดินนำไปยังกระท่อมอีกหลัง ซึ่งอยู่ห่างจากกระท่อมหลังแรกเข้ามาราวครึ่งลี้เปิดเข้าไปแล้วจุดเทียนวางบนโต๊ะกลางห้อง
"ข้าทำความสะอาดไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญท่านทั้งสองพักให้สบายใจเถิด อา...ไม่ทราบว่าจะให้ข้าเรียกท่านว่า...."
"ข้า มู่หลิน ส่วนเขาคือ สามีข้า มู่หลิ่งเหวิน เจ้าค่ะ"คำแนะนำตัวของภรรยาสร้างความพึงพอใจแก่คนฟังไม่น้อยเพราะเป็นครั้งแรกที่นางแนะนำเขาในฐานะสามี ให้ผู้อื่นได้รับรู้
"อา..นายท่านมู่ มู่ฮูหยิน ข้าน้อยเลี่ยงซิ่ว หลานชาย เลี่ยงรุ่ยหลานสาว เลี่ยงเหลียงเจ้าค่ะ"
"ท่านยายเลี่ยง ขอบคุณที่ให้ที่พักเจ้าค่ะ"กล่าวขอบคุณ
"เกรงใจไปแล้ว หากขาดเหลือสิ่งใดโปรดแจ้งได้เลยข้าน้อยขอตัวก่อน"เลี่ยงซิ่วรีบออกมาปิดประตูให้ แล้วเดินกลับไปยังกระท่อมที่พักของตน
-------------
"อุ๊ย...อาบน้ำก่อนเถิดเจ้าค่ะ"ร้องห้ามเสียงสั่นพร้อมกับย่นคอหนี เมื่อสามีสวมกอดจากทางด้านหลังแล้วซุกใบหน้าหล่อเหลาที่ลำคอขาวผ่องของนางจนขนลุกเกลียวไปหมด
"อืม..."อีกฝ่ายหย่อนตัวลงนั่งขอบเตียง แขนแข็งแรงเกี่ยวเอวคอดกิ่วมานั่งบนตัก วางคางกับไหล่เล็กแล้วปิดเปลือกตาใจรู้สึกสงบลงอย่างประหลาดจนเผลอหลับไป
ชิงหลินเห็นท่าทางอ่อนล้าของสามีจึงปล่อยให้เขาได้พักสายตาสักครู่แล้วค่อยปลุกให้ไปอาบน้ำ
"ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?"ถามเสียงหวาน เมื่อเห็นสามีขยับตัวยกศีรษะขึ้นหลังจากผ่านไปสองเค่อ
"อืม...พี่หลับไปนานแค่ไหน?"ถามจุมพิตหน้าผากกลมมน ขยับอ้อมกอดให้กระชับเข้า จนแผ่นหลังบอบบางแนบชิดกับอกแกร่ง ความร้อนจากการสัมผัสใกล้ชิดทำให้รู้สึกอบอุ่น จนเลือดในกายสูบฉีดพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย มือหนาลูบไล้บริเวณหน้าท้องแบนราบผ่านอาภรณ์เรียบรื่นอย่างเรียกร้อง
"ประมาณสองเค่อเจ้าค่ะ"ตอบพร้อมกับตะครุบมือสามีที่เริ่มซุกซน ลูบไล้หน้าท้องไม่หยุดจนนางขนลุกไปทั้งตัว
"อา...เจ้าคงหิวแล้ว?"แม่ทัพหนุ่มยอมหยุดมืออุ้มนางมาที่โต๊ะกลางห้อง ซึ่งมีผลไม้หลายชนิดค่อนข้างสดวางอยู่ในตะกร้า
"เอ่อ...ปล่อยหลินเอ๋อร์ก่อนได้ไหมเจ้าคะ?"ประท้วงด้วยใบหน้าแดงเรื่อ พอนางพยักหน้าว่าหิว เขาก็อุ้มมาที่โต๊ะอาหาร แทนที่จะวางลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆ กลับวางนางบนตักตัวเองซะนี่
"อา...เช่นนี้ดีแล้ว"ไม่พูดเปล่าจัดท่าให้นางนั่งตะแคงข้างให้ตน ใช้แขนแข็งแรงโอบไหล่นางจากข้างหลัง มือข้างที่ว่างหยิบผลองุ่นมาจ่อที่ริมฝีปากอวบอิ่มของนาง
เล่นเอาอีกฝ่ายเขินจนหน้าแดง เพราะไม่คิดว่าเขาจะมีแง่มุมหวานเลี่ยนเช่นนี้ พอเงยขึ้นก็สบเข้ากับสายตาหวานฉ่ำก็ยิ่งเขินหนักเข้าไปอีก จนทำตัวไม่ถูกจึงเลือกหลับตาลงแล้วอ้าปากเพื่อกินองุ่นที่เขาป้อน
