เจ้าพยัคฆ์น้อยเดินเข้าไปหาขอทานชราที่คล้ายจะเป็นผู้นำกลุ่ม จากนั้นจึงเงยหน้ามองชายชราที่ก้มศีรษะมองมันอยู่ก่อนจะหันมาทางหลินหลิน
"หลินหลิน ต้องช่วยคนเหล่านี้นะ คนเหล่านี้ต้องการอาหารมากกว่าสิ่งอื่นใด" เจ้าพยัคฆ์น้อยร้องบอกหลินหลิน
ชิงหลินพยักหน้าเข้าใจ ไม่ได้แสดงอะไรออกไปให้ผู้คนสงสัย
"นะ...นั่นๆ คือพยัคฆ์โคร่งขาวในตำนาน"
"เจ้าว่าอันใดนะ!? นั่นคือพยัคฆ์โคร่งขาวหรือ"
"อา...ไม่ผิดแน่ สัตว์หายากที่กษัตริย์ทุกแคว้นปรารถนามีไว้ในครอบครองเพื่อเสริมอำนาจบารมี"
"ใช่ๆ ข้ายังได้ยินมาอีกว่า ผู้ใดที่ได้ครอบครองพยัคฆ์โคร่งขาว หากเป็นกษัตริย์ก็จะเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ เปี่ยมด้วยอำนาจบารมีล้นฟ้า เป็นที่กริ่งเกรงแก่แคว้นอื่น"
"โอ...ช่างเป็นพยัคฆ์ที่น่าเกรงขามยิ่งนัก"
"แล้วเหตุใดนางจึงมีมันได้"
"นั่นสิ ข้าเองก็สงสัยเช่นเดียวกับเจ้า"
"อา...ข้านึกออกแล้ว! นางก็คือคุณหนูหลิน บุตรีของคหบดีผู้มั่งคั่งอันดับหนึ่งของแคว้นฉี!"
"โอ...แล้วนางมาทำอันใดที่แคว้นโจว"
"เงียบ! "เสียงตะโกนบอกให้เงียบขององครักษ์นายหนึ่ง ทำเอาเหล่าคนมุงสะดุ้งตกใจจนต้องหุบปากทันที
"พวกเจ้ารู้ความผิดของตนดีใช่หรือไม่" ชิงหลินได้จังหวะจึงถามเสียงใส
"ขะ...ขอรับ พวกข้าน้อยทราบดี" ชายชราขอทานตอบดรุณีน้อยตรงหน้าด้วยเสียงที่แหบแห้ง ส่วนขอทานคนอื่นๆ ได้แต่ก้มหน้าต่ำจนหน้าแทบจะติดพื้น
"ที่อยู่ข้างหลังนี่คือคนในครอบครัวของท่านผู้เฒ่าหรือ" นางคุกเข่ากับพื้นตรงหน้าชายชราขอทาน สองมือเรียวเล็กกอบกุมมือเหี่ยวย่นหยาบกระด้างของชายชราขอทานที่สั่นเทาไว้ ท่ามกลางความประหลาดใจและชื่นชมในความเป็นกันเองไม่ถือตัวของนาง
"คะ...คุณหนู มือข้าน้อยสกปรกยิ่งนัก ไม่ควรที่ท่านจะมาจับไว้เช่นนี้นะขอรับ" ชายชราขอทานเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง พยายามดึงมือเหี่ยวหยาบกระด้างของตนกลับ แต่ถูกนางดึงรั้งไว้ ความอบอุ่นจากมือเรียวเล็กนุ่มนิ่มคู่นี้ทำเอาชายชราขอทานตื้นตันใจจนร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เป็นเหตุให้เหล่าขอทานที่เหลือพากันร้องไห้ตามไปด้วย ช่างน่าเวทนายิ่งนักในสายตาของผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์
"เฮ้อ" โจวหยางหมิ่นถอนหายใจเบาๆ ตาคมทอดมองนางอย่างชื่นชม
"ท่านยังไม่ได้ตอบข้า ทั้งหมดนี้คือครอบครัวของท่านใช่หรือไม่" หญิงสาวถามอีกครั้ง
"ใช่ขอรับ รวมตัวข้าน้อย ทั้งสิ้นสิบชีวิต" ชายชราขอทานพยายามกลั้นก้อนสะอื้นไว้อย่างสุดกำลัง
"เหตุใดจึงมาเป็นขอทานเล่าเจ้าคะ"
"เดิมข้าน้อยเป็นคนแคว้นฉิน หมู่บ้านที่ข้าอยู่เกิดภัยแล้งหนักติดต่อกันสามปี ทำให้น้ำที่ใช้ในการเพาะปลูกมีไม่เพียงพอ จึงตัดสินใจย้ายครอบครัวมายังแคว้นโจวเพื่อหางานทำ แต่ก็ไม่มีที่ใดว่าจ้าง สุดท้ายจึงมาขอเศษเงินเศษอาหารเพื่อประทังชีวิตขอรับ" ชายชราขอทานบอกเล่าให้นางฟังอย่างละเอียด
