-25-
ยามเซิน ณ เรือนดาวดึงส์
"หลินเอ๋อร์ แม่เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง" น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความห่วงใยทำให้ชิงหลินที่เพิ่งออกมาจากห้องนอนของมารดายิ้มออกมาด้วยความดีใจ
"อา...หลินเอ๋อร์คารวะท่านป้า" ยังไม่ทันที่เธอจะยอบกายคำนับ มู่ฮูหยินก็ดึงสองมือของนางไปกุมไว้แล้วบีบเบาๆ
"พี่หลินเอ๋อร์ ข้าก็มาด้วยขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงเดินยิ้มตรงเข้ามาหาว่าที่พี่สะใภ้
"น้องเฟิงเอ๋อร์" ชิงหลินหันมาส่งยิ้มให้เด็กน้อย
"เจ้ามองหาอันใดหรือเฟิงเอ๋อร์" มู่ฮูหยินเอ่ยถามบุตรคนเล็กด้วยความสงสัย
"เอ่อ..ท่านแม่ ข้ากำลังมองหาเจ้าพยัคฆ์น้อยขอรับ" เด็กน้อยหันไปตอบมารดาแล้วหันมาถามว่าที่พี่สะใภ้
"พี่หลินเอ๋อร์ เจ้าฟานฟานน้อยอยู่ที่ใดหรือขอรับ"
"เอ...เมื่อครู่ยังเห็นเดินไปเดินมาแถวนี้ ไปไหนแล้วนะ" นางช่วยมองหาอีกแรง
"แง้วๆ ฮื่อออ แง้วๆ" เสียงร้องสลับกับเสียงขู่คล้ายเสียงแมวของเจ้าพยัคฆ์ เรียกความสนใจของทั้งสามได้เป็นอย่างดี
"ปล่อยข้า ฮึ่ม! ปล่อยข้านะ" นี่คือเสียงที่ชิงหลินได้ยิน
ภาพแม่ทัพหนุ่มใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับดึงหนังคอด้านหลังของเจ้าพยัคฆ์น้อยจนมันห้อยต่องแต่งเดินเข้ามาอย่างใจเย็น ผิดกับเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ดิ้นไปดิ้นมา สี่เท้าตะกุยตะกายอากาศไปมาเพื่อให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของเจ้าร่างยักษ์ มันทั้งโมโหทั้งเจ็บใจและอับอายที่ถูกจับได้ทั้งที่คิดว่าซ่อนตัวได้มิดชิดแล้วเชียว
เหตุเพราะรำคาญเจ้าเด็กน้อยที่ตามตอแย มันจึงหลบไปซ่อนตัวก่อนที่เด็กน้อยจะเข้ามา ขณะที่มันกำลังสบายใจกับความสำเร็จ จู่ๆ ก็ถูกเจ้าร่างยักษ์ที่โผล่มาจากที่ใดไม่รู้พบตัวและหิ้วมันราวกับมันเป็นสิ่งของ มันน่าแค้นใจนัก!
"เห็นมันนอนหลับอยู่ในพุ่มไม้ตรงโน้น" มู่หลิ่งเหวินกล่าวยิ้มๆ พลางส่งเจ้าพยัคฆ์น้อยให้คู่หมั้นที่ยังยืนอยู่กับมารดาของตน
"หลินหลิน จัดการ...จัดการ นิสัย...ไม่ดี แกล้งฟานฟาน แกล้งฟานฟาน" เจ้าพยัคฆ์น้อยฟ้องนางทันทีที่เข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ดวงตากลมเล็กสีเทามีน้ำใสๆ ปริ่มพร้อมจะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ
"โอ๋ๆ ได้ๆ แล้วข้าจะจัดการให้" ชิงหลินสื่อสารกับมันทางจิต จุมพิตที่หัวมันเบาๆ เพื่อปลอบขวัญ สร้างความพอใจให้มันยิ่งนัก
มันเงยหัวกลมๆ เล็กๆ ขึ้นมองหน้าเจ้าร่างยักษ์ที่ยืนกอดอกมองตรงหน้าด้วยความสะใจและเย้ยหยัน
'เจ้าสัตว์หน้าขนจอมมารยาเอ๊ย!' แม่ทัพหนุ่มสบถในใจ พลางหรี่ตามองการกระทำของคู่หมั้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก อยากจะว่ากล่าวตักเตือนไม่ให้ทำเช่นนี้ต่อหน้าบุรุษอื่น แต่พอเห็นแววตาเยาะเย้ยจากเจ้าพยัคฆ์น้อยตัวอ้วนเลยเปลี่ยนความคิด แสร้งทำเมินเฉยไม่รู้สึกอันใดกับเรื่องเมื่อครู่ จึงได้เห็นเจ้าพยัคฆ์น้อยทำเสียงฟืดฟาดคล้ายไม่พอใจ ก็รู้สึกสุขใจนัก
"พี่หลินเอ๋อร์ ข้าขออุ้มฟานฟานน้อยได้หรือไม่ขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงขออนุญาตดวงตาคู่งามเปล่งประกายสุกใสราวกับอัญมณี
"ว่าอย่างไร ฟานฟาน จะยอมเป็นเพื่อนเล่นให้หน่อยได้ไหม" ชิงหลินส่งกระแสจิตถาม
"ก็ได้ เพราะหลินหลิน ฟานฟาน...จะยอม...เล่นด้วย" เจ้าพยัคฆ์น้อยทำทีประหนึ่งว่าช่วยไม่ได้ จะยอมเล่นด้วยก็แล้วกัน สร้างความขบขันให้แก่นางยิ่งนักจนอดยิ้มไม่ได้
"ขอบคุณขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงรับเจ้าพยัคฆ์น้อยจากว่าที่พี่สะใภ้ แล้วหมุนตัวออกไปด้านนอกเรือนทันที
"ท่านป้า พี่เหวิน เชิญนั่งก่อนเจ้าค่ะ"
"อา...แม่เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง" มู่ฮูหยินถามนางอีกครั้งเมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว โดยมีบุตรคนโตนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ
"ท่านแม่ทุกข์ใจเรื่องท่านพ่อจึงล้มป่วยเจ้าค่ะ" ชิงหลินตอบเสียงเศร้า
"นั่นสิ สามีหายไป ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร ผู้เป็นภรรยาก็ย่อมทุกข์ใจกลุ้มใจเป็นเรื่องธรรมดา เฮ้อ" มู่ฮูหยินกล่าวขึ้นอย่างเห็นใจ
"เจ้าคิดจะไปหุบเขากินคนใช่หรือไม่" มู่หลิ่งเหวินถาม ดวงตาคมทรงเสน่ห์จับจ้องที่ใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างคาดคั้น
"หรือท่านมีหนทางอื่น" ชิงหลินย้อนถามพร้อมกับสบตาเขาแน่วแน่
"พี่รู้แล้ว ขอเวลาสองวัน แล้วค่อยออกเดินทางพร้อมกัน" เขาวางถ้วยชาลง กล่าวกับคู่หมั้นเสียงอ่อนลงระดับหนึ่ง
"เรื่องต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทในวันคล้ายวันพระราชสมภพกับถวายรูปตำหนักขององค์รัชทายาทใช่หรือไม่เจ้าคะ"
"ใช่ มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย จึงต้องใช้เวลาหน่อย" ร่างสูงชี้แจงให้นางเข้าใจ
"ส่วนเรื่องแม่เจ้า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของป้า ป้าจะดูแลแม่เจ้าเอง" มู่ฮูหยินรับปากอย่างแข็งขัน ความช่วยเหลือที่ได้รับจากคู่หมั้นและมารดาทำให้ชิงหลินตื้นตันและซาบซึ้งใจยิ่งนัก
"ขอบคุณท่านป้า ขอบคุณ...เอ่อ...พี่เหวิน"
มู่ฮูหยินยิ้มเอ็นดูเมื่อเห็นอาการเขินอายของว่าที่สะใภ้ใหญ่ ก่อนจะชำเลืองมองบุตรคนโตก็ถึงกับอึ้ง
'อา...สวรรค์! นี่มัน...ใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังตกหลุมรักไม่ผิดแน่ เมื่อก่อนสามีของนางก็มองนางเช่นนี้'
มู่หลิ่งเหวินที่กำลังมีความสุขกับคำขอบคุณของคู่หมั้น เหตุเพราะน้อยครั้งนักที่จะได้ยินนางกล่าวขอบคุณและรับความช่วยเหลือจากตน โดยไม่คิดปฏิเสธก่อนเช่นทุกครั้ง พลันสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาของมารดาที่นั่งอยู่ข้างๆ จึงหันไปมอง ก่อนจะหลุบตาลงด้วยความกระดากอายที่ถูกมารดาจับได้ ใบหูสองข้างของเขาขึ้นสีจางๆ
"ใกล้สำเร็จแล้ว พยายามเข้า" มู่ฮูหยินกล่าวขึ้นลอยๆ แต่กลับสะกิดใจมู่หลิ่งเหวินอย่างจัง จนต้องหันมามองมารดาด้วยความสงสัย เมื่อเห็นมารดาพยักหน้ายิ้มให้ ดวงตาคมทรงเสน่ห์ก็กระตุกอย่างเข้าใจความหมาย ชิงหลินมีใจให้ตนแล้ว ไม่ผิดแน่! ปล่อยให้ร่างบางที่ไม่รู้ความนัยนั่งมองทั้งสองอย่างโง่งม
"เอาละ เจ้าอยู่คุยกับน้องไปก่อนนะ แม่จะขอเข้าไปดูป้าเจ้าหน่อย" มู่ฮูหยินลุกขึ้นกล่าวกับบุตรคนโตพร้อมกับเรียกบ่าวไพร่ให้ตามไปด้วย
"ขอรับท่านแม่" แม่ทัพหนุ่มยิ้มให้มารดาที่รู้ใจ เปิดโอกาสให้ตนได้อยู่เพียงลำพังกับนาง
"ท่านยิ้มอะไรเจ้าคะ" ชิงหลินถามเมื่อเห็นเขาเอาแต่จ้องหน้าแล้วก็ยิ้มไม่พูดอะไร
"ยิ้ม? พี่ยิ้มหรือ" ร่างสูงเย้านางกลับโดยที่รอยยิ้มยังประดับอยู่บนใบหน้า
"มามุกเดิมอีกแล้ว ไม่เบื่อบ้างหรือเจ้าคะ" นางทำเสียงขึ้นจมูก เพราะเคยผ่านประสบการณ์กวนประสาทเช่นนี้มาแล้ว
"มุก? เจ้าหมายถึงไข่มุกหรือ" มู่หลิ่งเหวินถามกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
"อุ๊บ!" ชิงหลินที่ทีแรกทำท่างงๆ พอเข้าใจก็รีบยกมือขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นหัวเราะ แต่พอเห็นใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนดูจริงจังบวกกับคำถามเมื่อครู่ ก็ทำให้นางกลั้นไม่อยู่ หัวเราะออกมาเสียงดัง "ฮ่าๆๆ" โดยมีสายตาหงุดหงิดระคนไม่พอใจของคู่หมั้นมองอยู่
