-38-
"ถวายพระพรเพคะ" ชิงหลินยอบกายทำความเคารพองค์ชายห้าที่ยืนนิ่งอยู่
"อะแฮ่ม เช่นนั้นก็ออกเดินทางเถิด" กระแอมกลบเกลื่อนอาการขัดเขินของตนพลางเดินไปขึ้นรถม้าคันหน้า ส่วนชิงหลิน สามสหายน้อยแก๊งฟานเป่าโถว และสองนางกำนัล ก็ขึ้นรถม้าอีกคันที่อยู่ข้างหลัง โดยมีสี่ทหารองครักษ์ เฟิ่งอิง จิ๋นซาน และจิ๋นซื่อ ตามขบวนเสด็จไปในครั้งนี้ด้วย
จากคำบอกเล่าของนางกำนัล แคว้นโจวมีเมืองหลวงชื่อตงโจว ปกครองโดยโจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ ปีนี้เป็นปีที่ยี่สิบห้าของการครองราชย์ มีพระโอรสรวมห้าองค์ พระธิดาหนึ่งองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา ห่วงใยประชาราษฎร์ เด็ดขาดไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด คล้ายคลึงกับฮ่องเต้แคว้นฉี ที่สำคัญทั้งสองแคว้นยังเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน และด้วยเหตุนี้บรรดาชาวเมืองที่ได้รู้ว่านางมาจากแคว้นฉีจึงให้การต้อนรับอย่างดี
ราวหนึ่งเค่อก็เดินทางมาถึงหน้าประตูเขตพระราชฐานชั้นในสุด อันเป็นที่ประทับขององค์ฮ่องเต้ จากตรงนี้ต้องเดินเท้าเข้าไป โดยมีขันทีเป็นผู้นำทาง และมีเพียงโจวหยางหมิ่น ชิงหลิน สามสหายน้อย และสองนางกำนัลเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้
ชิงหลินเดินตามองค์ชายห้าไปเรื่อยๆ แล้วก็ต้องอึ้งระคนประหลาดใจ ก่อนจะหน้าซีดลงเรื่อยๆ เมื่อจุดหมายปลายทางแทนที่จะเป็นอุทยานหลวง ไม่ก็เก๋งหรือศาลาพักผ่อนหย่อนใจอะไรเทือกนั้น "องค์ชาย เหตุใดจึงพาหม่อมฉันมาที่นี่" นางตัดสินใจถาม ดวงตากลมโตกลอกไปมาด้วยความสับสนระคนสงสัย
"อา...จริงสิ เราลืมบอกเจ้าไปว่าเสด็จพ่อมีพระประสงค์ให้มาเข้าเฝ้าที่นี่" โจวหยางหมิ่นตอบราวกับเป็นธรรมดา นั่นทำให้ชิงหลินขัดเคืองใจจนอยากจะข่วนหน้ายิ้มๆ นั่นสักทีสองที
"แต่ที่นี่มัน..." คิ้วเรียวขมวดมุ่นยามมองสถานที่ตรงหน้า
"พระประสงค์ของเสด็จพ่อ เจ้ากล้าขัดหรือ" โจวหยางหมิ่นถามเมื่อเห็นนางหยุดอยู่กับที่ไม่เดินตามขึ้นไปยังสถานที่เบื้องหน้า
"มิได้เพคะ เพียงแต่..." นางต้องเข้าไปในนั้นจริงหรือ ก็นี่มันท้องพระโรง แล้วถ้านางทำอะไรผิดพลาด ไม่ถูกตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรหรอกหรือ
"อย่ากลัว มีเราอยู่ทั้งคน ไปเถิด นานไปอาจทำให้กริ้วได้"
ชิงหลินถอนใจอย่างกังวลก่อนจะก้าวเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างไม่มีทางเลือก มีสามสหายน้อยเดินอยู่ข้างๆ วันนี้พวกมันทำตามที่ได้รับปากกับหลินหลินไว้ทุกอย่าง ทำให้ทหารองครักษ์ที่ยืนรักษาการณ์สองฝั่งบันไดอดที่จะหลุบตามองด้วยความประหลาดใจไม่ได้ ไม่คาดคิดว่าสัตว์ป่าที่ได้ขึ้นชื่อว่าดุร้ายอย่างพยัคฆ์และจิ้งจอก จะสงบเสี่ยมและเชื่องกับมนุษย์ได้ถึงเพียงนี้
"เบิกตัวองค์ชายห้า บุตรีคหบดีแคว้นฉีชิงหลิน พร้อมด้วยสัตว์เลี้ยงทั้งสามเข้าเฝ้า" เสียงประกาศของขันทีตรงทางเข้าดึงความสนใจของเหล่าขุนนาง ที่ยืนเรียงรายทั้งฝั่งซ้ายและขวาโดยเว้นช่วงตรงกลางให้หันมามองเป็นตาเดียว
"ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี" โจวหยางหมิ่นถวายพระพรโจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ที่ประทับบนบัลลังก์มังกรทองคำ
"ลุกขึ้นได้" สุรเสียงก้องกังวานเต็มไปด้วยพลังอำนาจของโอรสสวรรค์ ทำเอาชิงหลินลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดหวั่น แม้จะเคยเข้าเฝ้าฉีเฉินหลงฮ่องเต้มาก่อนแล้วก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นและกดดันอยู่ดี
"เจ้าคือผู้ที่ทำให้ภารกิจตามหาเต่ามังกรในตำนานสำเร็จลุล่วงใช่หรือไม่"
"เอ่อ...ที่สำเร็จก็เป็นเพราะพระบารมีที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์เพคะ"
'ยอเข้าไว้ สรรเสริญเข้าไว้' ชิงหลินปลอบตัวเองในใจ
"ฮ่าๆๆ ไม่คิดว่าจะเป็นสตรีที่ถ่อมตนเช่นนี้" โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ก้าวมายืนเบื้องหน้าสตรีวัยคราวลูก สำรวจนางอย่างพิจารณา
"ทูลฝ่าบาท เดิมทีกระหม่อมสิ้นหวังกับภารกิจนี้แล้ว ดีที่ได้ใต้เท้าอู่นำข่าวดีนี้มาแจ้งแก่กระหม่อม และด้วยพระบารมีของฝ่าบาทจึงทำให้ภารกิจนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ" โจวหยางหมิ่นกราบทูลเสริมคำกล่าวของนาง
"โอ้ เรื่องนั้นเรารู้แล้ว แต่ที่เราติดใจสงสัยก็คือ...เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเต่ามังกรมีจริงและอยู่ที่หุบเขากินคน" โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ถามสตรีที่ยืนก้มหน้าอยู่เบื้องหน้าอย่างสนพระทัย พระองค์มีรับสั่งให้ทหารสืบหาแหล่งที่อยู่ของเต่ามังกรนี้มานับสิบปีแล้วแต่ไร้วี่แววเบาะแสจนเกือบถอดใจ ยังดีที่ได้ขุนนางทูลเสนอแนะให้พระโอรสทั้งห้าของพระองค์ออกตามหาเต่ามังกร โดยมีตำแหน่งรัชทายาทแคว้นโจวเป็นรางวัล และมันก็ทำให้พระประสงค์ของพระองค์เป็นจริง
"หม่อมฉันอ่านเจอในตำราเล่มหนึ่งเพคะ" นางกราบทูลเหมือนที่เคยบอกบิดาของตน ซึ่งแน่นอนว่าโกหก! จะให้บอกได้อย่างไรว่าปู่เสือย่าเสือ พ่อแม่ของเจ้าฟานฟานน้อยเป็นผู้บอกความลับสุดยอดนี้แก่นาง
"เจ้าจะบอกว่าพบเต่ามังกรเพียงเพราะตำราเพียงเล่มเดียว? จะไม่บังเอิญเกินไปหน่อยหรือ" โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ทรงถามสุรเสียงเย็นเพื่อกดดันอีกฝ่าย
"ที่หม่อมฉันทูลทั้งหมดเป็นความจริงเพคะ" หญิงสาวยังยืนกรานคำพูดเดิมของตัวเองด้วยใจที่หวาดหวั่น กลัวจะเผยพิรุธให้อีกฝ่ายจับได้
เจ้าพยัคฆ์น้อยที่เห็นหลินหลินถูกกดดันจากบุรุษวัยกลางคนในชุดมังกรสีทอง จึงคิดจะหาทางช่วย มันก้าวเดินมาหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างหลินหลินกับบุรุษผู้นั้น แล้วส่งเสียงร้องขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ "แง้ว"
"หือ? โอ้ นี่คือ..." โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้มัวแต่ให้ความสนใจสตรีตรงหน้าจนหลงลืมว่า อยากเห็นพยัคฆ์โคร่งขาวในตำนานที่โอรสกราบทูลเมื่อครั้งที่กลับมาพร้อมเต่ามังกร
