-35-
"นายท่าน คุณหนู" เฟิ่งอิงก้าวเร็วๆ มาหาชิงหยวนผู้เป็นนาย ความกังวลใจฉายชัดบนใบหน้าคมเข้มที่มักจะเรียบเฉยและเย็นชา
"อืม ปล่อยนางไปก่อน อีกเดี๋ยวคงดีขึ้น" แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ความจริงแล้วชิงหยวนร้อนใจเกี่ยวกับเรื่องที่บุตรีขุ่นเคืองใจอยู่มากทีเดียว ด้วยไม่เคยเห็นนางโกรธเช่นนี้มาก่อน จึงได้แต่หวังว่าแม่ทัพหนุ่มจะหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้ให้จบสิ้นโดยเร็ว
"ทราบแล้วขอรับ" เฟิ่งอิงรับคำอย่างจำใจหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
"รู้หรือไม่ว่านางไปที่ใด" ชิงหยวนเอ่ยถามหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำ
"ได้ยินเสียงปิดประตู คาดว่าคุณหนูคงอยู่ในห้องพักขอรับ" แม้จะไม่ได้รีบตามออกไป แต่เสียงฝีเท้าของนางถึงจะเบาเพียงใด เฟิ่งอิงก็จดจำได้เป็นอย่างดี
"อืม เช่นนั้นข้าจะไปหาอาเหวินเสียหน่อย" ชิงหยวนกล่าวแล้วเดินออกมาจากห้องพัก มุ่งหน้าไปยังห้องพักของแม่ทัพหนุ่ม
"นายท่าน..." เสียงของสองสาวใช้ที่ถูกคุณหนูไล่ออกมาจากห้อง ซ้ำยังปิดประตูลั่นดาลเสียแน่น ทำให้ชิงหยวนหยุดชะงักพลางเลิกคิ้วสงสัย
"เอ่อ...คุณหนูขังตัวเองอยู่ข้างในห้องพัก ไม่ยอมให้บ่าวคอยอยู่รับใช้เจ้าค่ะ" หนึ่งในสองสาวใช้รายงานพร้อมกับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เพราะสาวใช้ทั้งสองก็ทราบเรื่องนี้จึงถูกคุณหนูโกรธและไล่ออกมานอกห้องนั่นเอง
"อืม เช่นนั้นก็เฝ้าให้ดี อย่าให้คลาดสายตา" ชิงหยวนพยักหน้ารับรู้พร้อมกับกำชับสองสาวใช้เสียงเข้ม
"ทราบแล้วเจ้าค่ะ" สองสาวใช้รับคำสั่งพร้อมกัน
"หลานชาย เป็นเช่นไรบ้าง" ชิงหยวนเอ่ยถามแม่ทัพหนุ่มพลางทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ใกล้ๆ บนโต๊ะมีกระดาษ พู่กัน และแท่นหมึก กับสามสัตว์เลี้ยงของบุตรี
"ดีขึ้นมากแล้วขอรับ ขอบคุณท่านลุงที่ห่วงใย"
"แล้วนี่เจ้ากำลังทำสิ่งใดหรือ" ชิงหยวนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
มู่หลิ่งเหวินยกมุมปากยิ้มแทนคำตอบ เก็บม้วนกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วใช้เชือกผูกมัดไว้เก็บเข้าที่รวมทั้งหมึกและพู่กัน จากนั้นจึงกลับมานั่งลงข้างชิงหยวนซึ่งเป็นว่าที่พ่อตาอีกครั้ง