"อะแฮ่ม ขออภัยเจ้าค่ะ" ชิงหลินกระแอมกลบเกลื่อน เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาทว่าบูดบึ้งจ้องมาเขม็ง เล่นเอาเหงื่อแตกกันเลยทีเดียว
"เจ้าขบขันอันใดหรือ" ร่างสูงเดินมานั่งข้างนางแล้วค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้กระซิบถามเสียงเข้มต่ำ ดวงตาคมทรงเสน่ห์หรี่มองอย่างกดดันแฝงความคุกคามอยู่ในที
"เอ่อ..." ชิงหลินพูดไม่ออก เอนตัวหนีไปข้างหลังจนหลังชนพนักเก้าอี้ ใบหน้าจิ้มลิ้มซีดเผือดก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อและก็เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใบหน้าหล่อเหลาอยู่ใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดใบหน้า ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอขึ้นเล็กน้อย ดวงตากลมโตถูกตรึงไว้ด้วยดวงตาคมทรงเสน่ห์ ส่งผลให้ใจดวงน้อยเต้นแรง
ฝ่ายมู่หลิ่งเหวินที่คราวแรกตั้งใจจะเย้านางเล่น พอเอาเข้าจริงกลับไม่อาจหักห้ามใจตนเอง กลิ่นกายที่หอมกรุ่น ดวงตากลมโตที่เปล่งประกายสุกใสราวกับดวงดาราส่องสว่างยามค่ำคืน ที่สุดเห็นจะเป็นริมฝีปากอวบอิ่มสีกุหลาบนุ่มนิ่มและหอมหวานยิ่งกว่าความหวานใดๆ ที่เคยได้ลิ้มลอง ซ้ำยังอยู่ตรงหน้า…
"พี่ใหญ่ พี่หลินเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว"
เสียงร้องของเด็กน้อยเรียกสติชิงหลินให้กลับมา สองมือผลักเขาออกแล้วเดินไปหาเจ้าพยัคฆ์น้อยที่วิ่งหน้าตั้งนำเด็กน้อยเข้ามา ราวกับรู้ล่วงหน้าว่ากำลังเกิดเรื่องกับหลินหลินของมัน โดยมีสายตากดดันคู่หนึ่งตวัดมองมาอย่างไม่สบอารมณ์ที่ถูกขัดจังหวะ
'ย่าเจ้าสิ! อีกนิดเดียวแท้ๆ' แม่ทัพหนุ่มสบถในใจ
ฝ่ายชิงหลิน หลังจากรอดมาได้แบบเฉียดฉิวก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ทั้งที่ใบหน้ายังคงแดงก่ำ หัวใจเต้นแรง...แรงจนเจ้าพยัคฆ์น้อยที่อยู่ในอ้อมกอดรู้สึกได้ มันจึงเงยหัวกลมๆ เล็กๆ ขึ้นมองหลินหลินแล้วหันไปส่งเสียงขู่เจ้าร่างยักษ์ที่ทำให้หลินหลินเป็นเช่นนี้
แต่ไหนเลยที่แม่ทัพใหญ่ผู้สังหารศัตรูมานับไม่ถ้วนเช่นเขาจะกลัว ต่างก็เหยียดยิ้มพร้อมกับส่งสายตาท้าทายกลับไปอย่างไม่มีใครยอมใคร โดยมีมู่หลิ่งเฟิงมองดูอยู่ตลอดด้วยความขบขัน
สองพี่น้องอยู่กินอาหารเย็นที่คฤหาสน์สกุลชิง จากนั้นมู่หลิ่งเหวินก็ขอตัวไปทำธุระบางอย่าง ยามนี้จึงเหลือเพียงสามสตรีหนึ่งเด็กน้อยและหนึ่งเจ้าพยัคฆ์น้อย ทั้งหมดย้ายมานั่งสนทนากันที่เก๋งริมสระบัวแทนเพราะอากาศเย็นสบาย ช่วยให้ผ่อนคลายความตึงเครียดลงได้อย่างน้อยหนึ่งส่วน ราวหนึ่งชั่วยามจึงพากันกลับที่พัก
มู่ฮูหยินกับบุตรชายคนเล็กพักอยู่ที่ห้องรับรองแขกในเรือนดาวดึงส์ ส่วนชิงหลินจำใจกลับไปนอนที่เรือนหยกฟ้าเพราะมารดาบอกว่านางไม่ได้ป่วย ไม่จำเป็นต้องมานอนเฝ้า อีกทั้งแม่นมฝูก็คอยทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว
"หลินหลิน กลุ้มใจ? ท่านพ่อ...บายดี อย่าห่วง อย่าห่วง" เจ้าพยัคฆ์น้อยที่นอนเกยคางบนท่อนแขนนุ่มนิ่มของนางเช่นทุกวันร้องบอก เมื่อเห็นนางเอาแต่นอนถอนใจมิหยุดหย่อน
"หือ? เมื่อครู่เจ้าบอกว่าท่านพ่อสบายดีใช่หรือไม่" ร่างเล็กผุดลุกขึ้นนั่งพิงพนักหัวเตียง อุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยมาวางบนตัก
"อืมอืม ท่านพ่อ...บายดี" มันผงกหัวย้ำคำพูดของตัวเอง
"แล้วคนอื่นๆ เล่า ครั้งก่อนเจ้ายังพูดว่าท่านพ่อและทุกคนสบายดี แล้วทำไมวันนี้..."
