การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น เฟิ่งอิงขี่ม้านำขบวน ร่างสูงใหญ่กำยำและองอาจ กอปรกับใบหน้าเรียบนิ่งเย็นชา ทำให้ดูน่าเกรงขามนักในสายตาของชาวบ้านธรรมดา
"ขบวนรถม้าจากจวนใดกัน ดูน่าเกรงขามแท้" เสียงชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นรถม้าขบวนหนึ่งผ่านหน้าไป
"เจ้าคงมาจากเมืองอื่นสิท่า จึงไม่รู้ว่านั่นคือขบวนรถม้าของท่านชิงหยวน คหบดีผู้มั่งคั่งและใจบุญอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉี หรืออาจจะเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าก็ว่าได้" ชายอีกคนตอบด้วยเสียงที่ดังพอสมควร น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมและเทิดทูน ด้วยครอบครัวเคยได้รับความช่วยเหลือมาก่อนคราวที่ประสบภัยแล้งติดต่อกันถึงสามปี จนไม่สามารถเพาะปลูกได้ ตัดสินใจทิ้งบ้านระหกระเหินเร่ร่อนมายังเมืองหลวงฉางอานเพื่อหางานทำ พอมาถึงก็ได้ยินว่ามีเศรษฐีใจบุญเปิดโรงทานนำอาหารมาแจกจ่ายชาวบ้านที่ประสบภัย
เดิมทีคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือ แต่เมื่ออับจนหนทางจึงลองเสี่ยงดวงไปตามคำบอกเล่า แล้วสิ่งที่ได้รับก็ทำให้เขาถึงกลับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความตื้นตันใจ เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่อาหารเท่านั้น แต่ยังมีที่พักอาศัยให้ซุกหัวนอนหลบแดดหลบฝน และที่สำคัญยิ่งคือมีงานให้ทำ แม้ต้องผ่านการทดสอบเพื่อดูความสามารถและความถนัดของแต่ละคนก่อนก็ตามที ขนาดขอทานยังได้รับโอกาสนี้
"ขนาดนั้นเชียวหรือ" ชายคนแรกถามด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแปลกใจ
"ข้ายืนยันได้ คำพูดพี่ชายท่านนี้ล้วนเป็นความจริง ไม่ได้ปรุงแต่งแต่อย่างใด" เสียงชายอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ดังขึ้นบ้าง
"ใช่ๆ ข้าขอยืนยันอีกคน" คราวนี้เป็นเสียงแหบๆ ของชายชราวัยหกสิบกว่า
"ข้าด้วย / ข้าด้วย" อีกหลายเสียงทั้งหญิงชายพูดสนับสนุนแทบจะพร้อมกัน
"ขออภัย หากคำพูดข้าสร้างความขุ่นเคืองให้พวกท่าน" ชายคนแรกรีบประสานมือกล่าวขอโทษผู้คนรอบข้าง
"ช่างเถิด ว่าแต่ขบวนรถม้านั่นกำลังจะไปที่ใดกัน" ชายที่ตอบคนแรกเอ่ยขึ้น
"ไอหยา นั่นเป็นเส้นทางไปวังหลวงนี่" เสียงแหบๆ ของชายชราที่ค่อนข้างดังกับท่าทีตกใจ ทำให้ผู้คนรอบข้างหันมามองอย่างสนใจใคร่รู้
"วังหลวงหรือ"
"ไปทำอันใดที่วังหลวง"
"ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า"
"หรือว่าสกุลชิงทำอันใดผิด"
"เจ้าจะบ้าหรือ หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องมีทหารและถูกล่ามโซ่สิ"
"อา นั่นสินะ ข้าลืมนึกไป"
"ข้าได้ยินมาว่าเป็นราชโองการจากฝ่าบาท ให้ท่านชิงกับบุตรีเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์"
"เจ้าว่าอันใดนะ เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์? แย่แล้ว คงไม่ใช่ฝ่าบาทต้องพระทัยบุตรีของท่านชิงหรอกนะ"
"ข้าคิดว่าคงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะนางมีคู่หมายอยู่แล้ว"
"เจ้าหมายถึงแม่ทัพมู่หลิ่งเหวิน?"
