-36-
"ข้าคิดว่าท่านควรกลับไปพักผ่อนได้แล้วนะเจ้าคะ" ชิงหลินหันมาบอกคู่หมั้นที่กำลังเขม่นกับเจ้าฟานฟานน้อยของนางอย่างไม่มีใครยอมใคร
มู่หลิ่งเหวินจึงละสายตาจากเจ้าสามมารน้อยจอมขัดขวาง เงยใบหน้าหล่อเหลาขึ้นมองนาง ส่งสายตาเป็นนัยๆ ว่าต้องการให้นางเดินไปส่งตนที่ห้องพัก
"พวกเจ้ารออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวข้ากลับมา" นางหันไปบอกเจ้าสามสหายน้อยทางจิต สามสหายน้อยจึงแหงนเงยหน้าเอียงคอเล็กน้อยทั้งน่ารักและน่าเอ็นดูให้เป็นคำตอบ
"อ๊ะ...พี่เหวินเป็นอะไรเจ้าคะ หน้ามืดหรือ" หญิงสาวรีบเข้าไปประคองร่างสูงเมื่อเห็นท่าทางซวนเซคล้ายจะล้มของอีกฝ่าย
"อา...พี่ไม่เป็นไร เพียงแต่เวียนศีรษะเล็กน้อย ได้พักสักครู่คงหาย" แม่ทัพหนุ่มตอบเสียงอ่อน มือหนึ่งนวดคลึงขมับ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ทิ้งน้ำหนักตัวไปที่ร่างเล็กบอบบางจนเซไปเล็กน้อย ก่อนจะตั้งหลักทำตัวเป็นไม้ค้ำยันให้เขา แขนเรียวโอบกอดเอวสอบไว้มั่น
เจ้าพยัคฆ์น้อยเอียงหัวมองแม่ทัพหนุ่มด้วยความสงสัย ดวงตากลมเล็กสีเทาก็พลันเบิกกว้างเมื่อเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยของอีกฝ่าย
'หน็อย..เจ้าเล่ห์นักนะ! หากไม่ติดว่าเจ้าบาดเจ็บละก็ ข้าไม่มีวันยอมให้เจ้าเข้าใกล้หลินหลินของข้าหรอก!' เจ้าพยัคฆ์น้อยสบถในใจ
"หึๆ" แม่ทัพหนุ่มเหยียดยิ้มเยาะเย้ยเจ้าพยัคฆ์น้อย ก่อนจะหันมาส่งยิ้มหวานให้คู่หมั้นสาวที่อยู่ใต้วงแขนแข็งแรงของตน กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูก ช่างหอมติดตรึงใจยิ่งนัก เขาสืบหาจนได้รู้ว่าเป็นกลิ่นหอมของดอกโม่ลี่ บุปผาสีขาวดอกเล็กๆ นับว่าเหมาะสมกับนางยิ่ง
"เจ้าจะอยู่กับพี่จนกว่าพี่จะหลับใช่หรือไม่"
ชิงหลินชะงักมือที่กำลังห่มผ้าให้เขาพลางส่งยิ้มบางๆ แล้วเอ่ย "เจ้าค่ะ ข้าจะอยู่ที่นี่จนกว่าท่านจะหลับ" อีกอย่าง นางอยากเฝ้าดูอาการที่เกิดจากผลข้างเคียงของยาอย่างใกล้ชิด เผื่อจะได้หาหนทางช่วยบรรเทาความเจ็บปวดนั้น
เมื่อได้ยินคำตอบก็รู้สึกสุขใจยิ่งนัก มู่หลิ่งเหวินจับมือเรียววางไว้บนอกแล้วหลับตาลง โดยมีร่างเล็กนั่งตะแคงข้างมองใบหน้าหล่อเหลาเงียบๆ ด้วยความหลงใหล
'อา...ช่างเป็นผู้ชายที่หล่อกระชากใจ กระชากวิญญาณจริงๆ หากเกิดในภพที่นางจากมา สาวๆ คงได้ตบตียื้อแย่งกันเป็นพัลวันแน่ๆ'
ชิงหลินไม่ได้คิดเฉยๆ มือข้างที่ว่างวางบนคิ้วเข้มหนา ลากไล้แผ่วเบาจากหัวคิ้วไปยังปลายคิ้ว จากนั้นก็เลื่อนมาวางที่หว่างคิ้วแล้วลากไล้สันจมูกโด่งลงมาที่ปลายจมูก เขี่ยเล่นไปมาหลายครั้งพลางหัวเราะคิกคักชอบใจ ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ "อา...หล่อจริงๆ เลยน้า" นางไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มที่ถูกนางลวนลามเล่นสนุกอยู่นั้นรู้ตัวตลอดเวลา แต่แสร้งทำเป็นหลับและปล่อยให้นางลวนลามตามใจชอบ
แม้จะได้ยินถ้อยคำชื่นชมเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของตนจากบุรุษและสตรีน้อยใหญ่มานับมิถ้วน แต่ไม่มีคำชมใดจะสร้างความขัดเขินให้แม่ทัพหนุ่มได้มากเท่าครานี้ อา...นางช่างร้ายกาจนัก!