"ไม่รู้ ฟานฟาน...ไม่รู้ พลังชีวิต...หายไป สามคนแล้ว" เจ้าพยัคฆ์น้อยร้องบอกนาง
"สามคน? หายไปวันละคนหรือ"
"อืมอืม หายไป วันละคน วันละคน"
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่" ชิงหลินรู้สึกใจหายและกังวลมากยิ่งขึ้น ก่อนจะถามแบบเดาสุ่ม "ในหุบเขานั่นมีตัวอันตรายมากกว่าสัตว์ร้ายหรือ"
"อืมอืม ปีศาจ อันตราย...อันตราย" ด้วยเจ้าพยัคฆ์น้อยยังเล็กนัก พอใช้พลังมากๆ มันจึงหมดแรงผล็อยหลับไปกลางอากาศ ทำให้ชิงหลินตกใจแทบสิ้นสติ คิดว่ามันเป็นอันตราย
"ปีศาจหรือ แล้วมันเป็นปีศาจแบบไหนกัน โธ่ แล้วเราจะเอาอะไรไปสู้กับปีศาจได้เล่า" มือเรียวทึ้งผมตัวเองจนผมเผ้ายุ่งเหยิง
"หึๆ ไม่คิดมาก่อนว่าเจ้าจะชอบคุยกับตัวเอง"
เสียงทุ้มแฝงความขบขันทำให้คนที่กำลังทึ้งหัวตัวเองชะงัก เงยหน้าไปที่หน้าต่างอ้าปากค้างเมื่อเห็นใบหน้าเจ้าของเสียง
"อืม ยังชอบนอนเปิดหน้าต่างเช่นเดิมไม่เปลี่ยน" เจ้าของเสียงใช้วิชาตัวเบากระโดดเข้ามาข้างใน เดินไปนั่งข้างๆ เตียงของหญิงสาว
"ทะ...ท่านเข้ามาทำไมเจ้าคะ" ชิงหลินชี้นิ้วใส่เขา ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำ ไม่ใช่เพราะความอายแต่เป็นเพราะนางกำลังโกรธ
"จุ๊ๆๆ เบาหน่อย" มู่หลิ่งเหวินใช้ฝ่ามือปิดปากอวบอิ่มได้ทันท่วงที ก่อนที่นางจะได้ตะโกนปลุกสาวใช้ที่นอนอยู่ในห้องข้างๆ
"อื้ออื้อ อ้านอะอำอะไอ อ่อยอ้าอ้ะ (ท่านจะทำอะไร ปล่อยข้านะ)" ร้องประท้วงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ พร้อมกับถลึงตาใส่เขา สองมือเรียวขาวพยายามแกะงัดมือเหล็กของเขาออก
"ถ้าเจ้าสัญญาว่าจะหยุดดิ้น ไม่ร้องโวยวาย พี่จะปล่อยเจ้า" เขากระซิบขู่ข้างหู
"อื้อๆ" ชิงหลินรีบผงกศีรษะสองครั้ง ยอมรับข้อเสนออย่างไม่มีทางเลือก
"แน่ใจ? หากเจ้าผิดสัญญา พี่จะลงโทษเจ้าให้หนักเชียว"
คำขู่ที่เน้นหนักทุกคำของเขาทำเอาคนถูกขู่เสียวสันหลังวาบ ร่างกายเกร็งกระตุกขึ้น รีบผงกศีรษะขึ้นลงถี่ๆ พลางส่งเสียงอื้อๆ ไม่หยุด
"หึๆ ดี" มู่หลิ่งเหวินพอใจในคำตอบ พร้อมกับดึงมือออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มด้วยความเสียดาย
"ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนเถิด" นางสะบัดหน้าหนีไปทางหน้าต่าง ทำปากขมุบขมิบต่อว่าเขา ลืมไปว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของคนที่มีวรยุทธ์จะดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป มู่หลิ่งเหวินจึงได้ยินถ้อยคำขู่ของนางได้อย่างชัดเจน
"หึๆ แล้วพี่จะรอ"
ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะได้ยิน
"แล้วเจ้าพยัคฆ์น้อยเป็นอันใด ป่วยหรือ" เขาเปลี่ยนเรื่อง หันมาสนใจเจ้าพยัคฆ์น้อยที่หลับสนิทผิดธรรมดา คล้ายคนกินยานอนหลับหรือไม่ก็ถูกยาสลบมากกว่า
"เอ่อ...คงใช้พลังจิตมากไปเจ้าค่ะ" หญิงสาวตอบเสียงอ่อน มือเรียวลูบหลังนุ่มนิ่มที่ปกคลุมด้วยขนสีขาวคาดดำอย่างเบามือ ดวงตากลมโตทอดมองร่างเล็กอวบอ้วนด้วยความเอ็นดูแล้วชะงัก ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้จึงเงยหน้ามองเขา
"ท่านยังไม่ได้ตอบข้าเลย ท่านมาหาข้าด้วยเหตุใดเจ้าคะ"
"พี่จะพาเจ้าไปยังที่แห่งหนึ่งตามที่สัญญาไว้" มู่หลิ่งเหวินยิ้มตอบ ดวงตาคมทรงเสน่ห์จับจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มของนางนิ่ง
"แต่มันดึกแล้ว ไว้พรุ่งนี้เถิดเจ้าค่ะ" ชิงหลินปฏิเสธทันควัน
"พี่ไม่ได้มาฟังเจ้าปฏิเสธ" แม่ทัพหนุ่มกล่าวเสียงเย็น ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หยิบเสื้อคลุมสีท้องฟ้าที่พาดอยู่ตรงปลายเตียงมาส่งให้คู่หมั้น
