webnovel

ตอนที่ 29 การหมั้นกับภารกิจที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง  

ภายหลังที่มู่หลิ่งเหวินจากไป ฉีเฟยหลงยังคงนั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะทรงงาน พิงพนักเก้าอี้พลางทอดสายตาไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ครุ่นคิดถึงเหตุผลที่มิได้ทูลให้ฝ่าบาททรงทราบเรื่องความลับของนาง ด้วยตระหนักดีว่าฝ่าบาททรงชื่นชอบผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือผู้ใด และมักจะเก็บคนเหล่านั้นไว้ข้างพระวรกาย หากฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้แล้วยังเพิกเฉย เช่นนั้นก็มิใช่ฝ่าบาทแล้ว

แต่ที่ฉีเฟยหลงคาดการณ์ผิดไปคือ การนำรูปของนางให้ฝ่าบาททอดพระเนตร ด้วยตั้งใจจะขอพระราชทานอนุญาตสร้างตำหนักส่วนพระองค์เพื่อรับรองแขกแทนตำหนักหลังเก่าที่เริ่มทรุดโทรมลง โดยหมายมั่นปั้นมือให้นางช่วยร่างโครงในกระดาษให้ กลับกลายเป็นว่ามิเพียงจะทรงเห็นชอบกับเรื่องนี้ ฝ่าบาทยังสนพระทัยนางมากถึงขั้นเรียกให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์อีกด้วย

'หากฝ่าบาทพอพระทัยนางขึ้นมาเล่า ข้าจะทำเช่นใด อาเหวินจะเสียใจสักแค่ไหน นางจะตำหนิข้าหรือไม่'

ฉีเฟยหลงกลัดกลุ้มจนหัวแทบจะระเบิด ทอดถอนใจหลายครั้งจนเสี่ยวเกาจื่อแปลกใจ ด้วยมิใคร่เห็นองค์รัชทายาททรงเป็นเช่นนี้บ่อยนัก

ณ เรือนแสงจันทร์ จวนสกุลมู่

ชิงหลิน มู่หลิ่งเฟิง เฟิ่งอิง และเจ้าพยัคฆ์น้อย กลับไปรอที่เรือนจันทราแล้ว เหลือเพียงผู้อาวุโสทั้งสี่ที่นั่งปรึกษาหารือกันไปพลางรอแม่ทัพหนุ่มไปพลางด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกังวล

"อาเหวิน เป็นอย่างไรบ้าง" มู่หลิ่งฟู่ลุกขึ้นถามบุตรชายทันทีที่ร่างสูงใหญ่สง่างามเดินเข้ามา

"วางใจได้ขอรับ ความลับของนางยังมิถูกเปิดเผยในยามนี้" เขาแจ้งแก่อาวุโสทั้งสี่ด้วยรอยยิ้มบางๆ

"หมายความว่าอย่างไร แล้วราชโองการนั่น..." ชิงหยวนถาม

"ฝ่าบาททรงชื่นชอบรูปเขียนของหลินเอ๋อร์ จึงอยากพบนางสักครั้งเท่านั้นขอรับ" มู่หลิ่งเหวินไขข้อข้องใจ

"อา...เป็นเช่นนี้นี่เอง" ชิงหยวนพยักหน้า คิ้วดาบคลายลงหนึ่งส่วน

"อ้าว เจ้าเป็นอันใด มิดีใจหรอกหรือ" มู่ฮูหยินถามชิงฮูหยินที่ยังมีสีหน้ากังวล

"ดีใจสิ เพียงแต่..." ชิงฮูหยินยิ้มตอบแต่เป็นรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อนยิ่งนัก

"เพียงแต่อันใดหรือ รีบพูดมาเร็วเข้า" มู่ฮูหยินคะยั้นคะยอถาม โดยมีสายตาสามคู่ของบุรุษมองมาอย่างสงสัย

"หากเกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นจะทำเช่นไร" ชิงฮูหยินว่า

"เรื่องมิคาดฝัน เจ้าจะพูดอันใดกันแน่" ชิงหยวนทำหน้าไม่เข้าใจ

"แม้หลินเอ๋อร์จะมิใช่หญิงงามล่มเมือง แต่ถ้าต้องพระทัยฝ่าบาทขึ้นมาจะทำเช่นใดเล่า" ชิงฮูหยินกล่าว ถอนใจกลัดกลุ้มเพราะใช่ว่าความคิดนี้จะเป็นไปมิได้ องค์ฮ่องเต้เองยังทรงหนุ่มแน่นเกินบุรุษวัยสี่สิบห้า ซ้ำยังทรงชื่นชอบผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครเป็นพิเศษ แล้วจะมิให้นางกังวลใจได้อย่างไร