"เอ๊ะ...ทำไมถึงหน้าแดงล่ะ หรือว่า...ถึงเวลาแล้ว" ชิงหลินพึมพำกับตัวเอง เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาปรากฏริ้วแดงจางๆ แม้จะเห็นไม่ค่อยชัดในยามค่ำ แต่เพราะก้มลงดูใกล้ๆ จึงสังเกตเห็น นางแกะมือหนาออกแล้วเดินไปที่หน้าประตู ซึ่งมีจิ๋นซื่อ องครักษ์หนุ่ม กับสองสาวใช้ยืนรอรับใช้อยู่
"เจ้าทำเช่นไรเวลาเกิดอาการ" นางเอ่ยถามองครักษ์หนุ่ม
"ไม่ได้ทำอันใดนอกจากซับเหงื่อให้ขอรับ" เขาตอบตามจริง ได้แต่ยืนดูไม่กล้าเข้าไปช่วยเหลือ ด้วยเกรงว่าอาจจะสร้างความเจ็บปวดให้แก่ท่านแม่ทัพเพิ่มขึ้น รอจนกระทั่งอาการเจ็บปวดสิ้นสุด จึงได้เข้าไปช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แล้วก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง
"อืม...ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นช่วยนำน้ำเย็นกับผ้าสะอาดมาให้ข้าที" หญิงสาวหันไปสั่งสองสาวใช้ที่ยืนอยู่อีกฝั่งของประตู แล้วหมุนตัวเดินกลับเขามาในห้องเมื่อได้ยินเสียงร้องครางอย่างเจ็บปวดของคู่หมั้น ซึ่งดูจะเบากว่าทุกครั้ง
ร่างเล็กปราดมาที่เตียง กุมมือใหญ่ไว้ด้วยสองมือพลางส่งเสียงถามด้วยความเป็นห่วง "พี่เหวิน เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ"
"อา...ไม่เป็นไร เจ็บปวดเพียงเท่านี้พี่ทนได้" มู่หลิ่งเหวินลืมตาขึ้น ส่งยิ้มบางๆ ให้นาง ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มมีเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้า ร่างกระตุกเกร็งตลอดเวลา สร้างความเจ็บปวดใจแก่ชิงหลินไม่น้อยที่ทำได้เพียงซับเหงื่อให้เขา มืออีกข้างก็ถูกมือหนาจับไว้แน่น บางครั้งมือใหญ่เผลอบีบแรงๆ จนนางรู้สึกเจ็บ แต่ก็ไม่กล้าร้อง ได้แต่ข่มความเจ็บไว้ในใจ
"เหงื่อชุ่มเลย จะอาบน้ำดีหรือไม่เจ้าคะ" นางเอ่ยถามหลังจากช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดทรมานราวหนึ่งเค่อสิ้นสุดลง
"อา...เจ้าจะอาบให้พี่ใช่หรือไม่" เขาย้อนถามพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ส่งสายตาแพรวพราวออดอ้อนคู่หมั้นสาว
"ไม่มีแรงอาบหรือเจ้าคะ" คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน 'นี่ร้ายแรงถึงขั้นหมดแรงเลยหรือไง'
"อา...หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะช่วยอาบน้ำให้พี่ได้หรือไม่" แม่ทัพหนุ่มกระซิบถามเสียงแหบพร่า ดวงตาคมทรงเสน่ห์หรี่ปรือลงเล็กน้อยดูมีเสน่ห์เย้ายวนชวนให้หลงใหลยิ่งนัก นิ้วโป้งลูบไล้ผิวนุ่มนิ่มบนหลังมือไปมา
'อึ๋ย...' หญิงสาวอุทานในใจ ขนลุกซู่จนต้องชักมือหนี ขณะที่หัวใจก็เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