ร่างเล็กปรายตามองเสื้อคลุมที่เขายื่นให้แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไม่ยอมทำตามที่เขาบอก เพราะไม่ชอบใจกับคำพูดที่เอาแต่ใจของเขา
'คนเขาไม่อยากไปแล้วยังจะมาบังคับอีก เอาแต่ใจเกินไปแล้ว' นางแอบว่าในใจ
"แม้ว่าสถานที่นั้นจะงดงามราวกับแดนสวรรค์ เจ้าก็ไม่สนใจหรือ" คำว่า 'งดงามราวกับแดนสวรรค์' ทำเอาชิงหลินหู่ผึ่ง ดวงตากลมโตเปล่งประกายตื่นเต้น แต่ก็ยังทำเป็นไม่สนใจ
"อา...น่าเสียดาย คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงเสียด้วย" ร่างสูงพูดพลางหลุบตามองคู่หมั้นที่มองเมินไปทางอื่น แต่เห็นได้ชัดว่านางเริ่มมีท่าทีสนใจไม่น้อย
ชิงหลินยังคงนิ่ง แต่มือเริ่มอยู่ไม่สุข ใช่ นางอยากไปที่นั่นใจจะขาด อยากเห็นว่าจะเป็นจริงอย่างที่เขากล่าวอ้างหรือไม่ หากเป็นจริง นางก็อยากจะเขียนรูปเก็บไว้สักรูป เพียงแต่..ไม่อยากให้เขามองว่าเป็นคนหัวอ่อน เชื่อคนง่าย ใครพูดอะไรนิดอะไรหน่อยก็หลงเชื่อแล้ว โดยเฉพาะผู้ชายที่เอาแต่ใจอย่างเขา
"จะได้เห็นหิ่งห้อยนับพันนับหมื่นบินออกมาอวดโฉมแข่งกับพระจันทร์ อา...น่าเสียดายที่เจ้ายอมพลาดความงดงามที่มีเพียงปีละครั้งนี้" เขากระตุ้นนางด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเสียดายแทนนาง
'อะไรนะ หิ่งห้อยนับพันนับหมื่นตัว? มีเพียงปีละครั้ง? งดงามราวกับแดนสวรรค์ อยากเห็นๆ' คนฟังร่ำร้องในใจ
"เช่นนั้นพี่คงต้องไปคนเดียว" แม่ทัพหนุ่มวางเสื้อคลุมลงบนเตียงข้างตัวนาง ทำทีเดินไปที่หน้าต่างบานเดิมช้าๆ
"ช้าก่อน"
ร่างสูงกระตุกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อถูกเรียกให้หยุด ก่อนจะหมุนกายกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย
"เอ่อ...ข้าขอไปด้วยเจ้าค่ะ" ชิงหลินรีบสวมเสื้อคลุมแบบลวกๆ ผมเผ้าปล่อยสยายเต็มแผ่นหลังอย่างลืมตัว ก่อนจะอุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยขึ้นแนบอก แล้วรีบเดินตรงดิ่งเข้ามายืนเขา ดวงตากลมโตเปล่งประกายตื่นเต้น
คนชวนถึงกับยิ้มกว้างอย่างเอ็นดู เดินไปหยิบผ้าผูกผมสีขาวสะอาดตาที่วางอยู่ในตะกร้าบนโต๊ะกลางห้องกลับมาหานาง แล้วจัดการรวบผมนางผูกมัดด้วยผ้าสีขาวตรงบริเวณท้ายทอยขาวเนียนให้อย่างเบามือ คล้ายเกรงว่านางจะเจ็บ
แม้จะตกใจตอนแรก แต่นางก็ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด เพราะนางกำลังตะลึงจนตัวแข็ง ไม่คิดว่าเขาจะทำเรื่องน่ารักอย่างนี้ได้ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีผู้ชายคนไหนมัดผมให้แบบเขามาก่อน เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ชิงหลินก็รู้สึกอบอุ่นและจั๊กจี้ตรงหัวใจอย่างบอกไม่ถูก ส่งผลให้ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำ มือหนึ่งกอดเจ้าพยัคฆ์ที่หลับสนิท ส่วนอีกมือก็กำกระโปรงแน่น พลางส่งเสียงขอบคุณออกมาแผ่วเบาด้วยความประหม่าและขัดเขิน
"เอ่อ...ขอบคุณเจ้าค่ะ"
"ถ้าเจ้าชอบต่อไปพี่จะทำให้บ่อยๆ ดีหรือไม่" มู่หลิ่งเหวินเชยคางนางขึ้น กระซิบบอกเสียงแหบพร่าจริงจังจนชิงหลินที่ไม่ประสีประสาในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ประหม่าขึ้นไปอีก
"เอ่อ...ไปกันได้หรือยังเจ้าคะ" หญิงสาวหลุบตาลง เลี่ยงไม่ตอบคำถามของเขา
"อา...เช่นนั้นก็ไปกันเถิด" แม้จะแอบผิดหวังเล็กน้อยที่นางไม่ตอบรับคำของตน แต่มู่หลิ่งเหวินก็ไม่คิดถอดใจยอมแพ้
'สักวัน...พี่จะทำให้เจ้ารักพี่ให้จงได้!'