"อืม ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล ท่านพี่ เราจะทำเช่นไรกันดีเจ้าคะ" มู่ฮูหยินเริ่มกังวลขึ้นมาบ้าง ด้วยปักใจแล้วว่าหลินเอ๋อร์ต้องเป็นสะใภ้จวนสกุลมู่ จะมิยอมให้ไปเป็นสนมหรือสะใภ้ที่ไหนเด็ดขาด

"นั่นสินะ อาเหวิน เจ้าพอจะมีหนทางบ้างหรือไม่" มู่หลิ่งฟู่โยนคำถามให้บุตรชายเป็นผู้ตอบ

"การหมั้นหมายน่าจะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ขอรับ" มู่หลิ่งเหวินรีบฉวยโอกาสที่บิดาโยนมาให้ทันที มิยอมปล่อยให้โอกาสหลุดมือ

"ข้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ของอาเหวิน" มู่ฮูหยินรีบกล่าวสนับสนุนความคิดอันชาญฉลาดของบุตรชาย

ชิงหยวนสบตากับฮูหยินของตนครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ

"ว่าอย่างไรอาหยวน" มู่หลิ่งฟู่เอ่ยถามสหายรักเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางคล้ายตัดสินใจได้แล้วของอีกฝ่าย

"อืม ช่วยมิได้ละนะ ตกลงตามนั้น" ชิงหยวนตอบตกลงในที่สุด เรียกรอยยิ้มพอใจจนอยากจะกระโดดโห่ร้องออกมาเสียให้ได้

ฝ่ายมู่หลิ่งฟู่กับฮูหยินยิ้มให้กัน เมื่อในท้ายที่สุดความปรารถนาของบุตรชายก็เป็นจริง การหมั้นหมายในครั้งนี้ยังช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่านางเป็นคนของจวนสกุลมู่แล้วครึ่งหนึ่ง

"ซือฝู!" มู่หลิ่งฟู่ตะโกนเรียกพ่อบ้านใหญ่ที่เฝ้าอยู่นอกห้องให้เข้ามา

"ขอรับนายท่าน" พ่อบ้านใหญ่รีบกระวีกระวาดเข้ามาในห้องทันที

"ไปเชิญคุณหนูหลินมาที่นี่" มู่หลิ่งฟู่ออกคำสั่งเสียงเข้ม

"ขอรับ" พ่อบ้านใหญ่ค้อมศีรษะแล้วหมุนตัวออกไปอย่างเร่งรีบ

มู่หลิ่งเหวินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข ดวงตาคมทรงเสน่ห์จับจ้องที่ประตูทางเข้าอย่างมิละสายตา

ผ่านไปครู่ใหญ่ชิงหลินพร้อมด้วยเจ้าพยัคฆ์น้อย มู่หลิ่งเฟิง และเฟิ่งอิง ก็มาถึง นางนั่งลงข้างมารดา ถัดมาเป็นคุณชายน้อยที่มิยอมไปนั่งข้างพี่ชาย ส่วนเฟิ่งอิงยืนเฝ้าหน้าประตูคนละฝั่งกับพ่อบ้านใหญ่ซือฝู

"หลินเอ๋อร์ พวกเราเห็นพ้องกันว่าจะให้เจ้ากับอาเหวินหมั้นหมายกันเสียก่อน ก่อนที่เจ้าจะเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้" ชิงฮูหยินแจ้งข่าวแก่บุตรี

"เอ๊ะ ทำไมล่ะเจ้าคะ" ชิงหลินถามด้วยความสงสัย 'ก็แค่ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ทำไมต้องหมั้นกันด้วย'

"ก็เพราะว่า..." ชิงฮูหยินอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้บุตรีฟังอย่างละเอียด

เมื่อได้ฟังเรื่องราว ชิงหลินก็นิ่งเงียบไป ก่อนจะเงยหน้ามองท่านลุงท่านป้า บิดามารดา และคู่หมาย สิ่งที่เห็นคือสายตายินดีจากผู้อาวุโสสองคนแรก สายตาจำยอมจากผู้อาวุโสสองคนหลัง และสายตาหวานฉ่ำบนใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนที่มีความสุขกำลังจับจ้องนางไม่วางตา เมื่อเห็นเช่นนั้นก็อดใจเต้นไม่ได้

