webnovel

บรรดาแขกเมืองแปลกหน้า ๒

ด้วยพระราชเสาวนีย์ทำให้เจ้ากรมวังพร้อมด้วยนางดานองหัวหน้านางกำนัลคนปัจจุบันเป็นผู้คุ้มกันพระพี่นางมังอะถ้วย เจ้าหญิงนั่งบนเสลี่ยงติดม่านบาง ส่วนเจ้าชายมังสามเกียดเนื่องจากจะเดินทางต่อจึงไม่ขอกองขบวนใหญ่โต นอกจากพระพี่เลี้ยงคนสนิททั้งสองก็มีเพียงซิมาว เดอเมลโลเป็นองครักษ์คุ้มกันใกล้ชิด

เจ้าชายมังสามเกียดรับรู้ด้วยพระองค์เองว่าตนเป็นเพียงผู้ต้อนรับชั้นรอง หน้าที่นี้แต่เดิมคงเป็นหน้าที่ของพระพี่นางผู้หนึ่งผู้ใด และด้วยพระองค์จะออกนอกวังพอดีจึงถูกไหว้วานมาพร้อมกัน เจ้าชายคาดเดากับนาถะยาว่าสำหรับพ่อค้าวาณิชเรื่องนี้ย่อมถือเป็นเกียรติ การต้อนรับอาจช่วยผลต่อรองระหว่างพระนางและกิจการคณะนี้คงดำเนินไปด้วยดี ในทางแจ้งและทางลับ ซึ่งไว้มีโอกาสเจ้าชายจะสืบหาความจริงต่อไป

เป็นครั้งแรกที่นาถะยามองเห็นเหล่ากองคาราวานสินค้าขนาดใหญ่ในการอุปถัมภ์ของอัครมเหสี มีธงทิวและตรารูปหงส์สยายปีกที่โดดเด่น พวกเขาต่างเป็นชาวต่างชาติแทบทั้งสิ้น โดยมากเป็นชาวตะวันออกกลาง ต่างก็มีทั้งช้างม้าและวัวควายเทียมต่างบรรทุกของหายากหลากชนิดและแพรพรรณงาม ความอลังการมั่งคั่งที่พระนางเจ้ากล่าวว่าร่ำรวยเทียบเคียงมหาราชาในชมพูทวีปคงไม่เกินจริง

ฝ่ายสองราชนิกูลหงสาวดีจ้องมองคณะวาณิช ไม่นานนักขบวนคาราวานแขกเมืองแปลกหน้าก็หยุดกอง มีคนสองคนควบขี่ม้าอาหรับชั้นดีมาทางผู้ต้อนรับ คนหนึ่งแต่งกายสมสตรีชั้นสูงสีแดงเลือดนก เธอสวมหมวกคาดศีรษะ ร่างสูงระหง ผิวกร้านแดดเพียงใบหน้ากับข้อมือ ถักผมน้ำตาลยาวจรดเอวควบขี่อาชามาอย่างชำนาญ พร้อมเด็กติดตามอีกคนซึ่งวัยประมาณเจ้าชายมังสามเกียดมาด้วย

"ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งหงสาวดี ข้าแต่เยซูเจ้า ข้าผู้น้อยมารีอา บุตรีแห่งกลุ่มการค้าเดอมาร์โครา ขอถวายบังคมแด่พระนามจอมราชันผู้ยิ่งใหญ่และเมตตาแห่งหงสาวดี ขอพรมงคลสถิตแด่ท่านผู้ให้เกียรติต้อนรับแก่คณะของพวกเรา" หญิงสาวเอ่ยวาจาสำเนียงแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับชาวหงสาวดี

เมื่อได้ยินชื่อเจ้าชายก็นึกออก เมื่อครั้งพระองค์รับตำแหน่งมหาอุปราชา กิจการเดอมาร์โคราก็เป็นหนึ่งในวาณิชเก่าแก่ที่สนับสนุนหลายด้าน วาณิชกลุ่มนี้มาจากดินแดนตะวันออกกลางอันห่างไกล ว่ากันว่าชนกลุ่มนี้นับถือพระผู้เป็นเจ้าเป็นกลุ่มแรกๆ เพราะมีสงครามบ่อยครั้งจึงเดินทางพเนจรมาทำการค้าเรื่อยมาจนถึงอินเดีย และอินเดียสู่เมืองหงสาวดีอีกทอด และในยุคของพระองค์กลุ่มการค้ากลุ่มนี้ก็กระจายเครือข่ายไปถึงกรุงศรีอยุธยา