"อุ๊ย! ข้าเดินเองได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องอุ้มข้าหรอก" ชิงหลินที่บัดนี้ถูกเขาช้อนตัวขึ้นแนบอกร้องประท้วงเขาเบาๆ
"เจ้าใช้วิชาตัวเบาได้หรือ" แม่ทัพหนุ่มเลิกคิ้วถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ เมื่อเห็นนางส่ายหน้าจึงเอ่ย "เช่นนั้น...แบบนี้ดีแล้ว" กล่าวจบก็พุ่งทะยานออกไปทางหน้าต่าง ข้ามกำแพงคฤหาสน์สกุลชิงที่สูงราวสิบเมตรได้อย่างง่ายดาย
"ท่านแม่ทัพ" จิ้นอี้เอ่ยเรียกเจ้านายหนุ่ม ชิงหลินเงยหน้าก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำซึ่งเป็นหนึ่งในสององครักษ์สกุลมู่ ที่ช่วงนี้มาคอยคุ้มครองนางและคฤหาสน์สกุลชิงตามคำสั่งของคู่หมั้น ข้างๆ คือเจ้าทาเสว่ที่ยืนสงบนิ่งอยู่
"อืม ขอบใจ เจ้ากลับไปได้แล้ว" ผู้เป็นเจ้านายพยักหน้าให้จิ้นอี้
"ขอรับ" จิ้นอี้พูดจบก็จากไปอย่างรวดเร็วราวกับหายตัวได้
"ต้องขี่ม้าไปหรือเจ้าคะ" ชิงหลินเงยหน้ามาถามเขา
"อืม" ร่างสูงตอบสั้นๆ พร้อมกับดีดตัวขึ้นไปนั่งบนหลังเจ้าทาเสว่
"จับให้ดีล่ะ..ย่าห์!" เขากระซิบเตือนเบาๆ ข้างหูเมื่อเห็นนางนั่งนิ่ง ก่อนจะกระทุ้งสีข้างของเจ้าทาเสว่ให้ออกวิ่งเมื่อเห็นนางโอบกอดตัวเขา
ไม่ถึงชั่วยามทั้งสองก็มาถึงที่หมาย
"หลับตาก่อน" มู่หลิ่งเหวินกระซิบบอก สองแขนแข็งแรงช้อนร่างเล็กบอบบางลงจากหลังเจ้าทาเสว่อย่างนุ่มนวล จับบ่าเล็กกลับหลังหันแล้วก้มลงกระซิบข้างหู
"ลืมตาได้"
ดวงตาคู่งามลืมตาขึ้นช้าๆ แสงสีเขียวนวลดวงเล็กมากมายค่อยๆ สะท้อนความมืดเข้ามายังดวงตากลมโต เมื่อเบิกตากว้างเต็มที่ภาพความงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ก็พลันปรากฏแก่สายตา
ต้นเหมยฮวาต้นใหญ่ขนาดสองคนโอบ ออกดอกสีแดงสดบานสะพรั่งเต็มต้นจนแทบไม่เห็นใบ กลีบดอกบางส่วนปลิดปลิวร่วงลงสู่พื้นตามแรงลมที่พัดผ่าน เพียงเท่านั้นก็อาจจะดูธรรมดาไปหน่อย แต่ที่ช่วยเสริมให้ต้นเหมยฮวาดูงดงามยิ่งขึ้นหลายสิบเท่าก็คือ เจ้าหิ่งห้อยนับพันนับหมื่นตัวที่อยู่โดยรอบต้นเหมยฮวา แสงสีเขียวกะพริบวิบวับตัดกับสีแดงของกลีบดอกเหมยฮวา ราวกับอัญมณีล้ำค่ายากจะละสายตาได้
"งดงามใช่หรือไม่" เขาเอ่ยถามคู่หมั้นที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ
"เจ้าค่ะ งดงามยิ่งนัก ข้าไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน" นางตอบเสียงเบาหวิวด้วยท่าทางเหม่อลอย "เอ๋? แบมือทำไมเจ้าคะ" ก่อนจะถามเมื่อเห็นเขาแบมือมาตรงหน้านาง
"พี่ทำให้เจ้าพอใจขนาดนี้ เจ้าสมควรตกรางวัลให้พี่ไม่ใช่หรือ" แม่ทัพหนุ่มทวงรางวัล
"ข้าไม่ได้ขอร้องให้ท่านทำให้เสียหน่อย แล้วทำไมข้าต้องให้รางวัลท่านด้วยเล่า" หญิงสาวตอบแล้วเดินหนีไปยังต้นเหมยฮวาเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ขืนอยู่ใกล้มีหวังถูกเขาแกล้งอีกแน่ๆ
"ย้อนได้เจ็บนัก ลูกแมวน้อยตัวร้าย" ร่างสูงแค่นเสียงลอดไรฟันไม่อาจโต้แย้งคำพูดของนางได้ จำใจต้องปล่อยนางไปก่อน
ฝ่ายคนที่เดินหนีมาเหลือบมองเขาแล้วอมยิ้มสะใจเล็กน้อยที่เอาคืนเขาได้ นางนั่งลงใต้ต้นเหมยฮวา พิงหลังกับลำต้น วางเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ยังคงหลับสนิทไว้บนตัก เหยียดขาทั้งสองไปกับพื้นพรมสีแดงของดอกเหมยฮวา พลางหลับตาลงสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ฟุ้งกระจายไปในอากาศ สายลมพัดเอื่อยเฉื่อยทำให้นางรู้สึกง่วงขึ้นมาเสียแล้ว
