-26-
ยามเฉิน ณ ห้องทำงานจวนเสนาบดีมู่
แม่ทัพหนุ่มกำลังปรึกษาหารือกับเสนาบดีฝ่ายบู๊มู่หลิ่งฟู่ผู้เป็นบิดา
"สรุปก็คือเจ้าอยากให้ข้าช่วยหาตัวแทนสกุลชิง นำสัตว์ทั้งสี่ขึ้นถวายฝ่าบาท?" มู่หลิ่งฟู่วางถ้วยชาลงด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ร่องรอยความหวาดหวั่นอย่างที่ควรจะเป็น
"ขอรับ ส่วนเรื่องรูปตำหนักหลังใหม่ ตามความเห็นข้า องค์รัชทายาทน่าจะทรงช่วยได้" มู่หลิ่งเหวินกล่าวอย่างมั่นใจ
"อา...วันนี้ข้าคงต้องไปจวนท่านอัครเสนาบดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สินะ" มู่หลิ่งฟู่กล่าวพลางเลิกคิ้วมองบุตรชาย
"ลำบากท่านพ่อแล้ว" บุตรคนโตค้อมศีรษะลงขอบคุณบิดา
"เอาเถิด แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป"
"ท่านพ่อหมายถึง...เรื่องเจ้าพยัคฆ์น้อย?"
"อืม" มู่หลิ่งฟู่พยักหน้า
"ข้ากังวลเรื่องนี้อยู่เช่นกันขอรับ" ยอมรับตามตรงว่างานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพใกล้เข้ามาเต็มที การจะพาเจ้าพยัคฆ์น้อยไปหุบเขากินคนด้วยจึงเป็นไปไม่ได้ หากนางเข้าใจจุดนี้และยอมตัดใจง่ายๆ คงดี แล้วหากนางดื้อดึงเล่าเขาจะกล่อมนางอย่างไร
ขณะเดียวกันที่คฤหาสน์สกุลชิง
ชิงหลินปลอมตัวเป็นชาย แอบหนีออกมาผ่านทางรูกำแพงข้างเรือนหยกฟ้าที่พบโดยบังเอิญและเคยใช้ตอนแอบหนีเที่ยวจนเกิดเรื่องอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ผู้สมรู้ร่วมคิดหาใช่เสี่ยวอี้สาวใช้ข้างกายไม่ แต่เป็นคนงานชายที่คอยดูแลเจ้าไป๋เสวี่ยม้าของนางและเจ้าพยัคฆ์น้อย
"อย่าบอกใครเชียวนะ เสี่ยวเปา แล้วข้าจะรีบไปรีบกลับ" ชิงหลินกำชับเด็กหนุ่มร่างเล็กผอมสูงกว่านางเล็กน้อยด้วยหน้าตาและท่าทางขึงขัง
"ขะ...ขอรับคุณหนู" เสี่ยวเปาจำใจรับคำแม้จะรู้สึกหวาดหวั่น หากคุณหนูได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายร้ายแรงคงไม่พ้นโทษทัณฑ์ แต่เสี่ยวเปาก็ขลาดกลัวเกินกว่าจะไปรายงานฮูหยิน สุดท้ายจึงได้แต่ยืนมองคุณหนูควบม้าจากไปต่อหน้าต่อตา
ชิงหลินควบเจ้าไป๋เสวี่ยออกจากเมืองหลวงมุ่งหน้าไปป่าอาถรรพ์ มือหนึ่งถือสายบังเหียนม้า อีกมือก็อุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยไว้มั่น โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีกลุ่มคนสามคนควบม้าสะกดรอยตามมาห่างๆ จนเมื่อใกล้ถึงเขตป่าอาถรรพ์
"หลินหลิน สามคน...ตามมา ระวัง" เจ้าพยัคฆ์น้อยร้องเตือนนาง
"หือ? งั้นหรือ มาดีหรือมาร้าย" มือเรียวกระตุกรั้งบังเหียนให้ม้าวิ่งช้าลง ไม่หันหลังกลับไปมองเพราะกลัวว่าพวกเขาจะรู้ว่านางรู้ตัวแล้ว