ชิงหลินจนด้วยคำพูด คิ้วเรียวขมวดมุ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระตุกยิ้มออกมา
"เฟิ่งอิง" นางหันไปเรียกหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำที่ยืนห่างออกไปราวหกเจ็ดก้าว
"ขอรับคุณหนู" เฟิ่งอิงก้าวฉับๆ มายืนเยื้องๆ คุณหนูของตน
"มีร้านอาหารของเราอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่"
"มีสามแห่งขอรับ ในเมืองหลวงนี้อยู่มีหนึ่งแห่ง"
"เช่นนั้นก็ไปที่นั่นกันเถิด" ชิงหลินพูดพร้อมกับดึงมือของชายชราขอทานให้ลุกขึ้นยืน พลางหันไปทางโจวหยางหมิ่น
"ลุกขึ้นได้" โจวหยางหมิ่นกล่าวอนุญาตด้วยเสียงที่ทรงอำนาจ ทำให้เหล่าขอทานที่เหลือและบรรดาคนมุงทั้งหลายต่างลุกขึ้นยืนแล้วกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ แต่มีบางส่วนที่ยังคงปักหลักดูเหตุการณ์อย่างสนใจใคร่รู้ว่าจะจบลงเช่นไร
หญิงสาวผละออกจากชายชรา หันมากราบทูลองค์ชายห้า "องค์ชายจะเสด็จกลับตำหนักก่อนก็ได้นะเพคะ"
"เราจะไปกับเจ้า ใต้เท้าอู่ ท่านกลับไปก่อนได้เลย นำทหารของเรากลับไปด้วย" ประโยคหลังหันมากล่าวกับอู่ต้าสง
"รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ" อู่ต้าสงรับคำสั่ง จากนั้นก็กระโดดขึ้นบนหลังม้า นำหน้าเหล่าทหารม้าทั้งห้าสิบนายมุ่งสู่ตำหนักหยางหมิ่น บัดนี้จึงเหลือเพียงชิงหลินกับผู้ติดตามสิบสามนาย สี่องครักษ์ของโจวหยางหมิ่น และกลุ่มขอทานอีกสิบชีวิต
ยามเฉินวันต่อมา ณ ห้องเสวยตำหนักหยางหมิ่น
ชิงหลินจำต้องมากินอาหารกับเจ้าของตำหนักอย่างโจวหยางหมิ่น เป็นการแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่นางทำเมื่อวานนี้อย่างน้อยวันละหนึ่งมื้อแล้วแต่โอกาส
"เสด็จพ่อมีพระประสงค์จะพบเจ้า" โจวหยางหมิ่นกล่าวหลังจากมื้ออาหารผ่านไปแล้ว
"พบหม่อมฉัน? เรื่องอะไรหรือเพคะ" คนฟังแทบสำลักน้ำชาเมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้อยากพบนางเรื่องอะไร
"อืม...คิดว่าคงเป็นเรื่องเต่ามังกรกระมัง" 'และอาจจะรวมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ด้วยก็เป็นได้' โจวหยางหมิ่นต่อในใจ พอหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อวานก็ให้พอใจนัก จนเผยยิ้มออกมาท่ามกลางความประหลาดใจของขันทีประจำตำหนัก และสี่นางกำนัลที่ถูกขอยืมตัวมาจากตำหนักกลาง เพื่อมาดูแลปรนนิบัติแขกคนสำคัญซึ่งเป็นเพียงบุตรีของพ่อค้าต่างแคว้นเป็นกรณีพิเศษ ส่วนอีกสี่นางกำนัลทำหน้าที่ทั่วไปรวมถึงดูแลสามสหายน้อยด้วย ไม่เคยเห็นองค์ชายยิ้มอ่อนโยนเช่นนี้ให้สตรีใดมาก่อน
"เต่ามังกร?"