"ใช่ จะเป็นผู้ใดได้อีก"
"อา นั่นสินะ"
"สวรรค์! ได้โปรดช่วยคุ้มครองสกุลชิงให้แคล้วคลาดปลอดภัยด้วยเถิด" หญิงชราที่ยืนอยู่ข้างชายชราคุกเข่ากับพื้น เงยหน้าขึ้นมองฟ้า วิงวอนขอให้เง็กเซียนฮ่องเต้ เจ้าแห่งสวรรค์คุ้มครองคนสกุลชิง ดั่งปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ผู้คนนับสิบซึ่งอยู่ใกล้ๆ ต่างพร้อมใจกันทำตามหญิงชราอย่างพร้อมเพรียงด้วยความเต็มใจ ท่ามกลางสายตาของคนที่เดินผ่านไปมา รวมถึงกลุ่มคนห้าคนที่นั่งอยู่ที่ชั้นสองของโรงเตี๊ยม
"เสี่ยวเอ้อร์ ข้างนอกเอะอะเสียงดัง มีเรื่องอันใดหรือ" บุรุษที่เอ่ยถามเป็นชายวัยราวสี่สิบต้นๆ รูปร่างสูงโปร่ง สวมอาภรณ์สีน้ำตาลเข้มเรียบๆ แต่ความมันวาวของเนื้อผ้าบ่งบอกถึงความหรูหรา ลักษณะท่าทางคล้ายบัณฑิตคงแก่เรียน
"เรียนนายท่าน เมื่อครู่มีขบวนรถม้าของมหาเศรษฐีใจบุญผ่านไปขอรับ" เสี่ยวเอ้อร์หนุ่มร่างผอมตอบอย่างสุภาพ เหลือบมองด้วยความสนใจ ก่อนจะรีบก้มต่ำเมื่อถูกสายตาเขม่นมองของชายที่กำลังถามตน
"มหาเศรษฐีใจบุญ? หมายถึงผู้ใดกัน" บุรุษคนเดิมถามต่อ
"นายท่านคงมาจากที่อื่น" เสี่ยวเอ้อร์ถาม
"ใช่" บุรุษคนเดิมตอบสั้นๆ
"มหาเศรษฐีใจบุญผู้นั้นแซ่ชิง นามว่าหยวนขอรับ" เสี่ยวเอ้อร์ตอบ
"อา...เจ้าไปได้แล้ว" บุรุษคนเดิมโบกมือไล่หลังทราบคำตอบ
"คุณชาย เป็นคนเดียวกับคนที่สามารถหาอาชาสวรรค์สามสีและเสือขาวได้ด้วยเวลาเพียงสี่ห้าวันเท่านั้น ไม่ผิดแน่ขอรับ" ท่าทางสุภาพอ่อนน้อมและคำเรียกที่บ่งบอกฐานะสูงกว่าของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
"อืม เตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้ข้าจะไปเยือนคฤหาสน์สกุลชิง"
ผู้ที่ตอบเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม มีเอกลักษณ์ผิดกับชาวแคว้นฉีทั่วๆ ไป ผิวค่อนข้างขาว ริมฝีปากบางแดงเรื่ออย่างคนที่มีสุขภาพดี ดวงตาเฉี่ยวคมดูฉลาดเฉลียวและเจ้าเล่ห์เป็นประกายลึกล้ำ
"บุรุษผู้นั้นต้องเป็นคุณชายตระกูลดังหรือไม่ก็เชื้อพระวงศ์แน่ๆ" เสี่ยวเอ้อร์หันกลับไปมองแล้วพึมพำกับตัวเอง
เมื่อรถม้าของชิงหยวนและบุตรีมาถึงหน้าประตูกำแพงเมืองชั้นใน ทั้งคู่ก็ต้องเดินเท้าเข้าไปเพียงลำพัง โดยทั้งสองถูกตรวจค้นอย่างละเอียดอีกรอบ จากนั้นก็มีขันทีน้อยเป็นผู้นำทางไปยังตำหนักฟ้าทรงธรรม ซึ่งเป็นที่ประทับของฉีเฉินหลงฮ่องเต้
เส้นทางในช่วงสองเค่อแรกเป็นกำแพงหินสูงเสียดฟ้าขนานไปกับทางเดิน เมื่อพ้นกำแพงยักษ์ก็ปรากฏภาพทิวทัศน์อันงดงามจนชิงหลินตะลึงตาค้าง ดอกไม้นานาพรรณบานสะพรั่งหลากสีสันสวยสดงดงาม มีทางเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ มากมายจนน่าเวียนหัว นางมั่นใจเต็มร้อยเลยว่าหากมาคนเดียวต้องหลงทางอย่างแน่นอน
"ท่านทั้งสองโปรดรอที่นี่" ขันทีน้อยแจ้งแก่ทั้งสองแล้วเดินซอยเท้าถี่ๆ จากไปอย่างรวดเร็ว