"หือ? หรือว่า..." เมื่อไม่ได้คำตอบ ชิงหยวนจึงสำรวจโดยรอบแล้วคิดวิเคราะห์เอง แล้วก็เริ่มเดาทางถูก
"ใช่แล้วขอรับ นี่คือแผนพิชิตใจหลินหลินของข้ากับเจ้าสามมารน้อย" แม่ทัพหนุ่มยิ้มบางๆ ดวงตาคมทรงเสน่ห์เป็นประกายแพรวพราวและอ่อนโยนยามที่เอ่ยชื่อของนางอันเป็นที่รัก
เฟิ่งอิงที่ยืนห่างไปสี่ห้าก้าวเลิกคิ้วเข้มมองแม่ทัพหนุ่ม สลับกับเจ้าสามสหายน้อยของคุณหนูด้วยความสนใจใคร่รู้ว่า แม่ทัพหนุ่มผู้นี้จะใช้วิธีใดให้คุณหนูหายโกรธ
"อา...เดี๋ยวนี้เลยหรือ" ชิงหยวนถามเพื่อความแน่ใจ
"ขอรับ" มู่หลิ่งเหวินพยักหน้ารับ ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนฉายความมั่นใจเต็มเปี่ยม
คราแรกชิงหลินเพียงแค่เสียใจและน้อยใจที่เขาไม่ยอมบอกให้รู้ถึงผลข้างเคียงของยา แต่พอได้รู้เพิ่มเติมว่านอกจากคู่หมั้นและเจ้าสามสหายน้อยแล้ว ยังมีบิดา เฟิ่งอิง และสองสาวใช้ที่รู้เรื่องนี้อีกด้วย จากแค่น้อยใจและเสียใจเลยกลายเป็นว่ายามนี้นางโกรธขึ้นมาเสียแล้ว
ก๊อกๆ!
"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ"
เสียงเคาะประตูของสาวใช้ทำให้ชิงหลินที่นั่งกอดอกหน้าบูดบึ้งอยู่บนเตียงนอนจำต้องส่งเสียงถาม "มีอะไร"
"เอ่อ...มีสารส่งถึงคุณหนูเจ้าค่ะ"
"..."
"เอ่อ...เปิดประตูให้บ่าวเข้าไปหน่อย ได้หรือไม่เจ้าคะ" เสียงสาวใช้คนเดิมถาม
"..."
"โธ่ คุณหนู บ่าวผิดไปแล้ว อภัยให้บ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ" เสียงคร่ำครวญของสาวใช้ที่ดังเข้ามาทำให้ชิงหลินเริ่มใจอ่อน ขยับกายเดินมานั่งที่โต๊ะไม้กลมกลางห้องซึ่งอยู่ห่างจากประตูเพียงไม่กี่ก้าว ทั้งยังได้ยินชัดเจนกว่าด้วย
"..."
"คุณหนู บ่าวขอร้อง จะทุบตีบ่าวอย่างไรก็ได้ แต่ช่วยเปิดประตูให้บ่าวหน่อยเถิดเจ้าค่ะ" เสียงอ้อนวอนของสาวใช้ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
กุกกักๆ แอ๊ดดด!
เสียงดึงสลักจากด้านในพร้อมประตูที่ค่อยๆ เปิดอ้าออกช้าๆ ทำเอาหลายชีวิตที่เฝ้าลุ้นอยู่นอกห้องยิ้มออก ที่ในที่สุดนางก็ยอมเปิดประตู หาไม่แล้วแผนการพิชิตใจหลินหลินคงไม่อาจสานต่อได้