"ถูกต้อง หรือเจ้าคิดว่าเป็นเรื่องอื่น"
"หม่อมฉันนึกว่าเป็นเรื่องเมื่อวานนี้เพคะ" ชิงหลินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ซึ่งไม่ได้รอดพ้นสายตาเจ้าเล่ห์ของโจวหยางหมิ่นไปได้
"หึๆ เจ้าคิดว่าเราจะฟ้องเสด็จพ่อเรื่องที่เจ้ากลั่นแกล้งเราหรือ" โจวหยางหมิ่นเย้านาง ยิ่งได้เห็นสีหน้าจืดเจื่อนและกระอักกระอ่วนใจของนาง ก็ยิ่งกระตุ้นความอยากแกล้งให้เพิ่มขึ้นไปอีก
"หม่อมฉันไม่ได้คิดเช่นนั้นเลยนะเพคะ" นางโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าองค์ชายจะฝังใจขนาดนี้
"หึๆ เราเพียงเย้าเจ้าเล่น เหตุใดจึงร้อนรนนักเล่า หรือ...เจ้าคิดเช่นนั้น" ประโยคหลังโจวหยางหมิ่นโน้มตัวยื่นหน้าเข้าไปใกล้นาง ก่อนจะยิ้มบาง
"ก็ได้ หม่อมฉันยอมรับว่าคิดเช่นนั้นเพคะ" ชิงหลินยอมรับแล้วเอนตัวหนีจนหลังชนพนักเก้าอี้
"หึๆ วางใจได้ เราไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอก เพราะอย่างไรเสียก็มีคนทำหน้าที่นั้นแทนเราอยู่แล้ว" โจวหยางหมิ่นยิ้ม ก่อนจะยืนเต็มความสูงพลางเอาสองมือไพล่หลัง
"อา...เสด็จพ่ออยากทอดพระเนตรสัตว์เลี้ยงของเจ้าด้วย ยามเฉินวันพรุ่งเตรียมตัวให้พร้อม" โจวหยางหมิ่นกล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกไปด้วยท่วงท่าสง่างามสมกับเป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์ ไม่ทันที่คนถูกสั่งจะถวายความเคารพ
"ไม่ใช่ว่าอยากได้ฟานฟานน้อยของข้าหรอกนะ" ชิงหลินพึมพำกับตัวเองอย่างครุ่นคิด จนไม่ทันได้สังเกตถึงสายตาสิบคู่ของขันทีและสี่นางกำนัลที่จ้องมองอยู่
"เอ๋? แล้วเจ้าสามตัวหายไปไหน กงกง ท่านเห็น..."
เพล้งๆๆ!
"ว้าย! / แง้ว! หงิงๆ"
เสียงของตกแตก ถัดมาเพียงเสี้ยววินาทีก็เป็นเสียงร้องของคนและสัตว์อีกสองชนิดดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน เพียงชั่วอึดใจก็ปรากฏร่างเล็กสีขาวคาดดำพุ่งเข้ามาทางชิงหลินอย่างรวดเร็ว ตามติดมาคือสองร่างเล็กสีขาวปลอดขนปุกปุย ราวสามนาทีต่อมาก็เป็นร่างอ้อนแอ้นของสองนางกำนัลที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อรักษามารยาทอันดีงาม ทั้งที่อยากจะวิ่งใจจะขาด
"หลินหลิน" เจ้าพยัคฆ์น้อยกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของนางที่อ้าแขนรอรับอยู่ก่อนแล้ว ตามด้วยสองจิ้งจอกน้อยจนชิงหลินแทบจะหงายหลัง
"เกิดอะไรขึ้น" นางถามพวกมันทางจิต แม้จะเดาออกว่าพวกมันคงไปก่อเรื่องมา
"พวกเราอยากมาหาหลินหลิน แต่ตัวเหม็นสองคนนั้นขัดขวางไม่ยอมให้มา พวกเราก็เลย..." เจ้าพยัคฆ์น้อยบอกนางเสียงอ่อยในท้ายประโยค ด้วยรู้ถึงความผิดที่พวกมันก่อ
"ตัวเหม็น? ทำไมไปเรียกพวกนางอย่างนั้นเล่า" หญิงสาวถามและส่งสายตาตำหนิเจ้าพยัคฆ์น้อย
"ไม่ใช่ตัวเหม็นหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่พวกนางแขวนถุงหอมกลิ่นฉุนที่พวกเราไม่ชอบเท่านั้น" หมั่นโถวน้อยร้องบอกหลินหลิน