ชิงหลินจึงถือโอกาสเงยหน้าสำรวจไปรอบๆ ก็เห็นนางกำนัลสี่นางยืนสงบนิ่งอยู่ข้างหลัง ด้านหน้าคือศาลาสี่เสาสีขาวขนาดใหญ่ที่น่าจะจุคนได้ไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน คล้ายเก๋งริมสระบัวที่สกุลชิง เพียงแต่หรูหรากว่าและงดงามกว่าหลายเท่านัก ขอบคานทั้งสี่ด้านฉลุลายมังกรสองตัวหันหน้าเข้าหากัน
ฝ่ายชิงหยวนเลือกที่จะยืนนิ่งๆ สองมือไพล่หลัง ดวงตาคมมองสำรวจรอบอุทยานหลวงอย่างสงบ ก่อนจะหันมาจับจ้องบุตรีที่เดินขึ้นบันไดขั้นเตี้ยๆ สามขั้นเข้าไปในศาลาริมสระบัวขนาดใหญ่ ในสระบัวเต็มไปด้วยดอกบัวหลากสีสันสวยงามตระการตายิ่งนัก ล้วนแต่เป็นพันธุ์หายากและราคาสูง แม้ชิงหยวนจะชื่นชอบ แต่ก็ไม่ได้มีใจละโมบอยากได้ของผู้อื่น และไม่คิดจะทุ่มเงินหาซื้อเพื่อโอ้อวดความมั่งมีของตน เพราะการครอบครองสิ่งล้ำค่ามักจะนำพาความเดือดร้อนและอันตรายมาสู่ตนเองและครอบครัวเสมอ
ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ
ขันทีน้อยคนเดิมก็กลับมา และนำทางทั้งสองตรงไปยังตำหนักฟ้าทรงธรรมซึ่งอยู่ใจกลางวังหลวง มีทหารองครักษ์คุ้มกันอย่างแน่นหนา โอกาสที่จะลอบเข้ามาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดแล้วกลับออกไปได้อย่างปลอดภัยนั้นยากยิ่งนัก
ชิงหลินเดินก้มหน้าตามหลังบิดา มีชำเลืองมองด้านข้างบ้างเป็นระยะๆ เห็นเพียงดอกเบญจมาศหลากสีปลูกเป็นทิวแถวขนานไปกับทางเดินอันแสนยาวไกลนี้เท่านั้น จนกระทั่งมาถึงตำหนักฟ้าทรงธรรม
พอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก็เห็นขันทีน้อยเดินไปหาขันทีที่ยืนอยู่ด้านในของประตู โดยมีองครักษ์ร่างใหญ่พอๆ กับเฟิ่งอิงยืนเอาสองมือไพล่หลังข้างประตูทางเข้า หน้ามองตรงไม่ขยับเขยื้อนเหมือนรูปปั้น เพียงครู่เดียวก็ได้ยินขันทีคนนั้นประกาศด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง
"เบิกตัวคหบดีชิงหยวนและชิงหลินบุตรีเข้าเฝ้า…"
"ไปเถิด" ชิงหยวนยืดตัวตรงพลางกล่าวกับบุตรี
"เจ้าค่ะ"
เมื่อเข้ามาด้านในตำหนักฟ้าทรงธรรม ชิงหลินไม่ได้รับอนุญาตให้เงยหน้าโดยพลการ จึงไม่รู้ว่าในตำหนักแห่งนี้ นอกจากองค์ฮ่องเต้แล้ว ยังมีคู่หมั้นหมาดๆ นั่งจ้องนางทุกย่างก้าวนับแต่ที่ปรากฏตัวขึ้น
"ถวายพระพรฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี" ชิงหยวนคุกเข่ากล่าวถวายพระพรฮ่องเต้ทันทีที่เข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ ทำให้ชิงหลินรีบทำตามแทบไม่ทัน
"ลุกขึ้น" สุรเสียงกังวานทรงพลังอำนาจทำให้ชิงหลินตื่นเต้นจนเหงื่อแตก
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ / เพคะ" ชิงหยวนและบุตรีกล่าวพร้อมกัน แล้วลุกขึ้นยืนก้มหน้าต่ำ สองมือประสานกันอยู่ด้านหน้าอย่างรู้มารยาท
ฉีเฉินหลงสั่งขันทีประจำพระองค์ให้นำเก้าอี้มาให้ทั้งสอง ท่ามกลางความปลาบปลื้มใจแก่ชิงหยวนยิ่งนักที่ได้รับเกียรติอันสูงส่งนี้