ทางด้านมู่หลิ่งเหวินเดินมาแล้วก็ย่อตัวลงด้านข้างคู่หมั้น ใช้มือโบกขึ้นลงสองสามครั้งผ่านใบหน้าจิ้มลิ้มที่ดวงตาปิดสนิท ก่อนจะส่ายหน้ามองนางอย่างเอ็นดูระคนเหนื่อยใจ "เฮ้อ พี่ละหนักใจกับเจ้าจริงๆ" กล่าวแล้วก็นั่งลง รั้งศีรษะเล็กที่ปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มสลวยราวเส้นไหมชั้นดีมาซบกับอกกว้างและแข็งแรงของตน ก่อนจะจุมพิตเบาๆ ที่ศีรษะนางอย่างรักใคร่
"หลินเอ๋อร์ พี่ต้องขออภัยเจ้ากับทุกสิ่งที่ผ่านมา พี่ให้สัญญาว่านับแต่นี้ไปพี่จะดูแลเจ้า รักและถนอมเจ้าให้มาก ขอเพียงเจ้าให้โอกาสพี่และอยู่กับพี่ตลอดไป อย่าจากพี่ไปไหน" เขากระชับอ้อมแขนที่โอบกอดนางผู้เป็นที่รักแน่นขึ้น
"อืม" เสียงร้องรับกับใบหน้าที่ขยับถูไถอยู่ตรงหน้าอก ทำให้หมอนข้างจำเป็นชะงัก ก้มหน้าหลุบตามองด้วยคิดว่านางได้ยินในสิ่งที่ตนพูด ก่อนจะถอนใจโล่งอกระคนเสียดายที่นางเพียงแค่ละเมอเท่านั้น
แม่ทัพหนุ่มปล่อยให้นางหลับอย่างสบายใจอยู่ราวหนึ่งชั่วยาม ก่อนจะตัดสินใจปลุกนาง
"หลินเอ๋อร์..ตื่นได้แล้ว"
"เฮือก!"
พลั่ก!
"โอ๊ย!"
เสียงเฮือกมาจากร่างเล็กบอบบางที่สะดุ้งตกใจกับเสียงประกาศิตของเขา พลั่กเป็นเสียงศีรษะเล็กที่กระแทกเข้าปลายคางของอีกฝ่าย และโอ๊ยคือเสียงร้องจากร่างเล็กบอบบางที่บัดนี้คลำศีรษะตัวเองป้อยๆ น้ำตาคลอ พร้อมกับสูดปากด้วยความเจ็บปวด
ส่วนมู่หลิ่งเหวินนั้นเจ็บแต่ร้องไม่ออก ได้แต่ลูบคางตนเอง คิ้วเข้มเลิกขึ้นมองร่างเล็กบอบบางที่ส่งยิ้มแห้งๆ ให้ตน เห็นแล้วก็รู้สึกอ่อนใจและอดขบขันในความซุ่มซ่ามของนางไม่ได้ "เป็นเช่นไรบ้าง ขอพี่ดูหน่อย" มือหนายื่นออกไปลูบกลางศีรษะของนางอย่างเบามือ
"อืม ปูดเล็กน้อย" มู่หลิ่งเหวินชะงักคำพูดเมื่อสบเข้ากับดวงตากลมโตที่จ้องมองมาอย่างโง่งม ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงเรื่อแม้จะเห็นไม่ชัดเท่ายามกลางวัน ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอขึ้นเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็สร้างความปั่นป่วนใจให้แก่เขาจนร้อนรุ่มไปทั้งกายแล้ว "ดึกมากแล้ว พี่ควรพาเจ้ากลับเสียที" ก่อนจะลุกพรวดขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเบือนหน้าซับสีแดงจางๆ ไปทางอื่น
"ก็ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ" ชิงหลินตอบ มองร่างสูงที่หันหนีไปทางอื่นไม่มองหน้า จึงเกิดความสงสัยจนอยากพิสูจน์ความจริง "โอ๊ย! ปวด ปวดเหลือเกิน"
"หลินเอ๋อร์ เป็นอันใด ปวดศีรษะหรือ" ร่างสูงหันมาถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน คิ้วเข้มขมวด สองแขนแกร่งรีบโอบประคองคู่หมั้นที่ทรุดลงไปกองกับพื้นหญ้า มือหนึ่งอุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อย ส่วนอีกมือก็กุมศีรษะพร้อมกับก้มหน้าร้องครวญครางไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนแฝงแววกังวลและเป็นห่วง
"เปล่า ข้าปวดท้อง หิวข้าวเจ้าค่ะ" นางยืดตัวตรง เงยหน้าขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง โดยลืมไปว่าคำตอบของนางตรงข้ามกับการกระทำโดยสิ้นเชิง และผลของการกระทำก็กำลังย้อนกลับมาเล่นงานนางอยู่ตอนนี้