"ใช่ขอรับ ข้าก็ไม่ชอบเช่นกัน" เป่าเปาน้อยร้องเสริมคำพูดของจิ้งจอกน้อยตัวน้องเพื่อลบล้างความผิดที่ก่อไว้
"พวกเจ้า...เกิดอันใดขึ้น เสียงดังมาถึงที่นี่เชียว" ขันทีประจำตำหนักถามสองนางกำนัลที่เข้ามาใหม่เสียงเข้ม
"เรียนกงกง คือว่า...เรื่องนั้น..." หนึ่งในสองนางกำนัลเหลือบมองสตรีที่นั่งคุกเข่า ในอ้อมแขนมีสามสหายตัวก่อเรื่องอยู่อย่างเกรงใจ
"เจ้าสามตัวนี้คงซุกซนจนทำของตกแตกใช่หรือไม่" ชิงหลินถามนางกำนัล
"เอ่อ...ข้าว่าท่านไปดูด้วยตาตนเองเถิดเจ้าค่ะ" นางกำนัลอีกคนตอบ
"เช่นนั้นรบกวนนำทางด้วย" นางขอร้องด้วยรอยยิ้ม
"เชิญทางนี้เจ้าค่ะ" นางกำนัลคนเดิมนำทางชิงหลินไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นห้องพักของนางเอง ครั้นไปถึงนางก็ถึงกับตะลึงอ้าปากค้าง 'ทำไมถึงได้เละเทะขนาดนี้'
ภาพแจกันปักดอกจวี๋ฮวาสีม่วงและขาวที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างงดงาม บัดนี้กลายเป็นเศษกระเบื้องชิ้นเล็กชิ้นน้อยแตกกระจัดกระจายเต็มพื้นพรมสีน้ำตาลอ่อนที่ถูกน้ำในแจกันซึมจนสีเข้มขึ้น
'อา..เจ้าพวกนี้สร้างปัญหาใหญ่ให้ซะแล้ว นางหันกลับไปหวังจะได้ตำหนิสามสหายจอมป่วน' แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า
"มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ ดังไปถึงห้องอักษรเชียว" เสียงของเจ้าของตำหนักทำให้ชิงหลินที่หันซ้ายหันขวาหาสามสหายจอมป่วนอยู่สะดุ้งโหยง ก่อนจะค่อยๆ หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับผู้เสียหาย พลางส่งยิ้มที่ดูฝืดเฝื่อนเต็มทีไปให้
"หือ? โอ้ เหตุใดห้องเจ้าจึงมีสภาพเช่นนี้" โจวหยางหมิ่นแสร้งทำเสียงและหน้าตาตกใจกับสภาพห้องที่เละเทะดูไม่ได้ ก่อนจะแอบยิ้มขบขันเมื่อเห็นท่าทีเซื่องซึมและสำนึกผิดของนาง
"โปรดประทานอภัยด้วย ทุกอย่างเป็นความผิดของหม่อมฉันเพคะ" นางรีบคุกเข่าก้มหน้ายอมรับผิด
"อา...น่าเสียดาย แจกันเหล่านี้เราชอบมากเสียด้วย" โจวหยางหมิ่นย่อตัวลงหยิบเศษแจกันกระเบื้องพลิกไปพลิกมา สีหน้าหมองลงเล็กน้อย
"หม่อมฉันยินดีชดใช้ค่าเสียทั้งหมดเพคะ" ชิงหลินตอบเสียงดังฟังชัด
"ชดใช้ค่าเสียหาย? ด้วยเงินทอง?"
"เพคะ" 'หากไม่ชดใช้ด้วยเงินทองแล้วจะให้ชดใช้ด้วยอะไร แปลกคนจริง'
โจวหยางหมิ่นนั่งยองๆ เบื้องหน้าสตรีที่นั่งคุกเข่าก้มหน้า แล้วถามด้วยน้ำเสียงเนิบนาบทว่าแฝงความกดดันและคุกคามเล็กน้อย "แจกันเหล่านี้แม้จะไม่มีราคาค่างวดเท่าใดนัก แต่มันมีคุณค่าทางจิตใจที่ไม่อาจประเมินค่าได้ เช่นนี้แล้วเราควรเรียกค่าเสียหายเท่าใดจึงจะเหมาะสม"
"เรื่องนั้น..." คิ้วเรียวขมวดมุ่นเป็นปมอย่างคิดไม่ตก
"เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่ต่ออีกสัก...อืม...เจ็ดวันเป็นอย่างไร"
"ไม่ได้เพคะ!" หญิงสาวปฏิเสธออกมาทันควัน ไม่เสียเวลาหยุดคิดสักนิดเดียว ทำให้ใบหน้างามของโจวหยางหมิ่นตึงขึ้นมาทันที
"เหตุผล?"