"ข้าแล้วแต่ท่านพ่อเจ้าค่ะ" หญิงสาวตอบเสียงเบาหลังจากตัดสินใจได้

มู่หลิ่งเหวินลอบถอนใจโล่งอก ลึกๆ ก็แอบหวั่นใจว่านางจะตอบปฏิเสธ หากเป็นเมื่อก่อนเขามั่นใจเต็มร้อยว่านางต้องรีบตอบตกลงเป็นแน่ แต่นางในยามนี้ช่างแตกต่างกันลิบลับเหมือนเป็นคนละคน แต่ไม่ใช่กับบุรุษร่างใหญ่อีกคนที่เจ็บปวดใจจนแทบกระอักเลือดเช่นเฟิ่งอิงที่หลงรักคุณหนูอย่างลึกซึ้ง

"แต่...ข้าขอให้จัดงานแบบเงียบๆ เพียงแค่แลกแหวนกันได้หรือไม่เจ้าคะ" คำขอของนางทำให้ห้าบุรุษสองสตรีชะงักวูบหันมามองนางแทบจะพร้อมกัน

"เอ่อ...เวลามีน้อย จะเตรียมงานทันได้อย่างไรเจ้าคะ" นางให้เหตุผล "อีกอย่าง ข้าคิดว่านำเงินที่ต้องเสียไปกับการเตรียมงานไปบริจาคให้แก่ขอทานหรือผู้ยากไร้ เป็นการสร้างกุศลเสริมบารมีให้มากยิ่งขึ้น น่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ" ชิงหลินอธิบายยืดยาว ความจริงคือนางแค่รำคาญกับพิธีจุกจิกหยุมหยิมของที่นี่ และที่สำคัญ หากทำพิธีเอิกเกริกใหญ่โต ชาวบ้านร้านตลาดก็ต้องรู้กันทั่ว แล้วถ้าวันหนึ่งเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ครอบครัวนางจะอับอายและเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

"ข้าเห็นด้วยกับหลินเอ๋อร์" มู่หลิ่งเหวินยอมเล่นตามน้ำ ทั้งที่ใจอยากจะให้มีงานใหญ่เพื่อจะได้ป่าวประกาศให้รู้กันทั่วว่านางมีคู่หมั้นแล้ว

"ดี! ตกลงตามนี้" ชิงหยวนตบเข่าตัวเองดังฉาด ชอบใจกับความคิดของบุตรสาว

"แล้วของหมั้นเล่า" ชิงฮูหยินถามบ้าง

"ข้าสั่งทำเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว" มู่ฮูหยินตอบ ลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้องนอน เพียงครู่เดียวก็กลับออกมาพร้อมกล่องไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำ ขนาดกว้างสี่ชุ่นยาวหกชุ่นที่สลักลวดลายดอกเบญจมาศสีทอง

"โอ้ เป็นหยกขาวที่งามจริงๆ" ชิงหยวนอุทานเมื่อเห็นของที่อยู่ในกล่อง

"อาเหวิน สวมแหวนให้น้องเร็วเข้า" มู่ฮูหยินยิ้มแล้วบอกบุตรชาย

"ขอรับท่านแม่" มู่หลิ่งเหวินรีบทำตาม ลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมาหาคู่หมายที่ส่งเจ้าพยัคฆ์น้อยให้มู่หลิ่งเฟิงอุ้มชั่วคราว แล้วลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยใบหน้าแดงเรื่อ ใจเต้นตึกตักอย่างประหม่าขัดเขิน โดยมีผู้อาวุโสทั้งสี่ยืนเรียงกันด้วยสีหน้าอิ่มเอิบมีความสุข เมื่อคำสัญญาที่ให้กันไว้ใกล้จะเป็นจริงเข้าไปทุกที สุดท้ายก็เหลือแค่งานแต่งเท่านั้น

มือหนาหยิบแหวนหยกขนาดเล็กกว่าออกมาถือไว้ ดวงตาคมทรงเสน่ห์หวานซึ้ง มุมปากยกขึ้นยิ้มน้อยๆ อย่างมีความสุข

ฝ่ายผู้ถูกมองเอาแต่ก้มหน้าด้วยความขัดเขิน พลันรู้สึกแปลกใจที่เขาไม่สวมแหวนให้เสียที ปล่อยให้นางยื่นมือออกไปรอเก้อจนเมื่อย พออดรนทนไม่ไหวจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา

"หึๆ ยอมเงยหน้าเสียที"

"ท่าน!" ได้ฟังแล้วก็นึกโมโห อ้าปากเตรียมต่อว่า แต่เมื่อเหลือบเห็นสายตายินดีปรีดาของผู้อาวุโสทั้งสี่ ก็ทำให้นางรีบหุบปากลงทันใด ทำท่าจะชักมือกลับ แต่กลับถูกรวบไว้ด้วยมือหนา จากนั้นแหวนหยกสีขาวก็ถูกสวมเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างช้าๆ