"ขะ...ข้าจะไปเรียกจิ๋นซานให้มาช่วยท่านอาบน้ำนะเจ้าคะ" ไม่คิดรอคำตอบ ชิงหลินก็จ้ำอ้าวออกไปทันที ปล่อยให้คนแกล้งนั่งอมยิ้มอยู่บนเตียง
การรักษายังคงดำเนินต่อไป มู่หลิ่งเหวินมีความสุขยิ่งนักจนอยากจะหยุดเวลาแห่งความสุขนี้ไว้นานๆ แม้จะต้องแลกกับความเจ็บปวดทรมานแทบกระอักเลือดก็ตาม ขอเพียงมีนางอันเป็นที่รักคอยปรนนิบัติดูแลเช่นนี้ เขายังจะต้องการสิ่งใดอีกเล่า
ยามซื่อของวันที่แปดของการมาพักที่เรือนสายธาร มู่หลิ่งเหวินหายเป็นปกติแล้ว ไม่มีแม้แต่อาการแทรกซ้อนใดๆ ท่ามกลางความปลอดโปร่งโล่งอกของทุกคน โดยเฉพาะชิงหลินที่เหน็ดเหนื่อยกับความเอาแต่ใจของคู่หมั้นตัวดี ซึ่งสร้างปัญหาให้อยู่ตลอดเวลาที่มีโอกาสในช่วงที่ดูแลเขา ยังดีที่มีเจ้าสามสหายน้อยคอยทำหน้าที่เป็นไม้กันหมาให้บ้าง ไม่เช่นนั้นคงเหนื่อยใจมากกว่านี้อีกหลายเท่า คิดแล้วก็มันเขี้ยวอยากจะจับมาฟาดก้นสักสามสี่ที
"เรียนนายท่าน ท่านแม่ทัพ หน่วยองครักษ์ที่เดินทางคุ้มกันองค์ชายห้ากลับถึงมาแล้วขอรับ" พ่อบ้านประจำเรือนสายธารรีบเข้ามารายงาน
"อา...กลับมาแล้วหรือ" ชิงหยวนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าคร้ามแดดแฝงแววยินดีและโล่งใจ ที่ในที่สุดหน่วยองครักษ์ของแม่ทัพหนุ่มก็กลับมาเสียที เพราะชิงหยวนอยากกลับเมืองหลวงเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างไว้และเป็นห่วงฮูหยินของตนที่ต้องดูแลกิจการเพียงลำพัง
"ให้ตัวแทนหน่วยองครักษ์มาพบข้าที่นี่" มู่หลิ่งเหวินหันมาสั่งพ่อบ้าน
"หือ? ยังมีอันใดอีกหรือ" ชิงหยวนเอ่ยถามพ่อบ้านของตนด้วยความสงสัย เมื่อเห็นพ่อบ้านวัยเลยห้าสิบปียืนปักหลักอยู่กับที่ด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
"เอ่อ...เรียนนายท่าน ท่านแม่ทัพ..."
ไม่ทันที่พ่อบ้านจะรายงานจบ ร่างสูงของบุรุษที่คุ้นตาก็พลันปรากฏกายขึ้น
"องค์ชายห้า?" ชิงหลินอุทานตาโตเมื่อเห็นบุรุษรูปงามในชุดสีขาว ที่คลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีเขียวมรกต ปักลายอักษรมงคลสีเดียวกันทว่าอ่อนกว่าหนึ่งระดับ ที่เอวคาดเข็มขัดหนังสีดำหัวมังกรสีทอง น่าจะทำจากทองคำแท้ๆ เดินยิ้มเข้ามายังที่ที่พวกนางนั่งอยู่ ด้านหลังของโจวหยางหมิ่นคือใต้เท้าอู่ต้าสงที่แม่ทัพหนุ่มได้พบเป็นครั้งแรก และสี่องครักษ์ชุดเดิมที่ร่วมเดินทางไปหุบเขากินคนเดินตามเข้ามาด้วย
"ถวายบังคมองค์ชายห้า" แม่ทัพหนุ่มกับชิงหยวนคุกเข่าทำความเคารพโจวหยางหมิ่นแทบจะพร้อมกัน
"ลุกขึ้นได้" โจวหยางหมิ่นผายมืออนุญาตสองบุรุษต่ำศักดิ์กว่า ก่อนจะหันมามองสตรีที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่แล้วส่งยิ้มให้