"ทูลฝ่าบาท นี่ก็คือพยัคฆ์โคร่งขาวในตำนานพ่ะย่ะค่ะ" โจวหยางหมิ่นทูลแทรกเพื่อช่วยให้นางหลุดพ้นจากแรงกดดันของพระบิดา
"อา...ช่างเป็นลูกพยัคฆ์ที่กล้าหาญ หากโตกว่านี้คงสง่างามและน่ายำเกรงมากกว่านี้หลายเท่าเป็นแน่"
"หากเราอยากได้เจ้าพยัคฆ์ตัวนี้ เจ้าจะขายให้เราได้หรือไม่" คำถามที่ฟังดูเรียบง่ายแต่สร้างความลำบากใจให้ชิงหลินไม่น้อย
"ทูลฝ่าบาท สามตัวนี้ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของหม่อมฉัน แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว ซึ่งไม่สามารถตีเป็นราคาหรือขายได้เช่นสินค้าทั่วไป ขอพระราชทานอภัยด้วยเพคะ" นางคุกเข่าลงกับพื้น ปฏิเสธเสียงดังท่ามกลางเสียงฮือฮาวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบของเหล่าขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรง
"เจ้าจริงจังเกินไปแล้ว เสด็จพ่อแค่ทรงเย้าเจ้าเล่นเท่านั้น ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ" โจวหยางหมิ่นทูลแก้ไขสถานการณ์ เปลี่ยนไปใช้คำที่บ่งบอกถึงความสนิทสนมแทนคำที่เป็นทางการยามเข้าเฝ้าในท้องพระโรง
"ฮ่าๆๆ ใช่ๆ อย่าคิดมากเลย" โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ทรงพระสรวลเสียงดัง สองหัตถ์ไพล่หลัง ไม่คิดว่าโอรสของพระองค์จะปกป้องสตรีต่ำศักดิ์นางนี้ ซ้ำยังเรียกพระองค์ว่าเสด็จพ่อแทนฝ่าบาท นับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ แม้จะรู้สึกขัดใจเล็กน้อย เพราะอยากมีพยัคฆ์ในตำนานไว้ในครอบครองสักตัว แต่ก็ต้องตัดใจเพื่อเห็นแก่หน้าโอรส
"ขอบพระทัยเพคะ" ชิงหลินโขกศีรษะให้หนึ่งครั้ง
"ลุกขึ้นเถิด" โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ผายพระหัตถ์อนุญาต ทรงนึกชื่นชมในความกล้าหาญของนาง หากเป็นสตรีอื่นหรือขุนนางคนอื่นๆ คงรีบถวายเพื่อประจบเอาใจพระองค์ แต่สตรีนางนี้กลับทำตรงข้าม กล้าปฏิเสธพระองค์ซึ่งเป็นเจ้าชีวิตของคนทั้งแคว้น หากคิดจะลงทัณฑ์นางที่กล้าขัดพระทัยแล้วช่วงชิงสิ่งที่ต้องการก็ย่อมได้ แต่ถ้าทำเช่นนั้น เจ้าห้าคงไม่อยู่เฉยเป็นแน่ ออกโรงปกป้องกันถึงเพียงนี้ หึๆ เจ้าห้านะเจ้าห้า
"อา...ความจริงเราอยากให้เจ้าช่วยดูเต่ามังกรให้หน่อย นับแต่องค์ชายห้านำกลับมา เต่ามังกรตัวนั้นก็ไม่ยอมขยับ ทำตัวแข็งราวกับรูปปั้น และรัศมีสีทองรอบตัวที่ส่องสว่างเจิดจ้าเหมือนจะลดน้อยลงเรื่อยๆ"
ความจริงนอกจากโจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ต้องการจะหุบปากเหล่าขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรง ที่คิดว่าเต่ามังกรเป็นเพียงตำนานเล่าขานไม่มีอยู่จริง อีกประการคือต้องการประกาศกลายๆ ว่าผู้ใดคือว่าที่องค์รัชทายาทแคว้นโจว เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว
สิ้นรับสั่งของโจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ ก็เกิดเสียงฮือฮาในท้องพระโรงขึ้นอีกครั้ง ด้วยพอได้ยินข่าวมาบ้างว่าองค์ชายห้าโจวหยางหมิ่นทำภารกิจสำเร็จลุล่วง แต่เพราะยังไม่ได้เห็นเต่ามังกรของจริงกับตา จึงไม่แปลกหากจะคิดว่าองค์ชายห้าโจวหยางหมิ่นกุข่าวขึ้นเพื่อให้องค์ชายอื่นๆ กังวลพระทัย
ในท้องพระโรงนี้นอกเหนือจากผู้ที่เข้าไปหุบเขากินคนแล้ว มีเพียงฮ่องเต้ ใต้เท้าอู่ต้าสง และหัวหน้าขันทีของฮ่องเต้เท่านั้นที่รู้ว่าเต่ามังกรมีจริง เพราะถูกปิดไว้เป็นความลับ รอเวลาแล้วจึงค่อยประกาศให้รู้โดยทั่วกัน และนี่คือเวลาที่เหมาะสม
"โอ...นั่นหรือเต่ามังกร เหตุใดจึงดูเหมือนรูปปั้นเช่นนั้นเล่า"
"อา...นั่นสิ ของจริงแน่หรือ"
"หากเป็นของจริง เหตุใดจึงไม่เห็นมันขยับเลยเล่า"
"อาจจะผิดที่ผิดทางก็ได้กระมัง"
"อา...หมายถึงที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เหมาะสมที่มันจะอยู่หรือ"
"อืม...อาจจะเป็นเช่นที่เจ้าสันนิษฐานก็ได้"
โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้รำคาญพระทัยกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดั่งเสียงนกเสียงกาของเหล่าขุนนางยิ่งนัก จึงยกพระหัตถ์ขึ้นห้าม ทำให้ในท้องพระโรงเงียบลงได้อีกครั้ง
ฝ่ายชิงหลินมองเต่ามังกรสีทองบนถาดทองคำ ปูด้วยผ้าไหมกำมะหยี่สีแดงสดตัดกับตัวของมัน ประกายรัศมีสีทองเปล่งออกมาจากตัวโดยรอบ งดงามล้ำค่าเหนือคำบรรยายจนอยากจะวาดรูปมันเก็บใส่ไว้ในคอเล็กชันส่วนตัวของตัวเอง เสียอย่างเดียวคือมันหดหัวอยู่ในกระดองคล้ายกำลังจำศีลอย่างไรอย่างนั้น เอ...แล้วเต่าจำศีลด้วยหรือ
ส่วนโจวหยางหมิ่นกลับไปยืนประจำตำแหน่งของตน ซึ่งอยู่ถัดจากองค์ชายสี่โจวหยางซื่อในหวงกุ้ยเฟย มีพระชันษายี่สิบสองปี ใบหน้าคล้ายมารดา นับว่าเป็นองค์ชายรูปงามไม่แพ้องค์ชายห้าเลย
"ดูท่าน้องห้าจะถูกใจคุณหนูผู้นี้" องค์ชายสี่ถามน้องชายต่างมารดา สายตาจับจ้องสตรีตรงหน้าแทนที่จะเป็นคู่สนทนา
"หึๆ พี่สี่เห็นเป็นเช่นนั้นหรือ" ผู้เป็นน้องชายยิ้มบาง ไม่มองอีกฝ่ายเช่นกัน
"หากไม่ใช่เช่นนั้น ข้าขอนางได้หรือไม่เล่า" องค์ชายสี่ถามทั้งที่ยังมองอยู่ที่สตรีคนเดิม
"เกรงว่าพี่สี่คงต้องผิดหวังแล้ว"
"ทำไมหรือ"
"นางมีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว เป็นถึงแม่ทัพไร้พ่ายแห่งแคว้นฉีเชียวนะ"
"หือ? แม่ทัพไร้พ่าย เจ้าหมายถึงมู่หลิ่งเหวินผู้นั้น" คราวนี้องค์ชายสี่หันหน้ามาทางน้องชายต่างมารดา
"ถูกแล้วพี่สี่ และดูเหมือนว่านางจะเป็นผู้กุมหัวใจทั้งหมดของชายผู้นั้นไว้เสียด้วย"
โจวหยางซื่อมองน้องชายต่างมารดาก่อนจะหันไปมองสตรีคนเดิมอีกครั้ง ไม่อยากเชื่อว่าแม่ทัพไร้พ่ายที่เล่าลือว่าโหดเหี้ยมและเย็นชา จะหลงรักและยอมมอบใจให้แก่สตรีร่างเล็กบอบบางผู้นี้ได้
ขณะที่ผู้ที่ถูกนินทาอย่างชิงหลินรับถาดทองคำที่มีเต่ามังกรตัวเล็กกว่าฝ่ามือมาถือไว้ นางยกถาดขึ้นมาในระดับสายตาแล้วลองส่งเสียงถามทางจิต
"นี่ ท่านเต่ามังกร ท่านหลับอยู่หรือ"
"..."