มู่หลิ่งเหวินหลุบตามองคู่หมายที่กำลังจะเลื่อนขั้นเป็นคู่หมั้นในอีกเสี้ยวอึดใจด้วยหัวใจพองโตจนแทบจะหลุดออกมานอกอก อยากจะรวบตัวนางเข้ามากอดแล้วจุมพิตสักหลายๆ ครั้ง

"หลินเอ๋อร์ สวมแหวนให้พี่เขาสิลูก" ชิงฮูหยินเอ่ยเตือนบุตรสาวที่เอาแต่ยืนจ้องหน้าแม่ทัพหนุ่ม

"เอ่อ...เจ้าค่ะ" พอได้สติจึงหยิบแหวนหยกสีขาวในกล่องออกมาสวมเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายให้เขา แล้วหันไปทำความเคารพอาวุโสทั้งสี่หนึ่งครั้ง

"เอาละ การหมั้นหมายถือเป็นอันเสร็จสมบูรณ์" มู่หลิ่งฟู่กล่าวอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางความปลาบปลื้มยินดีของทุกคน ยกเว้นเฟิ่งอิงกับเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ไม่รู้เรื่องราว

หนึ่งเสียใจที่คุณหนูยอมหมั้น เพราะนั่นหมายความว่าพิธีแต่งงานคงจะมีขึ้นในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน อีกหนึ่งงุนงงไม่เข้าใจในการกระทำของคนเหล่านี้

"รบกวนท่านมานานแล้ว คงต้องกลับเสียที" ชิงหยวนเอ่ยกับมู่หลิ่งฟู่

"ใกล้เพียงแค่นี้ จะรีบร้อนไปไย อยู่กินมื้อเย็นด้วยกันก่อนเถิด" มู่หลิ่งฟู่กล่าวกับสหายรัก

"ใช่ๆ ข้าสั่งให้บ่าวไพร่เตรียมอาหารไว้แล้วด้วย" มู่ฮูหยินกล่าวเสริม

"อืม เช่นนั้นต้องขอรบกวนแล้ว" ชิงหยวนตอบรับคำเชิญ

หลังอาหารมื้อเย็นผ่านไป ขบวนรถม้าของชิงหยวนนำโดยมู่หลิ่งเหวิน เฟิ่งอิง และรถม้าของชิงหยวนกับฮูหยิน ตามด้วยรถม้าของชิงหลินกับเจ้าพยัคฆ์น้อย ปิดท้ายด้วยทหารม้าแห่งจวนแม่ทัพมู่นับสิบคุ้มกันไปตลอดการเดินทาง

ยามจื่อ ณ เรือนหยกฟ้า

เจ้าของเรือนผวาเฮือก ตื่นขึ้นมาเพราะฝันร้าย ใบหน้าจิ้มลิ้มเต็มไปด้วยเหงื่อ หอบหายใจถี่ นางหลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อปรับสายตาก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ก้มมองเจ้าพยัคฆ์น้อยที่นอนขดตัวกลมอยู่ข้างๆ กรนเบาๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ บอกให้รู้ว่ามันกำลังหลับสนิท หญิงสาวมองดูมันครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยๆ ย่องออกมาจากเรือนอย่างแผ่วเบา

เนื่องจากเฟิ่งอิงครุ่นคิดถึงเรื่องราวในวันนี้จนนอนมิหลับ จึงออกมานั่งรับลมที่เก๋งริมสระบัวพร้อมกับความหวังลึกๆ ว่าอาจจะได้พบสตรีที่ทำให้หวั่นไหว

ขณะที่จมอยู่ในความคิด เฟิ่งอิงพลันรู้สึกได้ถึงฝีเท้าคุ้นหูเดินเข้ามายังที่ตนนั่งอยู่ในลักษณะการเดินด้วยปลายเท้า เฟิ่งอิงรู้ได้ทันทีว่าเป็นสตรีที่ตนกำลังคิดถึงอยู่ หัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำนั่งนิ่ง เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ รอดูว่านางจะทำอันใด

ชิงหลินเดินออกมารับลมที่เก๋งริมสระบัวเหมือนทุกครั้ง ก่อนจะชะงักเท้าเมื่อเห็นว่าเก๋งของนางถูกผู้อื่นจับจองเสียแล้ว แต่พอรู้ว่าเป็นใคร ความคิดอยากแกล้งก็เกิดขึ้นทันที นางค่อยๆ ย่องเข้าไปอย่างที่คิดว่าเงียบและเบาที่สุดโดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายรับรู้การมาของนางได้สักพักหนึ่งแล้ว มุมปากอวบอิ่มยกขึ้นยิ้มเจ้าเล่ห์พลางยื่นแขนสองข้างออกไป ย่อตัวลงต่ำ สาวเท้าเข้าไปช้าๆ ทีละก้าวๆ ตั้งใจจะจี้เอวเขาเพื่อให้เขาตกใจ