"ไม่ดี ไม่ร้าย" คำตอบคลุมเครือของเจ้าพยัคฆ์น้อยทำเอานางมึน
"อืม ไม่ดี แต่ก็ไม่ร้าย อย่างนั้นคงพอจะเจรจากันได้" นางเดาสุ่ม ยิ่งเห็นเจ้าพยัคฆ์น้อยไม่ตอบหรือห้ามจึงกระตุกบังเหียนให้เจ้าไป๋เสวี่ยหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับบุรุษทั้งสาม
"พวกท่านตามข้ามา มีธุระอันใดหรือ" ชิงหลินในคราบบุรุษถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าจิ้มลิ้มเรียบนิ่งไร้ความหวาดกลัว จนบุรุษทั้งสามนึกชื่นชมอยู่ในใจ
"ขออภัย หากทำให้ท่านอึดอัด ข้าแซ่โจว มีนามว่าหยางหมิ่น ผู้ว่าจ้างให้ตามหาเต่ามังกร" โจวหยางหมิ่นกล่าวแนะนำตัวกับสตรีที่ปลอมตัวเป็นชาย
"ท่านรู้หรือว่าข้าเป็นใคร" นางถามพลางคิดในใจว่า 'อุตส่าห์ปลอมตัวแล้วยังถูกจับได้อีก ไม่เห็นเหมือนที่ดูในละครเลย ที่แค่นางเอกสวมเสื้อผ้าผู้ชายก็ดูไม่ออกแล้วว่าเป็นผู้หญิง'
"ย่อมรู้แน่นอน คุณหนูหลิน บุตรีคนเดียวแห่งสกุลชิง" โจวหยางหมิ่นตอบยิ้มๆ นึกประหลาดใจที่นางไม่ตื่นตกใจเมื่อเขาเอ่ยนามออกไป เป็นไปได้หรือไม่ว่านางไม่รู้ว่าเขาคือองค์ชายห้าแห่งแคว้นโจว
"ยินดีที่ได้รู้จักคุณชายโจว" หญิงสาวค้อมศีรษะทักทายอีกฝ่าย โดยมีสององครักษ์ร่างใหญ่ที่ประหลาดใจกับถ้อยคำของนาง ผิดกับโจวหยางหมิ่นที่ยิ้มบางๆ ด้วยไม่ค่อยได้ยินผู้ใดเรียกตนเช่นนี้บ่อยนัก
"แล้วท่านมีธุระอันใดกับข้าหรือเจ้าคะ" นางถามอีกครั้ง
"อา...ข้าได้ข่าวว่าบิดาของท่านหายตัวไป" โจวหยางหมิ่นเอ่ยขึ้น ก่อนจะกระตุกบังเหียนให้ตีคู่ไปกับม้าของนาง เยื้องย่างเหยาะๆ ไปทางป่าอาถรรพ์
"ข่าวเร็วยิ่งนัก ถูกแล้วเจ้าค่ะ ทางเราเตรียมตัวจะออกเดินทางไปตามหาในอีกสองสามวันนี้" ชิงหลินหันมาตอบก่อนจะหันกลับไปมองทางเช่นเดิม
"อา...ข้าขอเข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้ด้วยแล้วกัน" ถ้อยคำที่เอาแต่ใจของโจวหยางหมิ่น ทำเอาชิงหลินและสององครักษ์ตกใจจนต้องหันมามอง
"ข้าไม่เห็นด้วย ท่านเป็นผู้ว่าจ้าง หากท่านเป็นอันใดไป แล้วข้าจะไปคิดเงินกับใคร" นางแสร้งพูดทีเล่นทีจริง
"เจ้า!..." หนึ่งในองครักษ์ตวาดนาง แต่ถูกห้ามด้วยสายตาคมกริบทรงอำนาจของโจวหยางหมิ่น จึงต้องรีบกลืนถ้อยคำลงไป
ชิงหลินตกใจเล็กน้อยที่เห็นชายร่างใหญ่คิดจริงจังกับคำพูดล้อเล่นของนาง
"เจ้าอย่าได้กังวลไป ข้ามีฝีมือพอตัว คิดว่าคงเอาตัวรอดได้" โจวหยางหมิ่นตอบยิ้มๆ ไม่ถือสาหาความนาง