"อา...เอ่อ...ถวายบังคมเพคะองค์ชายห้า" ชิงหลินรีบลุกขึ้นทำความเคารพองค์ชาย ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงเรื่อด้วยความอับอายที่ทำขายหน้าต่อหน้าพระพักตร์
เจ้าพยัคฆ์น้อยที่วิ่งเล่นไล่จับกับสองจิ้งจอกน้อยอยู่ภายในห้องอย่างสนุกสนานก็หยุดชะงัก เป็นเหตุให้สองจิ้งจอกน้อยต้องหยุดตามไปด้วย เมื่อเห็นคนที่ทำให้ท่านพ่อและหลินหลินของมันต้องเสี่ยงอันตราย
"หัวหน้า มีอันใดหรือขอรับ" เป่าเปาน้อยถามด้วยความสงสัย
"ข้าสังหรณ์ใจว่าชายผู้นี้จะสร้างปัญหาให้หลินหลินของพวกเราอีก" เจ้าพยัคฆ์น้อยตอบ ดวงตากลมเล็กสีเทาจับจ้องอยู่ที่บุรุษในชุดเขียวมรกตนิ่ง
"หากเป็นเช่นนั้น เราจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ" ดวงตาเรียวเล็กสีดำของหมั่นโถวน้อยไหวระริก
"รอดูไปก่อน แล้วค่อยคิดหาหนทางอีกที" สองจิ้งจอกน้อยผงกหัวเข้าใจ ก่อนจะเดินตามหัวหน้าไปหาหลินหลินที่เลื่อนมานั่งเก้าอี้อีกตัว ส่วนเก้าอี้ตัวเดิมของนางบิดาเป็นผู้นั่งแทน อู่ต้าสงนั่งถัดจากแม่ทัพหนุ่ม โดยมีองครักษ์ทั้งสี่ยืนอยู่ด้านข้างฝั่งละสองนาย
"ผู้อาวุโสท่านนี้คือ..." มู่หลิ่งเหวินหันมาทางบุรุษวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตน ลักษณะท่าทางคล้ายบัณฑิตผู้ทรงภูมิแฝงความแข็งแกร่งน่าเกรงขาม ทำให้แม่ทัพหนุ่มนึกถึงบิดาของตนขึ้นมา อา...ช่างคล้ายกันเสียจริง
"ข้ามีนามว่าอู่ต้าสง ท่านก็คือแม่ทัพมู่ ฉายาเทพสงครามที่ผู้คนเล่าลือกัน" อู่ต้าสงค้อมศีรษะให้อีกฝ่ายเล็กน้อยอย่างให้เกียรติ แม้ความจริงอู่ต้าสงไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้ ด้วยเป็นถึงเสนาบดีกลาโหมแห่งแคว้นโจว
"ใต้เท้าอู่กล่าวหนักไปแล้ว ข้าเป็นเพียงแม่ทัพเล็กๆ ไหนเลยจะกล้าเทียบชั้นเสนาบดีกลาโหมเช่นท่านได้" มู่หลิ่งเหวินประสานมือ ค้อมศีรษะให้อีกฝ่ายอย่างให้เกียรติ แม้จะไม่เคยพบหน้าพูดคุยกันมาก่อนแต่ชื่อเสียงด้านการทหารและความปราดเปรื่องในกลยุทธ์พิชัยสงครามของบุรุษผู้นี้ ทำให้แม่ทัพหนุ่มนึกชื่นชมและอยากพบปะพูดคุยขอคำชี้แนะสักครั้ง
อู่ต้าสงพยักหน้าอย่างพึงพอใจและชื่นชม เมื่อได้เห็นท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนไม่เย่อหยิ่งอวดดีของแม่ทัพหนุ่ม ก่อนจะส่งสายตาถามบุรุษหนุ่มที่สูงศักดิ์กว่าที่ยกน้ำชาขึ้นจิบ ครั้นพอได้เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าอนุญาตจึงกล่าวถึงจุดประสงค์ของการมาครั้งนี้
"องค์ชายอยากเชิญพวกท่านไปเยือนวังอู่อ๋องของพระองค์"