"เอ่อ...หม่อมฉันมีภารกิจที่ต้องรีบจัดการให้เสร็จโดยเร็วเพคะ" นางตอบสั้นๆ ไม่คิดอธิบายให้มากความ
"สามวัน...เราให้เวลาเจ้าคิดสามวัน แล้วจะมาฟังคำตอบของเจ้าอีกครั้ง" ผู้เป็นองค์ชายกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่พอใจนัก
"เฮ้อ น่าปวดหัว"
หลังเจ้าของตำหนักจากไปแล้ว ร่างเล็กทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างอ่อนใจ ก่อนจะถูกนางกำนัลพาออกมาจากห้องเพื่อที่พวกนางจะได้ทำความสะอาด
ชิงหลินจึงหลบไปนั่งที่เก๋งด้านหน้าตำหนักหยางหมิ่น มีเจ้าสามสหายตัวป่วนเดินเรียงแถวตอนหนึ่ง ก้มหน้าหูลู่หางตกเซื่องซึมราวกับกำลังป่วยตามนางไปโดยดี ไม่ร้องส่งเสียงแม้เพียงครึ่งคำ ด้วยรู้ดีว่านางกำลังโกรธพวกมัน
"เฮ้อ" ชิงหลินถอนใจยาว ยอมรับว่าเมื่อครู่โกรธพวกมันที่เล่นซนจนได้เรื่อง แต่พอเห็นพวกมันนอนหมอบราบกับพื้นพลางส่งสายตาวิงวอนออดอ้อน ใจก็พลันอ่อนยวบแทบจะหายโกรธทันที
"มานี่มา"
สามสหายน้อยได้ยินก็รีบกระโดดเข้าหาอ้อมแขนที่กางออกรอรับร่างเล็กปุกปุยทันที ไม่ต้องให้นางเรียกซ้ำ พวกมันเลียหน้าเลียตานางอย่างประจบเอาใจ สามหางกระดิกไปมา เป็นเหตุให้เฟิ่งอิง จิ๋นซาน และจิ๋นซื่อที่เพิ่งทราบเรื่องรีบรุดมาหานางที่เก๋งต่างพากันยิ้มกับภาพความน่ารักน่าเอ็นดูของหนึ่งสตรีกับสามสหายน้อย
วันต่อมาชิงหลินถูกปลุกตั้งแต่เช้ามืด อาบน้ำแต่งตัวเพื่อเข้าเฝ้าโจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ โดยต้องสวมชุดที่องค์ชายห้าเตรียมไว้ให้ แลกกับสิ่งที่สามสหายน้อยจอมป่วนได้สร้างไว้ ไม่ต้องรอให้ถึงสามวันตามที่บอกไว้ก่อนหน้านี้
"อา...ท่านช่างงดงามนัก" หนึ่งในสี่นางกำนัลที่มาช่วยชิงหลินแต่งกายกล่าว นัยน์ตามองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชม
"ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง" นางพึมพำกับตัวเอง
"ท่านว่าอันใดนะเจ้าคะ" นางกำนัลคนเดิมถาม
"ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถิด" ชิงหลินลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สองนางกำนัลรีบเข้ามาจัดชุดให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงว่าเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ช่วยกันประคองนางออกมาจากห้อง มีเจ้าสามสหายน้อยเดินนำหน้าด้วยท่าทางสง่างาม วันนี้พวกมันดูสงบเสงี่ยม ไม่วิ่งเพ่นพ่านซุกซนอย่างทุกวัน ด้วยสัญญากับหลินหลินไว้ว่าจะทำตัวว่านอนสอนง่ายและเป็นเด็กดี
โจวหยางหมิ่นตะลึงกับโฉมสะคราญในชุดสีขาวอมชมพู เสื้อคลุมสีขาวยาวกรอมเท้าปักดอกจวี๋ฮวาดอกเล็กๆ สีชมพูเข้มโดยรอบ ซึ่งเป็นบุปผาที่โจวหยางหมิ่นชื่นชอบ และยังเป็นบุปผาประจำตัวของโจวหยางหมิ่นอีกด้วย แต่เหมือนนางจะไม่ได้สังเกตเรื่องนี้
ทรงผมรวบขึ้นสูงเพียงครึ่ง มีเครื่องประดับรูปผีเสื้อสีชมพูเข้มดูงดงามพอเหมาะพอควรไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ใบหน้าจิ้มลิ้มตกแต่งเพียงบางๆ ตามความต้องการของชิงหลิน แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้ใจของบุรุษหลายคนสั่นไหวจนแทบจะกลายเป็นความหลงใหล อยากจะเสนอตัวเข้าไปช่วยประคองนางไว้เสียเอง