"เรื่องเงินข้าล้อเล่น แต่เรื่องที่ท่านจะขอไปด้วย ข้าไม่อาจตัดสินใจได้ เชิญท่านไปที่คฤหาสน์สกุลชิงยามซื่อพรุ่งนี้เถิด หากไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวก่อน" นางพูดยืดยาวก่อนจะค้อมศีรษะให้เขา แล้วควบม้ามุ่งหน้าไปยังเรือนพสุธาแทน
โจวหยางหมิ่นยิ้มเล็กน้อย มองม้าที่ควบห่างออกไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความประหลาดใจของสององครักษ์ เพราะองค์ชายห้าผู้นี้ไม่ชื่นชอบอิสตรีเท่าใดนัก ด้วยพระสนมผู้เป็นมารดามักถูกกลั่นแกล้งจากเหล่าสนมชายาอยู่เสมอๆ
"องค์ชาย" หนึ่งในองครักษ์เอ่ยเรียก
"กลับ พรุ่งนี้ข้าจะไปคฤหาสน์สกุลชิง" โจวหยางหมิ่นกระตุกบังเหียนม้ามุ่งหน้ากลับไปโรงเตี๊ยมที่อยู่ในเมืองหลวง โดยมีสององครักษ์ควบม้าตามไปติดๆ
ยามอุ้ย ณ เรือนพสุธา
"คุณหนู ท่านจะกลับแล้วหรือเจ้าคะ" เสี่ยวเอินเอ่ยถามน้ำเสียงเศร้าสร้อย เมื่อคุณหนูที่มาถึงเรือนพสุธาได้เพียงชั่วยามจะกลับเสียแล้ว
"นั่นสิขอรับ ไม่อยู่พักสักคืนให้หายเหนื่อยก่อนแล้วค่อยกลับหรือขอรับ" พ่อบ้านประจำเรือนพสุธากล่าวเสริม
"ไม่ได้หรอก ข้าบอกท่านแม่ไว้ว่าจะรีบกลับ" นางไม่บอกความจริงว่าแอบหนีมา กลัวทุกคนจะตกใจ อีกอย่าง หากไม่ถูกพบเสียก่อนนางก็คงไม่มาที่นี่ คงจะตรงดิ่งเข้าป่าอาถรรพ์ไปนานแล้ว
"ข้าไปก่อนนะ แล้วจะมาใหม่" ร่างเล็กกระโดดขึ้นม้าแล้วรับเจ้าพยัคฆ์น้อยจากเสี่ยวเอินมาอุ้มไว้ จากนั้นจึงหันไปกำชับพ่อบ้านประจำเรือนพสุธา "ฝากดูแลความเรียบร้อยด้วยนะพ่อบ้าน"
"คุณหนูอย่าห่วง ข้าจะดูแลอย่างดีขอรับ" พ่อบ้านรับคำหนักแน่น
"ขอบใจมาก...ย่าห์!" พูดจบหญิงสาวก็กระทุ้งสีข้างเจ้าไป๋เสวี่ยแล้วควบม้าจากไปทันที
ไม่ถึงสองเค่อชิงหลินก็กลับมาที่ป่าอาถรรพ์อีกครั้ง นางกระโดดลงจากหลังเจ้าไป๋เสวี่ยอย่างคล่องแคล่ว เดินเข้าป่าอาถรรพ์ราวกับเป็นสวนหลังคฤหาสน์ของตัวเอง
"วางลง วางลง" เจ้าพยัคฆ์น้อยร้องบอกหลินหลิน เมื่อกำลังจะเข้าสู่เขตป่าอาถรรพ์ ชิงหลินจึงวางมันลงตามที่มันต้องการ
ทันทีที่มันกระโดดเข้าเขตป่าอาถรรพ์ ร่างเล็กๆ ก็พลันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับสูบลมเข้าไป จนหยุดลงเมื่อร่างกายของมันมีขนาดเท่าเสือโคร่งตัวเต็มวัย น้ำหนักไม่ต่ำกว่าสองร้อยกิโลกรัม ดูสง่างามและน่าเกรงขามยิ่งนัก
ชิงหลินยืนตะลึงลาน ตาโตเป็นไข่ห่านเพราะเทียบกับครั้งแรกที่พบเจ้าพยัคฆ์น้อย ถึงมันจะมีขนาดใหญ่กว่าลูกเสือปกติทั่วไปก็ตาม แต่เพียงไม่กี่เดือนเจ้าพยัคฆ์น้อยของนางกลับเติบใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ นี่มันอัศจรรย์เกินไปแล้ว!