"ว้าย! แหก!" กลับเป็นนางเสียเองที่ร้องออกมาด้วยความตกใจ เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะลุกขึ้นพรวดพราด และเบี่ยงตัวหลบการโจมตีของนางได้ในเสี้ยววินาที

ฝ่ายเฟิ่งอิงชะงักวูบ ไม่คิดว่าคุณหนูจะกลับเป็นฝ่ายตกใจเสียเอง จึงได้แต่ยืนอึ้งมองนางอย่างทำอันใดมิถูก

"โธ่ เฟิ่งอิง ข้าตกใจหมดเลย" ผู้เป็นคุณหนูต่อว่าเขาอย่างไม่จริงจังนัก พร้อมกับยกมือขึ้นทาบอกซ้าย

"ขออภัยขอรับ" เฟิ่งอิงยอมรับผิดเสียเอง

"ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียหน่อย ทำไมต้องขอโทษ" ชิงหลินโบกมือบอกเขา ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงแทนที่ของเฟิ่งอิง แล้วพิงเสาเก๋งพร้อมด้วยชันเข่าทั้งสองขึ้นมาและกอดอก เหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างไร้จุดหมาย

เฟิ่งอิงถอยหลังไปสองก้าวเพื่อรักษาระยะห่าง เอามือไพล่หลังพร้อมกับหลุบตาลงมองคุณหนูของตนเงียบๆ มุมปากยกขึ้นยิ้มเล็กน้อย เพียงแค่ได้เห็นได้พูดคุยมิกี่คำ ตนก็พอใจแล้ว

"นั่งลงสิ" นางตบพื้นข้างตัวเบาๆ บอกให้เขานั่ง

"เอ่อ..." เฟิ่งอิงอึกอักปล่อยแขนลงข้างตัว

"ทำไม กล้าขัดคำสั่งข้าหรือ" ชิงหลินแสร้งทำเสียงเข้มพร้อมกับเงยหน้ามองด้วยสายตาไม่พอใจ

"มิได้ขอรับ!" เฟิ่งอิงรีบคุกเข่าลงกับพื้นเบื้องหน้าคุณหนู สองมือที่วางบนหน้าขากำแน่น ใบหน้าคมเข้มเครียดขรึม ดวงตาคมเรียวดุจับจ้องเสี้ยวหน้าจิ้มลิ้ม มันสั่นไหวด้วยความหวาดหวั่นเพราะเกรงว่านางจะโกรธเคือง

"เช่นนั้นก็นั่งลงเถิด" หญิงสาวกล่าวจบก็ไม่สนใจเขาอีก สายตามองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย

ร่างใหญ่เลือกไปนั่งพิงเสาอีกต้น ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิด ไม่มีคำสนทนาใดนอกจากความเงียบสงบและสายลมอ่อนๆ ที่พัดโชยมากระทบผิวกาย

ผ่านไปราวสองเค่อคิ้วเข้มก็เลิกขึ้นแปลกใจกับเสียงคล้ายเสียงกรนที่ดังมาจากเสาอีกต้น จึงหันไปดู ดวงตาก็พลันเบิกกว้าง ร่างใหญ่ดีดตัวพุ่งไปยังเสาต้นนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วใช้ไหล่และลำตัวด้านข้างรองรับร่างเล็กที่เอียงกระเท่เร่จะล้มมิล้มแหล่ไว้ได้แบบเฉียดฉิว

"เฮ้อ" เฟิ่งอิงถอนใจโล่งอก มองนางที่หลับใหลพิงศีรษะลงบนไหล่ตนอย่างอ่อนใจกับความขี้เซาจนขาดความระมัดระวังของนาง เพราะนางเป็นเช่นนี้แล้วเขาจะกล้าทิ้งนางได้อย่างไร

"คุณหนู คุณหนู" เฟิ่งอิงปลุกนาง

"อืม" เสียงงึมงำตอบกลับมาพร้อมกับร่างที่ขยับเล็กน้อย ใบหน้าจิ้มลิ้มเลื่อนลงมาถูไถกับอกแกร่ง หาที่เหมาะๆ ซุกซบอย่างสุขใจ ไม่ได้รับรู้ถึงร่างแกร่งที่กระตุกเกร็งของอีกฝ่ายเลย