คนเปิดเดินกลับมานั่งกอดอกที่เดิม ใบหน้าจิ้มลิ้มยังคงบูดบึ้งงอง้ำเช่นเดิม ดวงตากลมโตจับจ้องที่หน้าประตูก่อนจะกระพริบถี่ๆ เมื่อผู้ที่เข้ามาซึ่งน่าจะเป็นสาวใช้กลับเป็นเจ้าหมั่นโถวน้อยที่เดินก้มหัวหูตกหางลู่จนปลายหางระไปกับพื้นห้อง
"หลินหลิน เจ้าคะ ข้า...เอ่อ...หมั่นโถวนำสารจากเหวินเหวินมาให้เจ้าค่ะ" เจ้าจิ้งจอกน้อยร้องบอกเสียงสั่นเครือด้วยความหวาดหวั่น พร้อมกับเงยหัวเรียวเล็กน่ารักขึ้นส่งสายตาออดอ้อนจนชิงหลินใจอ่อนยวบยาบ แต่ก็ยังแสร้งทำหน้าบึ้ง นางคุกเข่าลงตรงหน้าจิ้งจอกน้อยก็เห็นม้วนกระดาษเล็กมัดด้วยด้ายสีแดงสดผูกติดอยู่ที่คอของมัน จึงแกะออกมาแล้วคลี่ออกอ่าน
"เจ้าคือสายลมข้าคือทราย" ชิงหลินอ่านออกเสียงเบาๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด
'นี่ เขากำลังจะทำอะไร'
"หมั่นโถวผิดไปแล้ว หลินหลินอย่าโกรธหมั่นโถวเลยนะเจ้าคะ" เจ้าจิ้งจอกน้อยร้องอ้อนวอน พร้อมกับวางเท้าหน้าทั้งสองบนหน้าขาของนายใหม่ พร้อมกับเงยหัวเรียวเล็กน่ารักขึ้น
ชิงหลินยิ้มให้อย่างสงวนท่าที ด้วยรู้ดีว่ากลุ่มคนที่ทำให้นางขุ่นเคืองอยู่หน้าประตูนั่น มือเรียวอุ้มเจ้าจิ้งจอกน้อยขึ้นมาวางบนโต๊ะ ไม่กี่อึดใจต่อมาเจ้าเป่าเปาน้อยก็เดินเข้ามาในลักษณะเดียวกับตัวน้องคือ หูลู่หางตกและก้มหัวต่ำ
"หลินหลินขอรับ ข้า...เอ่อ...เป่าเปานำสารจากเหวินเหวินมาส่งขอรับ" เป่าเปาน้อยร้องบอกนายใหม่ด้วยท่าทางขัดเขินเล็กน้อย เพราะไม่เคยใช้คำเรียกตัวเองเช่นนี้มาก่อน
"สายลมพัดผ่านทรายน้อยล่องลอย" นางเริ่มจะเข้าใจวิธีง้อของคู่หมั้น
'นี่คงคิดจะง้อข้าด้วยบทกลอนกระมัง'
"หลินหลิน เอ้านี่ เจ้าร่างยักษ์ฝากมาให้" น้ำเสียงดูแคลนและอวดดี ทั้งยังมั่นอกมั่นใจจนน่าหมั่นไส้เช่นนี้จะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากเจ้าพยัคฆ์น้อยนามว่าฟานฟาน หัวหน้าแก๊งฟานเป่าโถว
"เจ้านี่นะ" มือเรียวขยี้หัวกลมๆ เล็กๆ ของมันอย่างมันเขี้ยว พลางหยิบม้วนกระดาษที่คอมันขึ้นมาอ่าน
"สายลมโบกพลิ้วทรายน้อยปลิวตาม" คราวนี้ชิงหลินเริ่มหน้าแดงเมื่อนำข้อความมาเรียงต่อกัน นี่มัน...กลอนรักชัดๆ!