ถ้อยคำที่คล้ายจะเรียบง่ายแต่กลับสร้างความลำบากใจแก่ทั้งสามเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชิงหลินที่รู้สึกไม่ดีกับองค์ชายห้าผู้นี้นัก อาจจะเป็นเพราะสายตาคู่นั้นมองราวกับจ้องจับผิดอยู่ ทำให้นางอึดอัดและรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากสุงสิงหรือเกี่ยวพันด้วย
"องค์ชายอุตส่าห์มาเชิญพวกท่านด้วยองค์เองเช่นนี้ หวังว่าพวกท่านคงไม่คิดปฏิเสธหรอกนะ"
ถ้อยคำที่แฝงแววบีบบังคับกลายๆ ของเสนาบดีกลาโหม เป็นเหตุให้มู่หลิ่งเหวินต้องหันมาสบตาชิงหยวนที่นั่งฝั่งตรงข้าม จึงได้เห็นใบหน้าคร้ามแดดดูเครียดขรึม ทั้งอึดอัดและลำบากใจไม่ต่างจากตนเท่าใดนัก
ชิงหลินเหลือบมองบิดาและคู่หมั้นสลับไปมา ก่อนจะปรายตามองผู้ที่นั่งเด่นในตำแหน่งประธาน แล้วก็ต้องรีบหลบสายตาเมื่อสบเข้ากับดวงตาคมที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว นางไม่ชอบสายตาของบุรุษผู้นี้เลย ให้ตายเถอะ
โจวหยางหมิ่นยกถ้วยน้ำชาขึ้นเพื่อปิดบังรอยยิ้มของตน ไม่ใส่ใจความลำบากใจของแม่ทัพหนุ่มและชิงหยวน ด้วยหมายใจว่าต้องพาสตรีผู้นี้ไปเยือนวังอู่อ๋องของตนให้จงได้ แม้ก่อนเดินทางจะถูกใต้เท้าอู่ห้ามปรามถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากภารกิจที่ได้รับมอบหมายมีตำแหน่งองค์รัชทายาทเป็นรางวัล ทำให้โจวหยางหมิ่นยามนี้รั้งตำแหน่งว่าที่องค์รัชทายาท เหลือเพียงกำหนดวันแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเท่านั้น แม้จะรู้ดีถึงอันตรายที่อาจรออยู่ แต่ก็ไม่ทำให้โจวหยางหมิ่นเปลี่ยนใจได้ เหตุเพราะหากไม่มาเชิญด้วยตนเอง ก็เกรงว่าพวกเขาจะต้องหาทางปฏิเสธเป็นแน่
"เราเพียงต้องการเลี้ยงอาหารตอบแทนพวกท่านสักมื้อเท่านั้น" โจวหยางหมิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงฟังสบายๆ แต่กดดันคนฟังยิ่งนัก
"น้ำพระทัยขององค์ชายกระหม่อมขอรับด้วยใจ แต่กระหม่อมยังมีภารกิจสำคัญไม่อาจรั้งอยู่ต่อได้ ต้องรีบกลับเมืองหลวง โปรดประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งเหวินลุกขึ้นประสานมือกล่าวขออภัยองค์ชายห้า
"อา...ช่างน่าเสียดายยิ่ง แล้วท่านเล่า คงไม่คิดปฏิเสธข้าอีกคนหรอกนะ" โจวหยางหมิ่นหันมาถามบุรุษที่นั่งฝั่งซ้ายของตนด้วยท่าทางสบายๆ ตรงข้ามกับถ้อยคำที่กล่าวออกมาอย่างสิ้นเชิง
"เอ่อ...โปรดประทานอภัย ฮูหยินของกระหม่อมล้มป่วยขาดคนดูแล กระหม่อมจำต้องกลับไปดูแลนางพ่ะย่ะค่ะ" ทูลไปแล้วก็รู้สึกหวาดหวั่นใจยิ่งนัก หากองค์ชายห้ายอมรามือง่ายๆ ไม่คิดติดใจเอาความก็คงดี แต่ถ้าไม่...เขาจะทำเช่นไร
"อา...เช่นนั้นก็ให้บุตรีท่านเป็นตัวแทนท่านและท่านแม่ทัพเถิด ท่านว่าดีหรือไม่"
เหมือนฟ้าผ่ากลางดวงใจมู่หลิ่งเหวิน ชิงหยวนและชิงหลินหันไปมองคนพูดด้วยใบหน้าตื่นตะลึง ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมาไม้นี้ ขนาดปฏิเสธไปตรงๆ แล้วก็ยังไม่คิดรามือ ช่างเป็นองค์ชายที่ดื้อด้านยิ่งนัก