"เป็นพระกรุณายิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนเดินไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างฝั่งตรงข้ามแม่ทัพหนุ่ม
ตำหนักฟ้าทรงธรรมเป็นที่ประทับขององค์ฮ่องเต้ มีทางเชื่อมต่อไปยังท้องพระโรงใหญ่ที่ฮ่องเต้ออกว่าราชกิจเกี่ยวกับบ้านเมืองเป็นหลัก ส่วนที่แห่งนี้ถือได้ว่าเป็นท้องพระโรงเล็ก ใช้ว่าราชกิจทั่วไปหรือราชกิจลับเฉพาะบางประการ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจขององค์ฮ่องเต้
พอนั่งเรียบร้อย ดวงตาก็พลันกระตุกเมื่อเห็นแม่ทัพหนุ่มนั่งอยู่ทิศตรงข้าม จึงค้อมศีรษะให้ก่อนจะพยักหน้าตอบ
"เราเรียกเจ้ามาเพราะมีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย" ฉีเฉินหลงกล่าว
"พ่ะย่ะค่ะ"
"เราอยากให้บุตรีของเจ้าช่วยร่างแบบตำหนักใหม่ให้องค์รัชทายาทแทนตำหนักหลังเก่าที่ทรุดโทรม"
"ร่างแบบตำหนัก? เรื่องใหญ่เช่นนี้กระหม่อมเกรงว่า..." ชิงหยวนขยับตัวอย่างอึดอัดใจ และรู้สึกกังวลใจขึ้นมาแม้จะรู้ฝีมือของบุตรี แต่ภารกิจใหญ่เช่นนี้ หากล้มเหลวบุตรีของตนจะไม่ต้องโทษประหารหรอกหรือ
ฝ่ายชิงหลินพอได้ฟังก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ประหลาดใจกับรับสั่งขององค์ฮ่องเต้ ดวงตากลมโตเหลือบมองผู้ที่ประทับบนบัลลังก์ทอง ก็เห็นบุรุษรูปงามวัยกลางคนอายุราวสี่สิบห้าปี มีส่วนคล้ายองค์รัชทายาทอยู่บ้าง โดยเฉพาะพระเนตรและพระโอษฐ์ สวมชุดมันเลื่อมสีเหลืองทอง ชายชุดปักรูปมังกรห้าเล็บสีแดงเข้ม ผมเกล้าขึ้นสูงครอบมังกรสีเหลืองทอง ซึ่งนางคิดว่าน่าจะเป็นทองคำแท้ กำลังมองมาที่ตนก็ตกใจจนต้องรีบก้มหน้าต่ำ
"หืม? มีอันใดขัดข้องหรือ" ฉีเฉินหลงถาม
"ทูลฝ่าบาท ภารกิจยิ่งใหญ่เช่นนี้ กระหม่อมเกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนรีบคุกเข่าลงกับพื้น พลอยทำให้ชิงหลินต้องคุกเข่าตามไปด้วย
"เรื่องนั้นไว้เราจะตัดสินทีหลังเอง" ฉีเฉินหลงสะบัดมือด้วยความรำคาญที่ถูกขัดใจ
"เอ่อ...พ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนลุกกลับมานั่งที่เดิม
"ทูลฝ่าบาท หากนางทำภารกิจสำเร็จ น่าจะพระราชทานรางวัลให้เป็นสิ่งตอบแทนนะพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งเหวินกล่าว หลังจากที่นั่งเงียบๆ มาพักใหญ่
"ย่อมมีแน่นอน เจ้าอยากได้อันใดว่ามา" ฉีเฉินหลงถามชิงหลิน
"เอ่อ..." ชิงหลืนสะดุ้ง เหลือบมองคู่หมั้น เมื่อเห็นเขาพยักหน้าแล้วเดินออกมายืนตรงกลางเคียงข้างนางก็นึกอุ่นใจขึ้นมาหน่อย
"ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอพระราชทานอนุญาตทูลขอแทนคู่หมั้นของกระหม่อมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งเหวินกราบทูลอย่างห้าวหาญ ไร้ความเกรงกลัวต่ออำนาจบารมีที่แผ่ออกมากดดันอย่างต่อเนื่องจากฉีเฉินหลงฮ่องเต้
"ว่ามา" ฉีเฉินหลงอนุญาต