"ข้ารู้นะว่าท่านได้ยินเสียงข้า ออกมาคุยกันหน่อยเถิด"
"..."
โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้เริ่มหงุดหงิดเมื่อเห็นนางเอาแต่จ้องเต่ามังกร ไม่ทำสิ่งใดมากไปกว่านั้น
"หากท่านไม่พูด แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านต้องการอะไร"
"..."
ได้ผล คราวนี้เต่ามังกรยอมโผล่หัวออกมาแต่โดยดี แต่ก็ยังคงเงียบ สร้างความประหลาดพระทัยให้โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ที่ทรงยืนข้างๆ ยิ่งนัก
"ท่านต้องการสิ่งใด เชิญบอกมาได้แล้ว ข้าจะบอกพวกเขาให้"
"หญ้าแสงจันทร์กับน้ำค้างพิสุทธ์จากหุบเขากินคน" เต่ามังกรตอบนางทางจิตเช่นเดียวกัน
"แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่านั่นคือสิ่งที่ท่านต้องการ"
"หญ้าแสงจันทร์ต้องเก็บในคืนพระจันทร์เต็มดวง มันจะส่องประกายสีเงินออกมา หากเจ้าเห็นก็รู้ได้ในทันที ส่วนน้ำค้างพิสุทธ์คือน้ำค้างที่หยดลงมาจากต้นหญ้าแสงจันทร์ ทั้งสองอย่างต้องเก็บในคืนพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น" เต่ามังกรอธิบายรายละเอียดยืดยาว แล้วหดหัวมังกรกลับเข้าไปในกระดองเช่นเดิม
"เอ่อ...ทูลฝ่าบาท จากตำราบอกว่าอาหารของเต่ามังกรคือหญ้าแสงจันทร์กับน้ำค้างพิสุทธ์ ซึ่งต้องเก็บในคืนพระจันทร์เต็มดวงเพคะ" ชิงหลินจำต้องอ้างตำราอีกครั้ง
"หญ้าแสงจันทร์? น้ำค้างพิสุทธ์? แล้วจะหาสิ่งเหล่านี้ได้จากที่ใดกัน" โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้รับสั่งถามนางที่ส่งเต่ามังกรคืนให้แก่หัวหน้าขันที
"ทูลฝ่าบาท ในตำราบอกไว้ว่าเต่ามังกรกำเนิดที่ใด อาหารย่อมอยู่ที่นั่นเพคะ"
"ความหมายของเจ้าก็คือ องค์ชายห้าพบเต่ามังกรที่หุบเขากินคน ดังนั้นอาหารของมันย่อมอยู่ที่หุบเขากินคน?"
"หม่อมฉันคิดว่าเป็นเช่นนั้นเพคะ"
"ทูลฝ่าบาท อีกห้าวันก็จะถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ" อู่ต้าสงรีบกราบทูล
"ดี องค์ชายห้า ภารกิจนี้เจ้าต้องสานต่อให้จบ ดังนั้นพรุ่งนี้จงนำทหารไปยังหุบเขากินคน นำหญ้าแสงจันทร์กับน้ำค้างพิสุทธ์กลับมาให้จงได้"
"รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ" โจวหยางหมิ่นคุกเข่ารับพระบัญชา
"เอาละ เรื่องนี้หายห่วงได้เสียที ขอบใจเจ้ามาก"
"อา...เราได้ยินมาว่าเจ้าสร้างวีรกรรมที่ตลาดจนผู้คนเล่าลือกันไปทั่ว ไหนลองเล่าให้เราฟังซิว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร" โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้กลับไปประทับบนบัลลังก์ทองแล้วทรงถาม ในน้ำเสียงแฝงความสำราญพระทัย ด้วยทรงทราบเรื่องนี้จากขันทีคนสนิทแล้ว แต่ก็อยากยังได้ยินจากปากคนต้นเรื่องอีก
"เอ่อ...ทูลฝ่าบาท เรื่องนั้น..." ชิงหลินหน้าซีดสลับกับแดงก่ำ ไม่คิดว่าจะถูกถามเรื่องนี้ต่อหน้าเหล่าขุนนาง จึงหันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากองค์ชายห้า แต่กลับเห็นเพียงรอยยิ้มละมุนน่าหมั่นไส้
"ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลให้ทรงทราบได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" เสียงที่ดังมาจากด้านข้างของขุนนางผู้หนึ่ง เรียกให้สายตาทุกคู่หันไปมองแทบจะพร้อมเพรียงกัน
"โอ้ ใต้เท้าหลี่ ท่านรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ" โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ถามหลี่ปู้เหว่ย เจ้ากรมพิธีการแคว้นโจว
"บุรุษผู้นั้น...จำได้ว่าอยู่ในเหลาชิงโหลวนี่" ชิงหลินพึมพำกับตัวเอง ดวงตากลมโตเหลือบมองบุรุษวัยเลยห้าสิบปีอย่างสนใจ รูปร่างของเขาค่อนข้างผอม ใบหน้าเรียวยาว แก้มตอบเล็กน้อย ไว้เคราบางๆ ดวงตาเรียวเล็ก บอกได้ทันทีว่านี่ละ...ต้นแบบชาวจีนแท้ๆ
"พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้แวะไปดื่มชาที่เหลาชิงโหลว ก่อนหน้าที่องค์ชายห้าจะเสด็จมาถึงราวสองเค่อ" หลี่ปู้เหว่ยกราบทูลยิ้มๆ
"อา...นั่นหมายความว่าท่านเห็นทุกอย่าง?"
"พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ"
"รีบเล่ามาเร็วเข้า เอาแบบละเอียด ห้ามตกหล่นแม้แต่น้อย" สุรเสียงตื่นเต้นราวกับเจอเรื่องราวสนุกสนานเจือความสำราญพระทัยของเจ้าเหนือหัว เป็นเหตุให้เหล่าขุนนางที่ไม่ทราบเรื่องราวความเป็นมาประหลาดใจกันเป็นแถว
มีเพียงชิงหลินที่มีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันที่นางมาถึงเมืองตงโจวอันเป็นเมืองหลวงของแคว้นโจว ผิดกับโจวหยางหมิ่นที่ยิ้มขบขันกับสีหน้าคล้ายถูกบังคับให้กินยาขม
'อา...ใครใช้ให้เจ้ากลั่นแกล้งเราผู้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์กันเล่า'
"ทูลฝ่าบาท เรื่องมีอยู่ว่า...วันนั้นกระหม่อมแวะไปดื่มชาที่เหลาชิงโหลวอยู่บนชั้นสอง ขณะที่ดื่มด่ำกับชาอยู่นั้นพลันได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากหน้าร้าน เมื่อสอบถามเสี่ยวเอ้อร์จึงได้ทราบว่าองค์ชายห้าเสด็จมาที่เหลาชิงโหลวพร้อมสตรีนางหนึ่ง ซึ่งก็คือนางพ่ะย่ะค่ะ" หลี่ปู้เหว่ยผายมือมาทางสตรีที่ยังคงยืนอยู่กลางท้องพระโรง
โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้พยักพระพักตร์เป็นเชิงให้เล่าต่อ
"ด้วยความสงสัยจึงได้สอบถามเสี่ยวเอ้อร์อีกครั้ง จึงได้รู้ว่านางคือบุตรีของเจ้าของเหลาชิงโหลวแห่งนั้น กระหม่อมตั้งใจจะลงมาเข้าเฝ้าองค์ชายห้า ทว่าพอได้เห็นเหตุการณ์ข้างล่างจึงรั้งดูก่อนพ่ะย่ะค่ะ" หลี่ปู้เหว่ยหันไปค้อมศีรษะขออภัยองค์ชายห้าที่ทรงยืนอยู่อีกฝั่ง ก่อนจะหันไปทางโจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้
"เกิดอันใดขึ้นหรือ" โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ขยับพระวรกายถามด้วยความสนพระทัย
"ทูลฝ่าบาท เรื่องราวต่อจากนี้กระหม่อมขอกราบทูลได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" โจวหยางหมิ่นเสนอตัว เมื่อเห็นโจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้พระราชทานพระอนุญาตจึงก้าวมายืนข้างนาง
"มีขอทานกลุ่มหนึ่งมาขวางขบวนของกระหม่อมที่จะเดินทางกลับมาวังหลวง และกระหม่อมอนุญาตให้นางเป็นผู้ตัดสินชะตาชีวิตของขอทานกลุ่มนั้น"
เกิดเสียงฮือฮาขึ้น ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำขององค์ชายห้าผู้นี้ มีอย่างที่ไหนยกอำนาจที่มีอยู่ในมือให้สตรีต่ำต้อยไร้ยศศักดิ์ ซ้ำยังเป็นคนต่างแคว้น เมื่อมองตามความเป็นจริงแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
"เงียบ!" โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้สั่งเสียงดัง ก่อนจะหันมาถามโอรส "แล้วนางทำเช่นไรกับขอทานเหล่านั้น"