"เอ่อ...ท่านหัวหน้าเฟิ่ง คือว่า..." เสียงของเสี่ยวสุ่ยดั่งเสียงระฆังช่วยชีวิต เฟิ่งอิงถอนใจแรงแล้วเริ่มปลุกร่างเล็กที่ซุกซบลงบนอกตน

"หลินหลิน หลินหลิน" เจ้าพยัคฆ์น้อยที่กระโดดออกจากอ้อมแขนเสี่ยวสุ่ยเดินเข้าไปหาหลินหลิน ซึ่งยังคงหลับมิรู้เรื่องราวพร้อมกับส่งเสียงเรียกนางไปด้วย

เจ้าพยัคฆ์น้อยตื่นขึ้นมากลางดึก พบเตียงที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งร่างอบอุ่นหอมกรุ่นที่คุ้นเคยของหลินหลิน มันกระวนกระวายเดินหานางไปทั่วห้อง ส่งเสียงร้องเรียกเป็นระยะๆ จากนั้นจึงเดินออกมาตามหาข้างนอกจนมาถึงเก๋งริมสระบัว เจ้าพยัคฆ์น้อยเห็นหลินหลินซบหลับกับอกเจ้าร่างยักษ์ก็ให้หงุดหงิด อยากจะกระโดดเข้าไปไล่เจ้าร่างยักษ์นั่นออกไปแล้วพานางกลับด้วยตัวเอง แต่ก็เกินกำลังที่มันจะทำได้ จึงเปลี่ยนความคิด หันหลังกลับไปยังเรือนหยกฟ้าอีกครั้ง ไปตามคนมาช่วยและผู้โชคดีในครั้งนี้ก็คือเสี่ยวสุ่ย สาวใช้ของหลินหลินที่นอนอยู่ห้องข้างๆ นั่นเอง

"คุณหนูหลับอยู่ ข้าจะอุ้มกลับเรือนหยกฟ้าเอง" เฟิ่งอิงอุ้มนางไว้ในอ้อมอกแกร่งของตน หันมากล่าวกับเสี่ยวสุ่ยเสียงเข้ม ใบหน้าเรียบเฉยคล้ายเป็นเรื่องปกติ

"จะ...เจ้าค่ะ" เสี่ยวสุ่ยรีบตอบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำอย่างมิลดละ พร้อมกับกวาดตามองไปโดยรอบ เพื่อดูว่ามีผู้ใดเห็นภาพที่มิใคร่เหมาะสมนี้บ้างหรือไม่

ส่วนเจ้าพยัคฆ์น้อยก็วิ่งนำหน้า เอี้ยวหัวมามองข้างหลังเป็นระยะๆ จนถึงเรือนหยกฟ้า มันกระโดดขึ้นไปนั่งที่ปลายเตียงมองเจ้าร่างยักษ์วางหลินหลินที่หลับปุ๋ยลงบนเตียงอย่างเบามือ จากนั้นผ้าห่มก็ถูกดึงคลุมจนถึงคอด้วยมือของอีกคนที่ตัวเล็กกว่า แล้วร่างใหญ่เล็กทั้งสองก็ออกไปพร้อมกับประตูที่ปิดลง เจ้าพยัคฆ์น้อยมุดเข้าไปในผ้าห่มแทรกตัวเข้าไประหว่างแขนกับลำตัวด้านข้างของหลินหลิน โผล่หัวกลมๆ เล็กๆ ออกมาวางบนต้นแขนนุ่มนิ่มของนางเช่นทุกครั้ง ก่อนจะหลับลงอย่างมีความสุข

"ฟู่" เฟิ่งอิงพ่นลมออกมาหลังพิงผนังข้างประตูเรือนหยกฟ้า ดวงตาคมเรียวดุทอดมองไปไกลอย่างไร้จุดหมาย จิตใจที่ปั่นป่วนเริ่มสงบลง ล้วงหยิบบางสิ่งที่ซ่อนไว้อย่างมิดชิดในอกเสื้อออกมาดูก่อนจะสูดดมเข้าไปเต็มปอด กลิ่นหอมกรุ่นของสมุนไพรหลายชนิดช่วยให้จิตใจผ่อนคลายลงทุกครั้งที่ได้สูดดม เฟิ่งอิงเก็บสิ่งนี้ไว้กับตัวตลอดเวลาแม้ในยามหลับ มันคือถุงเครื่องหอมที่คุณหนูอันเป็นที่รักมอบให้นั่นเอง อาจจะไร้ค่าในสายตาคนอื่น แต่สำหรับเฟิ่งอิง มันคือของล้ำค่าที่สุดที่หาซื้อมิได้และมีเพียงชิ้นเดียว