"หลินหลิน เป็นอันใด กลัวหรือ ฟานฟาน...เป็นเด็กดี หลินหลิน...ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว" เจ้าพยัคฆ์น้อยกังวลมาก ดวงตากลมเล็กสีเทามีน้ำตาคลอ
"อย่ากังวลไปเลย ข้าแค่ตกใจนิดหน่อย เพราะไม่คิดว่าเจ้าจะตัวโตขนาดนี้" นางรีบเดินเข้าไปหาเจ้าพยัคฆ์น้อย มือหนึ่งลูบหัวกลมๆ ใหญ่ๆ ของมันจนมันหลับตาพริ้ม เคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสที่แสนอ่อนโยนของนาง ปล่อยให้เจ้าไป๋เสวี่ยยืนนิ่ง ขาทั้งสี่แข็งค้างจนไม่อาจก้าวหนี เมื่อเห็นพยัคฆ์น้อยกลับกลายเป็นพยัคฆ์ตัวใหญ่น่าเกรงขามไปในชั่วพริบตา
"เอ้าๆ อย่ามัวพิรี้พิไรอยู่เลย รีบเข้ามาเร็วเข้า ข้ารออยู่นานแล้ว" เสียงก้องกังวานที่ดังไปทั่วป่าทำให้สามชีวิตชะงักฟัง ก่อนจะมองไปรอบๆ ก็พบเพียงความว่างเปล่า
"เสียงของท่านพ่อ หลินหลิน ไปเถิด" พูดจบก็เดินนำหน้าไปทันที ชิงหลินรีบจูงเจ้าไปเสวี่ยที่ขัดขืนเล็กน้อยตามไปติดๆ
ราวหนึ่งก้านธูปสามชีวิตก็มาถึงถ้ำที่เนรมิตขึ้นของปู่เสือย่าเสือ ซึ่งบัดนี้ยืนรออยู่หน้าถ้ำพร้อมด้วยสองพยัคฆ์ขนาดเดียวกับเจ้าฟานฟานน้อย
"ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามาแล้ว" ฟานฟานเดินเข้าไปคลอเคลียพ่อกับแม่ด้วยความดีใจและคิดถึง
ชิงหลินอมยิ้มกับภาพความน่ารักของครอบครัวสุขสันต์ และมันคงจะน่ารักน่าเอ็นดูมากกว่านี้สิบเท่า หากพวกมันจะตัวเล็กเท่ากับครอกเสือปกติทั่วไป เพราะภาพที่เห็นออกจะใหญ่โตมโหฬาร ราวกับนางมองครอบครัวช้างมากกว่าจะเป็นครอบครัวเสือ
"ปู่เสือ ย่าเสือ พวกท่านสบายดีหรือ" หญิงสาวถามทำลายความเงียบ
"ย่อมสบายดี ขอบใจที่เลี้ยงดูลูกข้าอย่างดี แล้วนี่จะมาขอยืมลูกข้าอีกตัวหรือ" ปู่เสือถามทั้งที่ล่วงรู้อยู่ก่อนแล้ว
"ใช่เจ้าค่ะ เอ่อ...แล้วปู่เสือกับย่าเสือ..." ชิงหลินไม่กล้าพูดต่อเพราะรู้สึกเกรงใจทั้งสอง
"ท่านพ่อ ข้าอยากไป...กับหลินหลิน ข้าอยากไป" เจ้าฟานฟานเงยหัวขึ้นขอร้อง
"หากเจ้าตัดสินใจไปกับนาง เจ้าจะไม่ได้เป็นพยัคฆ์คู่บัลลังก์ของฮ่องเต้องค์ถัดไปนะ" ย่าเสือเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง
"ข้ายินดี ข้าอยากอยู่...กับหลินหลิน อยู่กับหลินหลิน" เจ้าฟานฟานตอบพลางเดินกลับมาหานาง
"ให้ข้าไปแทนน้องสามได้หรือไม่ท่านพ่อ" หนึ่งในสองเจ้าพยัคฆ์เสนอตัว
"อืม หากเจ้าเต็มใจ พ่อก็จะไม่ห้ามเจ้า" ปู่เสือผงกหัวอนุญาต