แต่กลับต้องงับลมเข้าเต็มเปาจึงลืมตาขึ้นมองหาผลองุ่น แล้วความสงสัยก็พลันแปร เปลี่ยนไปขุ่นเคืองเพราะผลองุ่นที่ควรอยู่ในปากของตนกลับถูกเขาหย่อนลงปากต่อหน้าต่อตา
"ท่าน....อื้อออ..."เพียงขยับปากจะต่อว่า ริมฝีปากอวบอิ่มก็ถูกปิดด้วยริมฝีปากหนาได้รูป ลิ้นอุ่นร้อนดุนดันบางอย่างเข้ามาในโพรงปากก่อนที่เขาจะถอนริมฝีปากออกไป
แม่ทัพหนุ่มยิ้มพึงพอใจกับผลงาน ดวงตาคมทรงเสน่ห์หวานซึ้ง มองร่างเล็กบอบบางที่นั่งอยู่บนตักกรอกตามองตนอย่างโง่งม
"หึๆ....อย่าลืมเคี้ยวนะ ประเดี๋ยวจะติดคอเอาได้"น้ำเสียงทุ้มหวานติดจะขบขันเล็กน้อย ทำชิงหลินที่กำลังตะลึงพลันได้สติเม้มปากเข้าหากันแน่นที่ถูกเขาแกล้งอีกครั้ง
"เจ้าจะเอาคืนก็ย่อมได้ พี่อนุญาต"
"ฮึ่ย! ใครอยากจะเอาคืนกัน! ปล่อยข้านะเจ้าคะ ข้าจะไปอาบน้ำ"ดิ้นขลุกขลักๆ สองมือยันหน้าอกพยายามดันตัวเองออกมา แต่กลับถูกแขนแข็งแรงรวบกอดไว้จนแน่นแทบหายใจไม่ออก
"ยิ่งเจ้าดิ้นรน ขัดขืนมากเท่าใด พี่ก็จะกอดเจ้าแน่นขึ้นมากเท่านั้น"ชิงหลินหาได้สนใจไม่ เพราะยามนี้นางเดือดดาลจนถึงขีดสุดแล้ว นางใช้เรี่ยวแรงที่มีใส่ลงไปทั้งหมด ทั้งผลักทั้งดันทั้งดิ้นทั้งทุบ จนแม่ทัพหนุ่มต้องรวบมือเรียวเล็กของนางไว้
"หลินเอ๋อร์...พี่เพียงหยอกเจ้าเล่น อย่าขุ่นเคืองพี่เลยจะได้หรือไม่?"อ้อนวอนเสียงหวาน รู้สึกใจคอไม่สู้ดีเมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจของนาง
ชิงหลินไม่พูดอะไร สะบัดหน้าหนีไปอีกทาง พยายามบิดข้อมือให้พ้นจากมือหนา เห็นดังนั้น แม่ทัพหนุ่มรีบปล่อยมือนางให้เป็นอิสระด้วยเกรงว่านางจะเจ็บ แล้วสวมกอดนางแทนเกิดความกังวลใจขึ้นมา
"หลินเอ๋อร์...พี่ผิดไปแล้ว อภัยให้พี่ได้หรือไม่?"
"..."
"เช่นนั้นจะให้พี่ทำสิ่งใด โปรดบอกพี่มา พี่จะทำทุกอย่าง"
"....ทุกอย่าง?"
"อา...ทุกอย่าง"
"งั้นก็ปล่อยหลินเอ๋อร์"
"ได้"แม่ทัพหนุ่มยอมปล่อยนางแต่โดยดี
"หลินเอ๋อร์อยากอาบน้ำ ช่วยไปตักน้ำให้หน่อยได้ไหมเจ้าคะ?"
"...."
"ไหนบอกว่าจะยอมทำทุกอย่างไงเจ้าคะ?"
"ได้ พี่จะไปตักน้ำให้เจ้าอาบเดี๋ยวนี้"แค่นเสียงรอดไรฟันที่ถูกเอาคืน หมุนกายเดินจากไปยังทิศทางของสระน้ำ
"ฮึ!สมน้ำหน้าชอบแกล้งเราดีนัก"ชิงหลินย่นจมูกใส่หลังสามีแล้วอมยิ้มสะใจ
ฝ่ายแม่ทัพหนุ่มที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้ วันที่ถูกนางเอาคืน หากเจ้าพวกนั้นรู้เข้า ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด แม่ทัพใหญ่ที่ชนะศึกมานับไม่ถ้วน ต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่สตรีร่างเล็กที่สะกิดเพียงนิด ก็แทบจะปลิวไปตามลมเข่นนี้…..