อู่ต้าสงขมวดคิ้วมององค์ชายห้า ความสงสัยก่อเกิดขึ้นในใจ ด้วยคอยอยู่รับใช้ใกล้ชิดมานาน ทำให้พอรู้ว่าองค์ชายห้าไม่ใช่บุรุษดื้อรั้นเอาแต่ใจเช่นนี้ และที่สำคัญ ไม่โปรดอิสตรี ออกจะเกลียดชังเสียด้วยซ้ำ แล้วนี่...จะให้เขาคิดเช่นไร
"ทูลองค์ชาย นางมีคู่หมั้นแล้ว เกรงว่าทรงทำเช่นนั้นดูจะไม่เหมาะไม่ควรพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งเหวินเตือนองค์ชายห้าเสียงเข้มลึก ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องมองอย่างไม่คิดเกรงกลัวอำนาจบารมีของอีกฝ่าย
"นางไปในฐานะแขกคนสำคัญของเรา ไม่ใช่ไปในฐานะอื่น อีกอย่าง เสด็จพ่อก็มีพระประสงค์จะพบนาง หวังว่าท่านแม่ทัพจะเห็นแก่หน้าเราสักครั้ง" โจวหยางหมิ่นค้อมศีรษะลงเล็กน้อย การกระทำขององค์ชายผู้สูงศักดิ์ทำให้ทั้งสามต้องรีบคุกเข่าพร้อมทั้งส่งเสียงห้ามปราม
ฝ่ายอู่ต้าสงไม่พอใจนักที่เห็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์ว่าที่องค์รัชทายาทแคว้นโจว และอาจจะเป็นฮ่องเต้ในอนาคต ก้มศีรษะให้ชนชั้นต่ำศักดิ์กว่า ซ้ำยังเป็นคนต่างแคว้น หากบุคคลภายนอกรู้ก็อาจจะตำหนิพระองค์ได้
"พวกท่านเห็นแก่องค์ชายสักครั้งจะได้หรือไม่ ข้าขอรับรองความปลอดภัยและชื่อเสียงของนางด้วยชีวิต" อู่ต้าสงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะบัดเล็กน้อย แต่จำต้องช่วยพูดโน้มน้าวใจอีกฝ่าย และเพื่อให้พวกเขาสบายใจจึงใช้เกียรติของตนเป็นสิ่งรับรอง
"ว่าอย่างไรหลินเอ๋อร์ พ่อให้สิทธิ์เจ้าตัดสินใจเต็มที่" ชิงหยวนเอ่ยถามบุตรีที่นั่งอยู่ข้างๆ
"ลูก..." ชิงหลินมองหน้าบิดาแล้วจึงหันไปมองคู่หมั้นที่นั่งตรงข้าม ก็เห็นเขาส่ายหน้าเล็กน้อย ดวงตาคมทรงเสน่ห์มองสบนางนิ่ง แต่สื่อออกมาอย่างชัดเจนว่าอย่าไป หากปฏิเสธเห็นทีคงมีเรื่องปวดหัวตามมาภายหลังเป็นแน่ อีกอย่าง องค์ชายห้าก็รับปากว่าจะต้อนรับขับสู้อย่างดี คงไม่ต้องห่วงอะไรกระมัง คิดพลางทอดถอนใจด้วยความหนักใจแล้วกล่าว
"หม่อมฉันยินดีไปเยือนวังอู่อ๋องตามคำเชิญขององค์ชายเพคะ"
ถ้อยคำของคู่หมั้นสาวทำให้มู่หลิ่งแหวินมีโทสะ อยากจะจับนางมาฟาดให้หนำใจ แต่อยู่เบื้องหน้าบุรุษผู้สูงศักดิ์กว่าไม่อาจกระทำการเสียมารมาทได้ แม่ทัพหนุ่มจึงได้แต่คาดโทษนางไว้ รอให้จบเรื่องตรงหน้าก่อน
"อา...ข้ารับรองว่าเจ้าต้องชอบวังอู่อ๋องของข้าอย่างแน่นอน ฮ่าๆๆ" โจวหยางหมิ่นหัวเราะเสียงดัง พอใจยิ่งนักที่จุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ลุล่วงด้วยดี
'อา...ดียิ่งนัก ไม่แน่ข้าอาจจะได้รู้ความลับที่นางปิดบังซ่อนเร้นไว้ก็เป็นได้!'