"ขอบคุณ พี่ใหญ่ ขอบคุณ ท่านพ่อ" เจ้าฟานฟานส่งเสียงขอบคุณด้วยความดีใจ เพราะนับจากนี้มันจะได้อยู่กับหลินหลินตลอดไปไม่มีวันพรากจาก
ชิงหลินอยู่สนทนากับครอบครัวปู่เสือย่าเสือต่อราวครึ่งชั่วยาม ก็เดินทางออกมาจากป่าอาถรรพ์พร้อมกับสมาชิกใหม่อีกหนึ่งตัว ลูกเสือโคร่งขาวซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของเจ้าฟานฟานน้อยนั่นเอง
ทันทีที่พ้นเขตป่าอาถรรพ์ร่างของเจ้าพยัคฆ์น้อยทั้งสองก็หดเล็กลงเท่ากับลูกเสือปกติ ส่วนชิงหลินยามนี้กำลังเผชิญหน้ากับร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งเจอกันเมื่อคืน
"พี่เหวิน! ท่านมาก็ดีแล้ว ข้ากำลังหนักใจว่าจะพาเจ้าสองตัวนี้กลับอย่างไรดี" ชิงหลินอุทานชื่อเขา ดวงตากลมโตฉายแววยินดี พยายามใช้เรื่องอื่นกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง
มู่หลิ่งเหวินมองสำรวจร่างเล็กบอบบาง แล้วถอนใจโล่งอกที่นางปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนใดๆ หลังจากสนทนากับบิดาแล้วก็ตั้งใจแวะมาหานาง ก่อนจะไปขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท แต่กลับพบเพียงห้องที่ว่างเปล่าไม่มีผู้ใด จึงรู้ว่านางหายตัวไปไหนตั้งแต่เมื่อใด
ยามนั้นเขากระวนกระวายใจแทบคลั่ง แต่ไม่อาจกระทำบุ่มบ่ามได้ ซ้ำยังต้องปิดบังฮูหยินทั้งสองด้วยเกรงว่าหากมารดาของนางทราบความจริงคงยิ่งทำให้แย่ลงจนถึงขั้นล้มป่วยก็เป็นได้ จึงสั่งการให้องครักษ์ทั้งสี่และหน่วยพยัคฆ์ดำบางส่วนช่วยออกตามหา ส่วนตัวเองก็สะกิดใจเรื่องแหล่งที่มาของเจ้าพยัคฆ์น้อย จึงคาดเดาว่านางอาจจะมาที่ป่าอาถรรพ์ซึ่งก็เป็นจริงตามที่คาด
"เจ้าแอบหนีมาก็เพราะมาตามหาเจ้านี่" แม่ทัพหนุ่มกอดอกถามเสียงเรียบ
"ใช่เจ้าค่ะ กลับเถิด ข้าหิวแล้ว" ร่างเล็กรีบเอ่ยตัดบท ไม่รอให้เขาสอบสวนมากไปกว่านี้ "นี่เจ้าค่ะ ช่วยหน่อยนะเจ้าคะ" นางทำเมินหน้าตาบูดบึ้งของเขา แล้วส่งพยัคฆ์น้อยตัวพี่ให้ ส่วนตัวเองก็อุ้มเจ้าฟานฟานน้อยแล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังเจ้าไป๋เสวี่ย ควบนำไปโดยไม่รอคู่หมั้นที่ควบเจ้าทาเสว่ตามมาติดๆ พร้อมกับแผ่รังสีคุกคามกดดันจนนางรู้สึกหนาวสะท้าน ราวกับอยู่ท่ามกลางหิมะในฤดูหนาว
ภายในเก๋งริมสระบัว คฤหาสน์สกุลชิง
"ข้าขอโทษที่ไปโดยไม่ได้บอกท่าน" ชิงหลินกล่าวเสียงอ่อย