"สายลมพัดผ่านเขาเทียนซาน ทรายน้อยขอตามข้ามขอบฟ้าไป" เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงในอาภรณ์สีขาวสะอาดตา ผมที่มักรวบเก็บเรียบร้อยถูกปล่อยสยายเต็มแผ่นหลังกว้าง มีบางส่วนตกมาด้านหน้าช่วยขับเน้นความหล่อเหลาที่มีมากล้นอยู่แล้วให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ทุกย่างก้าวองอาจสง่างามและมั่นคงไร้ความลังเล สองมือไพล่หลัง ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนแย้มยิ้มหวานเสน่ห์ใส่สตรีอันเป็นที่รักเต็มที่
"...เจ้าคือสายลมข้าคือทราย
สายลมพัดผ่านทรายน้อยล่องลอย
สายลมโบกพลิ้วทรายน้อยปลิวตาม
สายลมพัดผ่านเขาเทียนซาน
ทรายน้อยขอตามข้ามขอบฟ้าไป19" แม่ทัพหนุ่มท่องกลอนซ้ำอีกครั้ง
ชิงหลินเขินอายจนหน้าแดงก่ำ ก้มหน้ามองมือตัวเองไม่กล้าเงยหน้ามองอีกฝ่าย ใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำ อารมณ์โกรธ น้อยใจ และเสียใจทั้งหลายแหล่หายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความอบอุ่นซาบซ่านในหัวใจ
"หลินเอ๋อร์ พี่ผิดไปแล้ว อภัยให้พี่สักครั้งได้หรือไม่" มือหนาจับต้นแขนเรียวเล็กทั้งสองข้างของนางให้ลุกขึ้นยืน โดยมีแก๊งฟานเป่าโถวช่วยลุ้นอยู่บนโต๊ะ ส่วนเจ้าพยัคฆ์น้อยแม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็ยอมอยู่เฉยๆ เพียงเพื่อให้หลินหลินหายโกรธ
'เฮอะ! หนนี้ข้าจะยอมให้เจ้าไปก่อน' มันคิดในใจ
"ก็ได้เจ้าค่ะ"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแม่ทัพหนุ่มก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
"หลินเอ๋อร์ แล้วพ่อเล่า" ชิงหยวนรีบเดินเข้ามาสมทบในห้อง เมื่อเห็นบรรยากาศอึมครึมเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้น
"ลูก..." ลากเสียงยาวพร้อมกับกวาดตาเจ้าเล่ห์มองบิดา เฟิ่งอิง จิ๋นซาน จิ๋นซื่อ และสองสาวใช้ที่กำลังลุ้นตัวโก่งรอฟัง
"ลูกหายโกรธแล้วก็ได้เจ้าค่ะ" ตอบยิ้มๆ พลางมองทุกคนด้วยสายตาขอบคุณและรู้สึกอบอุ่นใจ เพราะสัมผัสถึงความรักความห่วงใยจากทุกคนได้ จึงคิดว่ารีบๆ หายงอนจะดีกว่า อีกอย่าง วิธีง้อของคู่หมั้นรูปหล่อก็น่ารักดี
"ขอบคุณขอรับ / ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู" เสียงของจิ๋นซานจิ๋นซื่อสององครักษ์หนุ่มและสองสาวใช้เอ่ยขึ้นแทบจะพร้อมกัน ก่อนจะล่าถอยออกไปยืนเฝ้าที่หน้าประตู
เฟิ่งอิงค้อมศีรษะแทนคำขอบคุณ ดวงตาคมเรียวดุเหลือบมองคุณหนูที่เขาแอบรักครู่หนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนีภาพบาดตาบาดใจของคนทั้งคู่ แล้วก้าวถอยออกไปเงียบๆ พร้อมด้วยหัวใจที่เจ็บปวด
ชิงหยวนส่ายหน้าอย่างเห็นใจในความรักของหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำผู้นี้ที่มีต่อบุตรียิ่งนัก หากเป็นไปได้เขาก็อยากจะเห็นชายหนุ่มที่เขารักประหนึ่งลูกหลานผู้นี้มีครอบครัวเฉกเช่นชายหนุ่มทั่วไป มีลูกหลานไว้สืบสกุลบ้าง ด้วยอายุของชายหนุ่มก็ไม่ได้น้อยแล้ว แต่ที่ผ่านมาก็ไม่สมหวังเสียที เพราะชายหนุ่มผู้นี้ไม่สนใจสตรีที่ชิงหยวนเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดีเลย ซ้ำยังหาทางหลบเลี่ยงบ่ายเบี่ยงการดูตัวเสมอมา สร้างความหนักใจให้แก่ผู้เป็นนายเลยทีเดียว