"ฝ่าบาททรงทราบเรื่องการตามหาสัตว์ทั้งสี่ อันได้แก่อาชาสวรรค์สามสีสามตัวและพยัคฆ์ขาวแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
"ใช่ เรารู้เรื่องนั้นแล้ว" ฉีเฉินหลงตอบ
"เช่นนั้นทรงทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ...ว่าผู้ใดเป็นผู้ดูแลสัตว์ทั้งสี่"
"อืม เจ้าต้องการจะพูดอันใดกันแน่" ฉีเฉินหลงเริ่มหงุดหงิดกับการอ้อมไปอ้อมมาของแม่ทัพหนุ่ม
"กระหม่อมอยากขอพระราชทานอนุญาตให้คู่หมั้นของกระหม่อมได้สิทธิ์ในการดูแลพยัคฆ์ขาวจนกว่ามันจะโตเป็นพยัคฆ์หนุ่มที่องอาจน่าเกรงขามแล้วค่อยถวายฝ่าบาท. ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
ได้ฟังที่เขาพูดแล้วชิงหลินก็พลันมีสีหน้าประหลาดใจระคนซาบซึ้งใจ เพราะไม่คิดว่าเขาจะทำได้ตามที่พูดไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ โดยมีสายตาชื่นชมจากชิงหยวนส่งมาให้
"ได้! เราอนุญาต ในทางกลับกัน ถ้านางทำงานล้มเหลวเล่า" แม้จะไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดแม่ทัพหนุ่มจึงขอเรื่องไร้สาระเช่นนี้
"กระหม่อมยินดีรับพระอาญาตามแต่พระองค์จะเห็นสมควรพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพหนุ่มตอบหนักแน่นจริงจัง ไร้ความลังเล
"ฮ่าๆๆ ดี! ตกลงตามนั้น" ฉีเฉินหลงสะบัดมือ หัวเราะออกมาดังลั่นจนเหล่าขันทีนางกำนัลและองครักษ์ที่อยู่บริเวณใกล้ๆ เหลือบมองอย่างประหลาดใจ เหตุเพราะยากนักที่จะมีโอกาสเห็นฝ่าบาทสำราญเช่นนี้ได้
"เอาละ พวกเจ้าออกไปได้" ฉีเฉินหลงไล่ทั้งสาม
"กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ / หม่อมฉันทูลลาเพคะ" ทั้งสามทูลลาอย่างพร้อมเพรียง
"ท่านแม่ทัพ โปรดรอสักครู่" อู่เต๋อจงรีบเดินเข้ามาหาทั้งสามคนที่ออกมาจากตำหนักฟ้าทรงธรรมแล้ว
"มีอันใดหรืออู่กงกง" มู่หลิ่งเหวินถาม
"ฝ่าบาทรับสั่งว่า การร่างแบบครั้งนี้มีกำหนดให้จนถึงวันที่สิบห้าเดือนหก ให้ท่านชิงและบุตรีนำมาถวายให้ทอดพระเนตรยามอุ้ยวันที่สิบหกเดือนหก ซึ่งก็คือห้าวันหลังจากงานวันคล้ายวันพระราชสมภพ โดยมอบหมายให้องค์รัชทายาทเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้" อู่เต๋อจงร่ายยาว
"ข้าทราบแล้ว ขอบคุณอู่กงกง" มู่หลิ่งเหวินตอบแทนชิงหยวน
อู่เต๋อจงอวยพรก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในตำหนัก
"ท่านลุง ข้าจะไปส่งท่านเอง เชิญขอรับ" เมื่อกล่าวกับชิงหยวนแล้วก็เหลือบมองคู่หมั้น พลันชะงักเมื่อเห็นนางยิ้มให้
"ขอบคุณเจ้าค่ะ" ชิงหลินขอบคุณเขาขณะที่เดินเคียงคู่กันกลับคฤหาสน์ ชิงหยวนเดินนำหนุ่มสาวทั้งสอง โดยมีขันทีน้อยคนเดิมนำอยู่หัวขบวน
"หึๆ เอาไว้ให้งานนี้สำเร็จก่อนเถิด แล้วเจ้าค่อยขอบคุณข้า" มู่หลิ่งเหวินกระซิบข้างหูคู่หมั้น เขามีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่าคู่หมั้นของตนจะทำงานนี้สำเร็จลงได้อย่างมิต้องสงสัย แต่ถ้าไม่…ตนก็แค่รอรับพระอาญาจากฝ่าบาทเท่านั้น