มู่หลิ่งเหวินไม่ตอบกลับแม้เพียงครึ่งคำ นั่งขัดสมาธิกอดอก ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนบึ้งตึงอย่างชัดเจน ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องมองคู่หมั้นที่นั่งก้มหน้าอยู่หลังโต๊ะสี่เหลี่ยมสูงเสมออกนางนิ่ง ราวกับผู้ปกครองกำลังจะทำโทษเด็ก
ด้านนอกเก๋งมีจิ้นอี้ จิ้นเอ้อ เสี่ยวอี้ และเสี่ยวสุ่ย ยืนก้มหน้ารอรับโทษที่บกพร่องในหน้าที่
"ก็ท่านไม่อยู่นี่ อีกอย่าง เรื่องนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้ด้วย ข้าเกรงว่าพวกเขาอาจจะได้รับอันตราย" ชิงหลินพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจ เมื่อเห็นเขายังคงนั่งเงียบจึงเอ่ยต่อ "และการเดินทางไปหุบเขากินคนครั้งนี้ จำเป็นต้องนำเจ้าฟานฟานน้อยไปด้วย แต่...มันเป็นหนึ่งในสี่สัตว์ที่ต้องถวายฝ่าบาท ข้าก็เลย..."
"หาตัวแทน...มาแทนเจ้าพยัคฆ์น้อย?" มู่หลิ่งเหวินกล่าวเป็นครั้งแรก
"ใช่เจ้าค่ะ" นางยิ้มตอบบางๆ
"พี่เข้าใจที่เจ้าเป็นห่วงพวกเขา แล้วตัวเจ้าเล่า เคยคิดบ้างหรือไม่ หากเจ้าเป็นอันตราย คนที่รักเจ้าคนที่ห่วงเจ้าจะรู้สึกเช่นใด จะเสียใจเพราะเจ้ามากเพียงใด" มู่หลิ่งเหวินระบายความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่เต็มอกออกมาให้นางได้รับรู้
"ข้า..." ชิงหลินจ๋อยสนิท พูดอะไรไม่ออก ได้แต่กัดริมฝีปากแน่น รู้สึกเสียใจมากกว่าครั้งไหนๆ เพราะไม่คิดว่ามันจะทำให้เขาโกรธและเป็นห่วงนางมากถึงขนาดนี้
"เฮ้อ เอาเถิด ครั้งนี้เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว แต่อย่าทำเช่นนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ได้ยินชัดเจนหรือไม่" ประโยคหลังเขาโน้มตัวไปข้างหน้า สองแขนแกร่งเท้าอยู่บนโต๊ะพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูนาง
"เอ่อ...ขะ...ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ" ร่างเล็กเอนตัวไปข้างหลังเพื่อเลี่ยงการกระทำของเขา
"ฮึ! ดี" เขากล่าวแล้วก็กลับมานั่งท่าเดิม ก่อนจะหันไปยังทิศทางที่สององครักษ์และสองสาวใช้ยืนอยู่ "จิ้นอี้ จิ้นเอ้อ"
"ขอรับท่านแม่ทัพ" ทั้งคู่ขานตอบพร้อมกัน
"พวกเจ้าบกพร่องต่อหน้าที่..." ยังไม่ทันที่มู่หลิ่งเหวินจะได้กล่าวจบ
"ไม่ได้นะเจ้าคะ! ท่านจะลงโทษพวกเขาไม่ได้ ข้าไม่ยอม!" ชิงหลินออกโรงปกป้องทันที นางโน้มตัวเข้าหาเขาบ้าง สองแขนเรียวขาววางอยู่บนโต๊ะด้วยหน้าตาและท่าทางขึงขังเอาจริงเอาจัง ช่างน่าเอ็นดูยิ่งนักในสายตาของมู่หลิ่งเหวิน
"ลูกน้องบ่าวไพร่ทำผิดย่อมต้องถูกลงโทษเป็นเรื่องธรรมดาสามัญยิ่ง มิใช่หรือ"