"ข้ายังพูดไม่จบ" เสียงกังวานใสของนางเป็นเหตุให้ผู้ที่ถูกคาดโทษทั้งหลายชะงักกึก แล้วค่อยๆ หันกลับมามองด้วยสายตาหวาดหวั่น ไม่เว้นแม้กระทั่งชิงหยวนและคู่หมั้นที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
"หือ? เจ้ามีอันใดจะพูดก็พูดมาเถิดหลินเอ๋อร์" ชิงหยวนกล่าว
"ลูกจะขออยู่ที่นี่ต่อจากสามวันเป็นสามปีเจ้าค่ะ"
"หา!" เสียงอุทานอย่างตระหนกตกใจดังลั่นไปทั่วห้อง ทำเอาชิงหลินหูอื้อไปชั่วครู่ ส่วนคนอื่นๆ ก็ตกใจไม่แพ้กัน พลางคิดไปต่างๆ นานา
'ที่ห่างไกลความเจริญไม่สะดวกสบายเช่นนี้คุณหนูจะอยู่ได้หรือ' สองสาวใช้ครุ่นคิดไปในทางเดียวกัน
'อา...หากบิดาของนางอนุญาตแล้ว ท่านแม่ทัพของตนจะทำเช่นไรเล่า' นั่นคือสิ่งที่จิ๋นซื่อคิด
'ช่างเป็นสตรีที่มีเรื่องให้ประหลาดใจอยู่เรื่อยผิดสตรีทั่วไป สมแล้วที่เป็นว่าที่ฮูหยินแห่งจวนแม่ทัพ' จิ๋นซานนึกชื่นชม
'สมเป็นคุณหนู' เฟิ่งอิงยกมุมปากยิ้มเล็กน้อยจนดูเหมือนเหยียดยิ้มเสียมากกว่า ดวงตาคมเรียวดุทอประกายความอ่อนโยนทุกครั้งที่มองนาง
ผิดกับคู่หมั้นที่อึ้งจนกล่าวไม่ออก 'นี่หมายความว่าอันใด ไม่ใช่ว่านางบอกปฏิเสธข้าทางอ้อมหรอกหรือ นางไม่ได้มีใจให้ข้า? ที่ผ่านมาเป็นข้าที่คิดไปเองฝ่ายเดียว?' ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหนึบที่อกข้างซ้ายราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดหัวใจจนแทบจะทนยืนต่อไปไม่ได้
ชิงหยวนจับไหล่ทั้งสองของนางให้หันมาทางตน พร้อมกับเอ่ยย้ำอีกครั้ง "หลินเอ๋อร์ พูดให้พ่อฟังอีกทีเถิด พ่อฟังไม่ถนัด"
"ลูกอยากจะขออยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามปีเจ้าค่ะ" ชิงหลินยังคงยืนยันคำพูดของตัวเองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
"เหตุผลคือ?" ชิงหยวนถามหาเหตุผลจากบุตรี ด้วยรู้ดีว่าที่ผ่านทุกสิ่งที่นางกระทำมักมีเหตุผลที่ดีและเหมาะสม จนผู้เป็นบิดาอย่างเขาไม่อาจปฏิเสธได้เสียทุกครั้ง คราวนี้ก็คงเช่นเดียวกัน เพียงแต่เวลาที่นางขอออกจะนานไปสักหน่อย เช่นนี้แล้วอาเหวินจะยอมได้หรือ เพราะเหมือนจะรีบร้อนอยากตบแต่งบุตรีของเขา ราวกับกลัวว่าหากช้าไปเพียงก้าวอาจจะมีบุรุษอื่นมาช่วงชิงนางไปได้อย่างนั้นแหละ
"ข้าอยากจะศึกษาและทดลองปลูกพวกผัก ผลไม้ และสมุนไพรต่างๆ จากหุบเขากินคนเจ้าค่ะ เพราะคิดว่ามันจะต้องเป็นสินค้าขายดีและเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างแน่นอน" เพราะเป็นพืชพันธุ์ที่มีในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นพืชผักสวนครัว เช่น ข่า ตะไคร้ มะกรูด กะเพรา ยี่หร่า โหระพา และแมงลัก ไหนจะสมุนไพรหลากหลายชนิด ทั้งยังมีผลไม้ที่รวมมิตรฤดูกาลที่ไม่คิดว่าจะออกดอกออกผลในเวลาเดียวกันได้ ทำเอานางทึ่งไปเลย