"นางพาขอทานเหล่านั้นมาที่เหลาชิงโหลวพร้อมกับสั่งให้ลูกค้าที่อยู่ในร้านขึ้นไปใช้บริการที่ชั้นสองแทน ข้างล่างของเหลาจึงว่าง ส่วนขอทานที่คราวแรกมีราวสิบคนก็กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าขอทานมามากกว่าที่คิด กระหม่อมจึงสั่งให้เหล่าขอทานรออยู่ด้านนอก" โจวหยางหมิ่นเว้นจังหวะ หันมาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้สตรีที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างๆ
"ส่วนนางเดินหายเข้าไปในครัวหลังร้าน ปล่อยให้กระหม่อมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ภายในร้านกับเหล่าองครักษ์เพียงลำพัง ไม่คิดจะหาน้ำชามาให้กระหม่อมเลย คิดแล้วก็ให้โมโห น่าจะจับมาโบยสักทีสองที" ประโยคสุดท้ายหันไปขู่นางเสียงเข้ม
"ฮ่าๆๆ นางช่างขวัญกล้าถึงเพียงนั้นเชียว เพราะเหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนั้นเล่า" ทรงพระสรวลเสียงดังแล้วทรงถามนาง
"ทูลฝ่าบาท ตอนนั้นหม่อมฉันมัวแต่คิดว่าจะทำอะไรให้พวกเขากินดี จนหลงลืมองค์ชายไปชั่วขณะ ขอพระราชทานอภัยด้วยเพคะ" ชิงหลินทูลตอบเสียงอ่อย
"อืม แล้วเจ้าทำสิ่งใดให้ขอทานเหล่านั้น" โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ถามต่อ
"เมื่อเข้าไปในครัว หม่อมฉันเห็นว่ามีข้าวต้มธรรมดาหม้อใหญ่สำหรับห้าสิบถึงหกสิบที่อยู่สองหม้อ และน้ำซุปกระดูกหมูอีกหนึ่งหม้อใหญ่ หม่อมฉันจึงทำข้าวต้มกระดูกหมูง่ายๆ ให้พวกเขาเพคะ"
"ฝ่าบาท แม้จะเป็นข้าวต้มกระดูกหมูธรรมดาๆ แต่รสชาติไม่ธรรมดาเลยพ่ะย่ะค่ะ ไม่เพียงเท่านั้น นางยังขวัญกล้าใช้ให้กระหม่อมเป็นผู้แจกหมั่นโถวแก่ขอทานนับร้อยด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
'แหม เหมือนโดนลูบหลังแล้วตบหัวยังไงไม่รู้แฮะ' ชิงหลินคิดในใจ
"โอ้...นางกล้าออกคำสั่งกับองค์ชายเช่นเจ้าด้วยหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น นางยังเรียกเก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากกระหม่อมอีกด้วย ดูเอาเถิด ว่านางช่างขวัญกล้าเพียงใด" โจวหยางหมิ่นกล่าวเหมือนเป็นเรื่องสนุกสนานมากกว่าจะคิดจริงจัง แต่เท่านี้ก็ทำให้นางอกสั่นขวัญแขวนจะแย่อยู่แล้ว
"โอ้ นางถึงขั้นกล้าเรียกร้องเงินจากเจ้าด้วยหรือนี่ ฮ่าๆๆ" โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ทรงพระสรวลเสียงดังอีกครั้งแล้วรับสั่ง "แต่ดูเจ้าไม่ขุ่นเคืองหรือถือสานางเลย เป็นเพราะเหตุใด"
"คราวแรกกระหม่อมขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง แต่พอได้ฟังเหตุผลของนางแล้วก็ไม่สามารถใจดำลงโทษนางได้พ่ะย่ะค่ะ" โจวหยางหมิ่นตอบตามจริง
"นางอ้างว่าทำเช่นนี้เพื่อให้ราษฎรรับรู้ถึงความห่วงใยของฝ่าบาทและเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่มีต่อราษฎร ซึ่งกระหม่อมเห็นด้วยกับเหตุผลของนางพ่ะย่ะค่ะ" โจวหยางหมิ่นบิดเบือนความจริงเล็กน้อย ความจริงที่บิดเบือนก็คือนางบอกเพียงว่าการที่ให้ตนมาช่วยแจกหมั่นโถวก็เพื่อให้ได้ใกล้ชิดประชาชน ได้รับรู้ถึงความลำบากยากเข็ญของคนเหล่านั้น และยังช่วยให้การแต่งตั้งตำแหน่งรัชทายาทเป็นไปอย่างราบรื่นไร้ข้อโต้แย้งใดๆ ซึ่งโจวหยางหมิ่นก็เห็นด้วยกับถ้อยคำของนาง