ยามเฉินวันต่อมา ณ เรือนแสงจันทร์ จวนเสนาบดีมู่

"อิ่มแล้วหรือ อาเหวิน" มู่ฮูหยินถามบุตรคนโตที่วางตะเกียบ แล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ หลังจากกินข้าวไปเพียงสามสี่คำเท่านั้น เมื่อวานกลับมาถึงก็ตรงกลับเรือนตนเองทันที มิอยู่สนทนาเช่นยามที่คู่หมั้นพักอยู่ที่นี่

"ขอรับ ข้าขอตัว" เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที ท่ามกลางความมึนงงของทั้งสาม

"ท่านแม่ ข้าคิดว่าพี่ใหญ่คงคิดถึงพี่หลินเอ๋อร์น่ะขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงยิ้มเศร้าพลางกล่าวกับมารดา เขาเองก็คิดถึงว่าที่พี่สะใภ้และเจ้าพยัคฆ์น้อยเช่นเดียวกัน

"อืม แม่เองก็คิดถึง เช่นนั้นเราไปเยี่ยมนางดีหรือไม่" มู่ฮูหยินเสนอ

"ดีขอรับ ข้าจะไปกับท่านแม่ด้วย" บุตรคนเล็กยิ้มกว้างอวดฟันขาว ดวงตาเปล่งประกายสุกใสราวอัญมณี

"เจ้าสองคนแม่ลูกไปกันเถิด ข้ายังมีงานต้องทำ" มู่หลิ่งฟู่กล่าวกับทั้งสอง

"เจ้าค่ะท่านพี่" มู่ฮูหยินยิ้มตอบสามี

"ข้ารีบไปบอกพี่ใหญ่ก่อนดีกว่า ขอตัวขอรับท่านพ่อท่านแม่"

"เฟิงเอ๋อร์ ช้าๆ หน่อย ระวังหกล้ม" มู่ฮูหยินร้องเตือนเสียงค่อนข้างดัง เมื่อเห็นอาการรีบร้อนขาดความสุขุมของบุตรชายคนเล็ก "เฮ้อ อาการหนักพอกันทั้งพี่ทั้งน้อง"

"เจ้าเองก็นั่งนับวันที่จะได้นางมาเป็นสะใภ้มิใช่หรือ" มู่หลิ่งฟู่เย้าฮูหยินของตน

"แน่สิเจ้าคะ สะใภ้ดีๆ แบบนางหาได้ง่ายๆ เสียเมื่อไรกัน" นางค้อนสามี

"อืม เจ้าพูดมาก็ถูก แต่ข้ายังมีเรื่องสงสัย" มู่หลิ่งฟู่กล่าวขึ้น

"สงสัย? เรื่องใดหรือเจ้าคะ"

"แหวนหยกคู่"

"อ้อ ข้าแค่อยากหาสิ่งของแทนใจที่เหมือนกันให้แก่อาเหวินของเรากับลูกสะใภ้ สิ่งที่สามารถพกติดตัวได้ง่ายและไม่เกะกะ กำไล ต่างหู ปิ่นปักผม ก็ดูจะมิใคร่เหมาะเท่าใดนัก สุดท้ายก็คิดว่าแหวนน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ใครจะคาดคิดว่าหลินเอ๋อร์จะใจตรงกับข้า คิดแล้วก็อดขำไม่ได้" มู่ฮูหยินยกมือปิดปากหัวเราะอย่างมีจริตพองาม

"อา...เป็นเช่นนี้เอง ข้าก็หลงนึกว่าเจ้ารู้เห็นเป็นใจกับนางเสียอีก" มู่หลิ่งฟู่พยักหน้าเมื่อความจริงกระจ่าง เพราะไม่เคยมีเรือนไหนใช้แหวนเป็นของหมั้นมาก่อนนั่นเอง

กลับมาที่คฤหาสน์สกุลชิง หลังอาหารเช้าผ่านไป

ชิงหลินกำลังสนทนาอยู่กับบิดามารดาอย่างมีความสุข ด้านข้างมีพ่อบ้านฝู แม่นมฝู และเสี่ยวสุ่ย ส่วนเสี่ยวอี้ผู้พี่รั้งอยู่เรือนหยกฟ้าตามคำสั่งของคุณหนูทั้งที่แผลหายดีแล้ว ส่วนเจ้าพยัคฆ์น้อยก็เดินสำรวจไปทั่วทั้งในและนอกเรือน โดยมีเจ้าร่างยักษ์จอมเย็นชาคอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ ซึ่งมันมิใคร่ชอบเท่าใดนัก

"พรุ่งนี้แล้วสินะที่ต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาท" ชิงหยวนเอ่ย