หลังจากพูดคุยปรึกษาหารือกันเป็นที่เรียบร้อย จึงได้แยกย้ายกันไปยังห้องพักของตน โจวหยางหมิ่นพักอยู่ที่นี่ตามคำเชิญของชิงหยวน เรือนรับรองที่ถูกสร้างขึ้นอยู่ห่างจากเรือนที่ชิงหยวนและคนอื่นๆ พักราวหนึ่งลี้
ล่วงเข้ายามอิ่วในห้องพักของชิงหลิน ชิงหยวนและมู่หลิ่งเหวินนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะกลมในห้อง มีหน่วยองครักษ์นายหนึ่งที่ร่วมเดินทางไปแคว้นโจวยืนอยู่ในห้องเพื่อรายงานการเดินทาง
"วังขององค์ชายห้าอยู่นอกเขตเมืองหลวง ซ้ำยังอยู่บนเขาสูง มีพื้นที่ครอบคลุมภูเขาทั้งลูกขอรับ" ตัวแทนหน่วยองครักษ์สกุลมู่รายงานท่านแม่ทัพ
"แล้วสถานการณ์โดยรวมเป็นเช่นไร" สิ่งที่แม่ทัพหนุ่มอยากรู้คือ มีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใดมากกว่า
"สงบเรียบร้อย ไม่ค่อยมีเหตุการณ์ปล้นชิงวิ่งราวให้เห็นสักเท่าใดขอรับ"
"สรุปเป็นเมืองที่สงบและปลอดภัย?" เขาเลิกคิ้วถาม ในใจรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาหนึ่งส่วน
"ขอรับ"
"มีสิ่งใดจะพูด จงพูดออกมาให้หมด" แม่ทัพหนุ่มสั่งเสียงเข้ม หงุดหงิดกับท่าทางอึกอักหันรีหันขวางของอีกฝ่าย
"ให้ข้าออกไปก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ" ชิงหลินถามคู่หมั้นเมื่อเห็นสายตาคล้ายไม่ไว้ใจของหน่วยองครักษ์
"ไม่ต้อง ข้าไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังเจ้า" เขาหันไปส่งยิ้มหวานให้นาง น้ำเสียงก็นุ่มนวลขึ้นจนหน่วยองครักษ์อึ้งไป 'อา...นี่ใช่แม่ทัพไร้พ่ายผู้มีชื่อเสียงเรื่องความเด็ดขาดและเย็นชาผู้นั้นจริงหรือ'
"ว่าต่อสิ" หันไปสั่งเสียงเข้มเช่นเดิม ใบหน้าที่แย้มยิ้มเมื่อครู่หายวับไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ทำเอาตัวแทนหน่วยองครักษ์รับมือแทบไม่ทันกับความแปรปรวนของท่านแม่ทัพ
"ข้าได้ข่าวแปลกๆ เรื่องหนึ่งขอรับ" ประโยคที่กล่าวออกมาเบาลงจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ
"แปลกอย่างไร" ชิงหยวนเอ่ยถามขึ้นบ้างหลังจากที่นั่งฟังอยู่นาน
"โจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้มีรับสั่งให้โอรสของพระองค์ตามหาสิ่งของหายากและศักดิ์สิทธิ์มาคนละหนึ่งชิ้น โดยมีตำแหน่งองค์รัชทายาทเป็นรางวัลขอรับ" เขาสูดลมหายใจเข้าแรงๆ ก่อนจะรายงานต่อ
"ซึ่งผู้ที่ทำภารกิจสำเร็จเป็นองค์แรกก็คือ..."
"องค์ชายห้าโจวหยางหมิ่น?" แม่ทัพหนุ่มกล่าวต่อคำพูดของหน่วยองครักษ์สกุลมู่
เขาพยักหน้ารับก่อนจะกล่าวรายงานเสริม "ถูกต้องขอรับ ดังนั้นยามนี้องค์ชายห้าก็คือว่าที่องค์รัชทายาทที่รอการแต่งตั้งจากองค์ฮ่องเต้อย่างเป็นทางการเท่านั้น"
"อา...หากหลินเอ๋อร์เดินทางไปแคว้นโจวยามนี้ ไม่เป็นการเสี่ยงอันตรายเกินไปหรือ" ชิงหยวนถามแม่ทัพหนุ่ม คิ้วดาบขมวดมุ่นเป็นปม รู้สึกว้าวุ่นใจจนอยากจะไปขอยกเลิกการเดินทางครั้งนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด
แม่ทัพหนุ่มเข้าใจความกลุ้มใจเป็นห่วงเป็นใยของอีกฝ่ายที่มีต่อบุตรีดี เพราะเขาก็รู้สึกห่วงใยนางไม่แพ้อีกฝ่ายเช่นกัน หากทำได้ก็อยากจะไปกับนางด้วย แต่เพราะได้ลั่นวาจาไปแล้วจึงไม่อาจกลับคำได้ ได้แต่นึกเสียใจที่ใจร้อนและวู่วามไปหน่อย ไม่เช่นนั้นคงตามไปคุ้มครองนางด้วยตนเองได้
"ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้ามีองครักษ์แสนเก่งกาจอยู่ตั้งสามคน...เอ๊ย สามตัวตามไปด้วย" ชิงหลินกล่าวพลางชี้ไปทางสามสหายน้อยที่นั่งสองขาหน้ากระดานเรียงหนึ่ง พร้อมกับเงยหัวขึ้นมองอย่างสนใจใคร่รู้
"เฮ้อ หลินเอ๋อร์ เจ้านี่..." ชิงหยวนถอนใจพร้อมกับส่งสายตาตำหนิไปให้
"ข้าจะให้จิ๋นซานจิ๋นซื่อติดตามนางไปด้วยขอรับ ท่านลุงเห็นเป็นเช่นใด" แม่ทัพหนุ่มเสนอความเห็น
"อืม ขอบใจเจ้ามากหลานชาย ลุงเองก็จะให้เฟิ่งอิงติดตามนางไปด้วย จะได้ช่วยกันคุ้มครองนางให้กลับมาอย่างปลอดภัย" ชิงหยวนพยักหน้าพอใจเมื่อเห็นแม่ทัพหนุ่มยอมเสียสละองครักษ์ฝีมือดีเทียบเท่าหรืออาจจะมากกว่าองครักษ์วังหลวงไปคุ้มครองบุตรี
หญิงสาวมองหน้าบุรุษต่างวัยสลับกันไปมา เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี แต่ในใจรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขยิ่งนัก
"เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว" แม่ทัพหนุ่มหันไปสั่งหน่วยองครักษ์ของตน
"ขอรับ" เขาประสานมือเคารพ ถอยหลังสองก้าวแล้วหมุนกายเดินออกไปด้วยท่าทางเข้มแข็งสมเป็นหน่วยองครักษ์ที่ถูกผ่านการฝึกมาอย่างโชกโชน ยามนี้จึงเหลือเพียงสามคนกับสามตัว ส่วนเฟิ่งอิง จิ๋นซาน และจิ๋นซื่อรั้งอยู่หน้าประตูนิ่งราวกับรูปปั้น
"หลินหลิน จะไปไหนหรือ" เจ้าพยัคฆ์น้อยร้องถามหลินหลินของมัน
"ไปเที่ยววังองค์ชายห้าที่แคว้นโจว" นางลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าสามสหายน้อย ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ให้พวกมัน
"หมั่นโถวขอไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ" เจ้าจิ้งจอกน้อยตัวน้องร้องถามเบาๆ ด้วยเกรงว่าหลินหลินอาจจะไม่พอใจกับคำขอที่เอาแต่ใจนี้ของตัวเอง
"ใจคอพวกเจ้าจะปล่อยให้ข้าไปคนเดียวหรือ" ชิงหลินแกล้งย้อนถาม ซ้ำยังทำหน้าเศร้า
"หมายความว่า...หลินหลินยอมให้พวกเราไปด้วย ใช่หรือไม่ขอรับ" เป่าเปาน้อยถามเพื่อความแน่ใจ ลุกขึ้นยืนกระดิกหางไปมาอย่างดีใจ
"เจ้าบ้า หลินหลินจะกล้าทอดทิ้งพวกเราได้อย่างไรเล่า" เจ้าพยัคฆ์น้อยหันไปบอกเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวพี่ที่อยู่ข้างๆ
"ฟานฟาน เจ้าพูดไม่เพราะเลย" ชิงหลินใช้นิ้วเคาะหัวกลมๆ เล็กๆ ของเจ้าพยัคฆ์น้อยพร้อมกับส่งสายตำหนิ
ชิงหยวนกับแม่ทัพหนุ่มมองภาพนางอันเป็นที่รักหยอกล้อกับเจ้าสามตัวจอมป่วนอย่างมีความสุขด้วยสายตารักใคร่เอ็นดู ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องในอีกสองวันข้างหน้า
ยามเฉินสองวันต่อมา ซึ่งเป็นวันเดินทางไปแคว้นโจวของชิงหลินพร้อมสามสหายน้อย เฟิ่งอิง หัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำ จิ๋นซานและจิ๋นซื่อ สององครักษ์ฝีมือดีของสกุลมู่ และยังมีหน่วยพยัคฆ์ดำติดตามไปด้วยอีกสิบคน รวมทั้งสิ้นสิบสี่คนกับอีกสามตัว
และแล้วการเดินทางไปแคว้นโจวอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธได้ ภายใต้การนำของโจวหยางหมิ่นก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยมีมู่หลิ่งเหวิน ชิงหยวน หน่วยพยัคฆ์ดำของสกุลชิง หน่วยองครักษ์สกุลมู่ ตลอดจนบ่าวไพร่มายืนรอส่งเสด็จกันอย่างพร้อมเพรียง