"พวกท่านเห็นหรือไม่ นางเป็นเพียงสตรีที่มาจากต่างแคว้น หาใช่ชาวแคว้นโจวไม่ แต่กลับมีใจห่วงใยราษฎรของเราถึงเพียงนี้ จนชาวบ้านต่างยกย่องสรรเสริญนางไปทั่วแล้ว พวกท่านที่เป็นชาวแคว้นโจวโดยแท้เล่า มัวทำอันใดกันอยู่! ปล่อยให้ชาวบ้านอดอยากอดมื้อกินมื้อจนขอทานเต็มบ้านเต็มเมืองเช่นนี้ ใช้ได้ที่ไหนกัน!" โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้ชี้นิ้วใส่ขุนนาง ทรงตำหนิเหล่าขุนนางเสียงดัง
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าทุกอย่างตั้งแต่ต้นนับแต่ให้นางเข้าเฝ้าก็เพื่อต้องการตำหนิและสั่งสอนเหล่าขุนนางที่ไม่เอาไหนเหล่านี้ ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากว่าประโยชน์ส่วนรวมให้รู้สึกละอายใจและสำนึกถึงหน้าที่ที่พึงกระทำขึ้นมาบ้าง
"ฝ่าบาท..." เหล่าขุนนางรีบคุกเข่าลงกับพื้น ไม่มีขุนนางคนใดกล้ากราบทูลแก้ต่าง เพราะคนฟังย่อมคิดว่าเป็นการแก้ตัวให้พ้นผิดมากกว่า สู้เงียบไว้จึงนับว่าฉลาด
"ฮึ! ครั้งนี้แค่ตักเตือนเท่านั้น หวังว่าพวกท่านจะทำหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัด เห็นแก่ส่วนรวมเป็นหลัก เข้าใจหรือไม่!"
"รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ" ขุนนางส่งเสียงอย่างพร้อมเพรียง
"เลิกประชุม!" โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ จากนั้นก็เสด็จกลับตำหนักทันที ไม่รอให้เหล่าขุนนางได้ทำความเคารพ
"เฮ้อ...ค่อยยังชั่ว คิดว่าจะเกิดเรื่องซะแล้ว" ชิงหลินพึมพำกับตัวเอง มองดูขุนนางในชุดแดงบ้างน้ำเงินบ้างทยอยเดินออกจากท้องพระโรง บางรายหันมายิ้มให้ บางรายส่งสายตาดุมาให้ เห็นแล้วก็นึกแปลกใจ แต่ไม่เก็บมาใส่ใจ
ห้องทรงอักษร ตำหนักหยางหมิ่น
"ความหมายของเจ้าคือ...ขอร่วมเดินทางไปหุบเขากินคนด้วย แต่จะไม่กลับมาที่นี่อีก"
"เพคะ หม่อมฉันมีงานด่วนที่ต้องจัดการ จึงคิดว่าเดินทางกลับไปกลับมาทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ขอองค์ชายทรงเห็นใจด้วยเพคะ"
"เฮ้อ ก็ได้ แม้จะน่าเสียดาย แต่ถ้าเจ้ามาแคว้นโจวต้องบอกให้เรารู้ทันทีเข้าใจหรือไม่" แม้จะเสียดายที่มีเวลาน้อยไปจนไม่ทันได้ล้วงความลับเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เห็นที่แอ่งน้ำนั่น แต่โจวหยางหมิ่นก็คิดว่าความลับนี้จะต้องเปิดเผยในสักวัน
"ขอบพระทัยเพคะ" คนฟังยิ้มกว้างอย่างดีใจ จนเจ้าสามสหายน้อยที่วิ่งเล่นอยู่ในห้องทรงอักษรหันมามองอย่างสงสัย
"เราจะออกเดินทางพรุ่งนี้ยามเหม่า เตรียมตัวให้พร้อมด้วย" โจวหยางหมิ่นกล่าว
"หม่อมฉันทราบแล้ว หม่อมฉันขอตัวเพคะ"
โจวหยางหมิ่นพยักหน้าอนุญาต ทอดสายตามองสตรีร่างเล็กบอบบางที่เดินออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์