"ปวดท้อง หิวข้าว แล้วเหตุใดจึงกุมศีรษะ" แม่ทัพหนุ่มถามเสียงเข้มต่ำ มือใหญ่ยึดจับต้นแขนเรียวเล็กไว้แน่น ดวงตาคมทรงเสน่ห์วาวโรจน์ด้วยความขุ่นเคือง แผ่กลิ่นอายกดดันและคุกคามออกมาจนคนก่อเรื่องใจคอไม่ดี
"เอ่อ...เรื่องนั้น คือว่า..." ชิงหลินหน้าเสียพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนก้มหน้าไม่กล้าสบตา ถึงอย่างนั้นก็รับรู้ถึงความโกรธได้จากแรงบีบที่ต้นแขนจนรู้สึกเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงร้อง ยอมกัดฟันเพื่อข่มความเจ็บปวด
"อย่าล้อเล่นเช่นนี้อีก...เป็นครั้งที่สอง เข้าใจหรือไม่" แม่ทัพหนุ่มเชยคางคู่หมั้นขึ้น กระซิบขู่เสียงเรียบ ทว่าเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง จนคนฟังรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งร่าง
"ขะ...ข้ารู้แล้ว" นางตอบกลับเสียงแผ่ว ก่อนจะผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเขาปล่อยให้นางเป็นอิสระ
ยามนี้เขาขุ่นเคืองใจที่คู่หมั้นล้อเล่นกับความรู้สึกที่มีต่อนาง 'ข้าเป็นห่วงนางมากถึงเพียงนี้ แต่นางกลับ...ฮึ่ม! น่าตายนัก!'
เมื่อเห็นเขาเงียบไป ชิงหลินจึงเดินมาหยุดตรงหน้าเขาแล้วส่งยิ้มให้ แต่เขากลับไม่สนใจหันหน้าหนีไปทางอื่น นางจึงทำซ้ำอีกและเขาก็ยังเมินเช่นเดิม คิ้วเรียวพลันขมวดมุ่น
'อย่าบอกนะว่าเขากำลังงอน? ไม่ได้โกรธแต่กำลังงอนอยู่? จริงเหรอเนี่ย? แม่ทัพจอมหยิ่งเอาแต่ใจคนนี้กำลังงอน? อา...ไม่อยากจะเชื่อว่าจะถูกผู้ชายงอนใส่ ลองง้อเหมือนที่เคยทำกับแม่ก็แล้วกัน'
คนกำลังงอนชะงักวูบไปชั่วครู่เมื่อได้สติ มุมปากพลันยกขึ้นสูงเป็นรอยยิ้มที่น่าหลงใหล ดวงตาคมทรงเสน่ห์ฉายแววพอใจเพราะไม่คิดว่านางจะกล้า อารมณ์ขุ่นเคืองมลายหายไปทันทีกับการการกระทำของนาง
คนง้อที่วางเจ้าพยัคฆ์น้อยลงบนพื้นหญ้าสวมกอดเขาจากข้างหลัง แนบหน้ากับแผ่นหลังกว้างและอบอุ่นนิ่ง นางไม่พูดอะไรจนเขายกมือขึ้นทาบทับบนหลังมือของนาง ก็ทำให้นางยิ้มออก "ขอโทษเจ้าค่ะ"
'มู่หลิ่งเหวินเอ๋ย เพียงแค่นางกอด เจ้าก็หายโกรธเสียแล้ว เจ้าช่างใจอ่อนเสียจริง'
เขาปรับสีหน้าให้เรียบนิ่ง ยามหมุนกายสูงมาเผชิญหน้ากับคู่หมั้น หลุบตามองนางแล้วถาม "คิดว่าเพียงเท่านี้จะทำให้พี่หายโกรธหรือ"
"เอ๊ะ แล้วข้าต้องทำอย่างไร ท่านจึงจะหายโกรธข้า" ชิงหลินเงยหน้าขึ้นมาถามเขา
"ตรงนี้" เขาพองแก้มข้างหนึ่งแล้วดึงมือของนางมาวางที่แก้มของตน
"ทำไมข้าต้องหอมแก้มท่านด้วยเล่า ข้าไม่ทำ" นางชักมือกลับพร้อมกับสะบัดหน้าหนี
"เลือกเอา ระหว่างเจ้าหอมพี่ หรือให้พี่หอม...เจ้า" พูดพลางยื่นใบหน้าหล่อเหลาลงมาเสมอใบหน้าจิ้มลิ้ม ดวงตาคมทรงเสน่ห์มีประกายกรุ้มกริ่มอย่างเป็นต่อ เมื่อเห็นนางขยับตัวจึงเอ่ย "คิดจะหนีหรือ"
"คะ...ใครว่าข้าจะหนีกัน" หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นตอบอย่างอวดดี ไม่ยอมรับความจริง ชิงหลินไม่ชอบให้ใครดูถูกหรือกล่าวหาว่านางขี้ขลาด
"หึๆ เช่นนั้นก็..." ไม่รอให้นางตั้งตัว ร่างสูงก็ฉวยโอกาสหอมแก้มขาวเนียนนุ่มนิ่มของนางเสียฟอดใหญ่ ก่อนจะรีบเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือของนางที่ไล่ทุบเขาเป็นพัลวันอย่างมีความสุข จนส่งเสียงหัวเราะออกมาดังก้องไปทั่วบริเวณ