หากนำมาเพาะพันธุ์และขยายพันธุ์แล้วนำไปขายได้ละก็ คิดว่าผู้คนที่นี่คงจะชอบ ไม่แพ้คนจีนในภพที่นางจากมาอย่างแน่นอน
"อา...ฟังดูมีเหตุผล แต่เจ้าอย่าลืม เจ้าเป็นสตรีที่ถึงวัยออกเรือน ซ้ำยังมีคู่หมั้นแล้ว"
คำพูดของบิดาทำให้ชิงหลินหุบยิ้มแทบจะทันที นางหันกลับมาทางคู่หมั้นแล้วผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาจ้องมองมา ใบหน้าหล่อเหลาบูดบึ้ง ไม่แย้มยิ้มเฉกเช่นตอนที่เข้ามา ก็ได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆ ไปให้
ฝ่ายมู่หลิ่งเหวินยืนนิ่ง ส่งสายตาตัดพ้อให้ไม่กล่าวสิ่งใดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้ชิงหลินร้อนใจกระวนกระวายใจจะแย่แล้ว อยากจะเข้าไปสวมกอดแล้วชี้แจงให้เขารู้ถึงความรู้สึกของนางในยามนี้
"เอ่อ...พี่เหวิน" หญิงสาวพูดพลางยื่นมือออกไปเพื่อจับแขนแข็งแรง ขณะที่ชิงหยวนก้าวถอยออกมาจากห้องแล้วปิดประตูเพื่อให้ทั้งสองได้พูดคุยปรับความเข้าใจกัน โดยมีสองสาวใช้ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู จิ๋นซานจิ๋นซื่อสององครักษ์หนุ่มเดินกลับไปยังห้องพักข้างๆ ส่วนเฟิ่งอิงก็เดินตามชิงหยวนกลับไปยังห้องพักของเจ้านาย
ภายในห้องจึงมีเพียงนาง คู่หมั้นรูปงาม และแก๊งฟานเป่าโถวที่วิ่งเล่นไล่จับกันทันทีเมื่อประตูห้องปิดลง ปล่อยให้หลินหลินต้องเผชิญกับพายุลูกใหญ่เพียงลำพัง
ร่างสูงหลุบตามองมือที่ยื่นอออกมาแล้วถอยหลังหนึ่งก้าว ก่อนจะหันหลังให้นาง สองแขนแข็งแรงยกขึ้นกอดอก
การกระทำของเขาทำให้นางหน้าเสีย 'อะไรกัน เมื่อครู่ยังเป็นข้าที่งอนอยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้เปลี่ยนเป็นถูกงอนไปซะแล้วเล่า'
"พี่เหวิน โกรธหรือเจ้าคะ"
"..."
"ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่แต่งให้ท่านเสียหน่อยนะเจ้าคะ"
"..." มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
"สองปีก็ได้เจ้าค่ะ" นางพูดพร้อมกับชูนิ้วขึ้นสองนิ้ว ทั้งที่เขายังยืนหันหลังให้
"หกเดือน" เสียงที่โต้กลับมาทำให้ชิงหลินยิ้มออก
"น้อยไปเจ้าค่ะ ปีครึ่ง ข้าขอเวลาปีครึ่ง" ร่างเล็กพยายามต่อรอง
"นานไป หนึ่งปี พี่ให้เจ้าได้เท่านี้ ห้ามต่อรองอีก" แม่ทัพหนุ่มหมุนกายสูงใหญ่สง่างามกลับมากล่าวเสียงเข้ม พร้อมกับชูนิ้วชี้ขึ้นเบื้องหน้าคู่หมั้นสาว
"ตกลงเจ้าค่ะ ฮิๆๆ" ชิงหลินยกมือขึ้นทำท่าโอเค ใบหน้าจิ้มลิ้มเผยรอยยิ้มกว้างอวดฟันขาว "ขอบคุณเจ้าค่ะที่เข้าใจข้า" นางเขย่งปลายเท้าหอมแก้มคู่หมั้น ทำเอาแม่ทัพหนุ่มถึงกับอึ้งตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่ ด้วยนี่เป็นจุมพิตแรกที่สตรีอันเป็นที่รักมอบให้โดยที่เขาไม่ได้ร้องขอเฉกเช่นที่ผ่านมา
มือหนาลูบไล้ริมฝีปากของตนแล้วยกมุมปากยิ้ม ดวงตาคมทรงเสน่ห์ทอประกายพึงพอใจอย่างสูงสุด เขารวบร่างเล็กเข้าสู่อ้อมอกกว้างด้วยความหวงแหน แต่แล้วก็ต้องชะงักวูบ
"ภายในหนึ่งปีนี้ หากท่านปันใจให้หญิงอื่นละก็ ข้าจะทำให้ท่านมีลูกไม่ได้อีกเลย...คอยดู!"