"ท่านพี่ ดูท่านเป็นกังวลมากนะเจ้าคะ" ชิงฮูหยินถามสามี

"อืม พระทัยของฮ่องเต้ยากจะคาดเดา หากพอพระทัยเราอาจจะรอดกลับมาอย่างปลอดภัย แต่ถ้าตรงข้าม เฮ้อ ข้าไม่อยากคิดเลย"

"ท่านพ่อ เราจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยเจ้าค่ะ" ชิงหลินบีบมือบิดาเพื่อให้กำลังใจ

"อืม ขอให้เป็นดังคำเจ้า" ชิงหยวนยิ้มอ่อนโยนให้บุตรี

"ข้าจะเตรียมอาหารเลิศรสไว้รอเจ้าค่ะ" ชิงฮูหยินกล่าว ชิงหยวนพยักหน้าแทนคำขอบใจ ก่อนจะหันมาเตือนบุตรี "หลินเอ๋อร์ จงระมัดระวังคำพูดให้ดี รู้หรือไม่"

"รับทราบ พร้อมปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเจ้าค่ะฮูหยิน" บุตรสาวลุกขึ้นตะเบ๊ะเหมือนทหาร รับปากเสียงดังด้วยท่าทางขึงขัง เรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากบิดา นางยิ้มกว้างที่ทำให้บิดาคลายความกังวลได้ แต่ต้องรีบหุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นสายตาตำหนิของมารดา

"เอ่อ...ขออภัยเจ้าค่ะ" บุตรสาวกล่าวขอโทษมารดาเสียงอ่อยแล้วหย่อนตัวลงนั่งช้าๆ

"เรียนนายท่าน มู่ฮูหยินกับคุณชายน้อยมาขอรับ" พ่อบ้านฝูรายงาน

"อา...รีบเชิญเข้ามาเร็วเข้า" ชิงหยวนสั่ง

ชิงหยวนอยู่ร่วมสนทนาครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขอตัว ตามด้วยชิงหลินที่พาเด็กน้อยไปเรือนหยกฟ้า จึงเหลือเพียงฮูหยินทั้งสองนั่งสนทนากันอย่างออกรส ส่วนมู่หลิ่งเหวินไม่ได้มาด้วย เนื่องจากมีภารกิจสำคัญ และแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับคู่หมั้นของตน หาใช่เรื่องอื่นไม่

ก่อนยามซื่อเล็กน้อย ณ เรือนดาวดึงส์

ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว รอเวลาออกเดินทางเข้าวังหลวงเท่านั้น ชิงฮูหยินตรวจดูความเรียบร้อยอย่างละเอียดอีกครั้ง วันนี้ชิงหยวนสามีของนางอยู่ในอาภรณ์สีน้ำตาลเข้มดูสง่างาม ผมเกล้าสูงเก็บเรียบร้อยคล้ายบัณฑิตทรงภูมิ ดูน่าเชื่อถือไม่น้อย

ส่วนบุตรีอยู่ในอาภรณ์สีขาว ชายกระโปรงและชายแขนเสื้อทั้งสองปักดอกเบญจมาศสีชมพูเข้ม เอวคอดกิ่วคาดด้วยแถบผ้าสีเดียวกับดอกเบญจมาศ ห้อยป้ายหยกขาวแกะสลักอักษรคำว่า 'ชิงพู่' ผมดำยาวถึงเอวครึ่งหนึ่งถูกแบ่งถักเป็นเปียช่อเล็กๆ แล้วรวบขึ้นสูง ปักตรึงด้วยปิ่นกระจกรูปดอกเบญจมาศ ผมอีกครึ่งปล่อยเป็นอิสระ

นางไม่ได้ใส่น้ำหอมเหม็นฉุนเช่นสตรีในวังหลวง มีเพียงชุดที่อบกลิ่นโมลี่อ่อนๆ เท่านั้น ใบหน้าจิ้มลิ้มถูกแต่งแต้มให้ดูมีสีสันพองามไม่ฉูดฉาด ทำให้นางดูงดงามโดดเด่นยิ่งนักในสายตาของทุกคน รวมถึงเฟิ่งอิงที่ยืนตะลึงมองคุณหนูดั่งต้องมนตร์สะกด ก่อนจะรีบตั้งสติ แต่กระนั้นดวงตาคมเรียวดุก็ยังคอยเหลือบมองนางอยู่ตลอดเวลาด้วยใจที่เต้นแรง

"ออกเดินทางได้!" เฟิ่งอิงออกคำสั่งเมื่อได้สัญญาณจากนายท่านที่ขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว

Próximo capítulo