ถ้อยคำของนางทำเอาคนฟังเสียววาบไปทั้งร่าง 'หมายความว่าอย่างไร ทำให้มีบุตรไม่ได้ คงไม่ใช่ตัดทิ้งหรอกนะ' คิดแล้วให้หวาดเสียวยิ่งนัก
"ฮิๆๆ เป็นอะไรเจ้าคะ หน้าซีดเชียว" นางเย้าเสียงใส ใบหน้าจิ้มลิ้มระบายไปด้วยรอยยิ้มที่ชวนให้หวาดหวั่นใจยิ่งนักในความคิดของอีกฝ่าย
"เจ้าพูดจริงหรือ" เขาถามเสียงเบา
"อา...นั่นสิ อืม ไว้ถึงเวลานั้นท่านก็จะรู้เองเจ้าค่ะ" หญิงสาวยังคงพูดไปยิ้มไปราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา
"จะไม่มีวันนั้นแน่ เพราะเจ้าคือยอดดวงใจของพี่เพียงหนึ่งเดียว และจะเป็นเช่นนี้ตราบชั่วฟ้าดินสลาย" มือหนาจับไหล่เล็กทั้งสองบีบเบาๆ ดวงตาคมทรงเสน่ห์ที่หลุบมองคู่หมั้นดูแน่วแน่และจริงจัง สร้างความพอใจให้ชิงหลินยิ่งนักจนต้องเผยรอยยิ้มมีความสุขออกมา ก่อนจะกล่าว
"ข้าเชื่อท่านเจ้าค่ะ"
ดวงตากลมโตสบตากับอีกฝ่ายไม่ยอมหลบเช่นกัน นางเชื่อคำพูดของเขา แม้ในใจลึกๆ จะแอบหวั่นใจเล็กน้อย ด้วยคู่หมั้นของนางพรั่งพร้อมไปด้วยรูปสมบัติ ชาติตระกูลก็ดี ซ้ำยังมีความสามารถโดดเด่น เป็นที่หมายปองของสตรีน้อยใหญ่ ดีที่เขาไม่ได้ลุ่มหลงมัวเมาไปกับสิ่งเร้าเหล่านั้น ไม่เช่นนั้นนางคงช้ำใจตาย
"หลินเอ๋อร์" แม่ทัพหนุ่มค่อยๆ โน้มใบหน้าหล่อเหลาลงไปหาใบหน้าจิ้มลิ้มที่แหงนเงยรออยู่ช้าๆ ตั้งใจว่าจะมอบจุมพิตแสนหวานที่ตราตรึงใจให้
"หลินหลิน พวกเราง่วงนอนแล้ว" เสียงร้องของเจ้าพยัคฆ์น้อยทำให้ชิงหลินชะงัก รีบผละออกมาหาพวกมันจนสร้างความหงุดหงิดใจให้แม่ทัพหนุ่มยิ่งนัก
'ฮึ่ม! มารดามันเถอะ เจ้าสามมารน้อยนี่น่าตายนัก!'
19 บทกลอนจากเรื่อง องค์หญิงกำมะลอ