"เราสองยินดีที่พวกเจ้าทั้งหลายมาถึงหงสาวดีโดยสวัสดิภาพ ธิดาวาณิชแห่งเดอมาร์โครา เสด็จย่าของเรายินดียิ่งหากพวกเจ้าจะช่วยให้เขตการค้าเฟื่องฟูยิ่งขึ้นไป" หลานหลวงองค์รองของวังหน้าตรัสต้อนรับแขกเมือง ในความเป็นจริงแล้วนี่เป็นบทที่เจ้าหญิงตระเตรียมกับเจ้าชายผู้น้องล่วงหน้าเพื่อแบ่งกันรับส่งบท เพื่อนำแขกเมืองไปที่พำนักต่อไป

"เราตั้งใจให้คณะของเจ้าทั้งหลายพำนักใกล้ราชวังฝั่งตะวันออก บริเวณคูเมืองใกล้ชุมชนโปรตุเกส เพราะเราเห็นว่าพวกเจ้าต่างถือรีตศาสนาเดียวกัน..." เจ้าชายตรัสต่อ

"ความใส่ใจของพวกท่าน เราซาบซึ้งยิ่งนัก เมื่อใดที่สถานีการค้าสร้างในหงสาวดีเสร็จลุล่วงเราจะรายงานแก่ท่านทั้งหลายโดยเร็ววัน" มารีอาโค้งอย่างน้อบน้อม

"...เช่นนั้นเราจะพาผู้นำสถานีการค้าคนใหม่ไปยังที่พำนัก" เจ้าหญิงมังอะถ้วยดำรัส ทว่าเมื่อได้ยินธิดามหาวาณิชก็ยกยิ้มเล็กน้อย เธอหันไปยังผู้ติดตามวัยสิบปีใกล้กายก่อนจะเอ่ยกับสองราชนิกูลทั้งสองของหงสา

"เป็นเกียรตินัก แต่ข้ามิได้เป็นผู้ดูแลการค้าที่นี่ลำพัง" มารีอาผ่านมือไปทางผู้ขี่ม้าใกล้ตน "เมยะ ทายาทแห่งฮาลา-คเล จะเป็นผู้ดูแลสถานีการค้าร่วมกับกลุ่มการค้าเดอมาร์โครา เป็นผู้มีวิชาความรู้ เกียรติและคุณสมบัติที่วาณิชพึงมีไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด ข้ารับรองความจริงข้อนี้"

"เช่นนั้นฤๅ..." เจ้าหญิงมังอะถ้วยและเจ้าชายมังสามเกียดทอดพระเนตรเด็กที่ขี่อาชามาด้วยกับแม่นางมารีอา เขาอาจสูงกว่าเจ้าชายมังสามเกียด ร่างผิวกร้านแดด ชุดแต่งกายตามค่านิยมบุตรหลานบุรุษตะวันออกชั้นสูง ดวงตาคมขลับ ท่าทางสง่างามน่าประทับใจ

จังหวะนั้นสายตาของเจ้าชายก็สบกับเมยะ เขาจ้องกลับ มองนิ่งอยู่ครู่หนึ่งราวกับใคร่ครวญบางอย่างก่อนจะโค้งศีรษะให้แก่ราชนิกูลผู้มาต้อนรับ นาถะยามองอยู่เงียบๆ ก็ล่องลอยมาหาเจ้าชายที่เลี่ยงพลางกระซิบ

'อายุน่าจะมากกว่าพระองค์นิดเดียว ดูแลการค้าทั้งเมืองได้แล้วฤๅ'

'ประหลาดตรงไหน ข้าเกิดมาก็เป็นเจ้าชายของทั้งอาณาจักร เสด็จอาของข้าที่เมาะตะมะก็ครองเมืองตั้งแต่อายุประมาณนี้'

'แล้วพระองค์กับเขาเคยเจอกันหรือไม่ คนผู้นี้ไว้ใจได้หรือไม่พระองค์'

เจ้าชายทรงนิ่งก่อนตอบนาถะยาในใจ 'ไม่รู้ ไม่คุ้นหน้าเลย อาจเคยมาก็ได้แต่ไม่เห็นจะเรื่องสำคัญ พ่อค้าเมืองตะวันออกมีตั้งหลายแห่ง ข้าจะไปจำบรรดาแขกเมืองแปลกหน้าทั้งหมดได้อย่างไร เอาเถิด เรื่องของพ่อค้าก็ให้พ่อค้าจัดการกันไป'

'ว่าอย่างไรก็ว่าตามกันพระองค์'

"พวกเราจะนำข่าววาณิชทั้งสองแจ้งแก่ราชสำนักต่อไป" เจ้าชายตรัสกับสองวาณิชอย่างเป็นปรกติ ทั้งสองล้วนโค้งศีรษะตอบรับ ก่อนที่เจ้าชายเจ้าหญิงหงสาจะนำขบวนหันไปส่งแขกเมืองที่ถิ่นพำนักซึ่งอยู่ไม่ไกล ในตอนนั้นมารีอาก็กุมบังเหียนม้า ส่งสัญญาณแก่ขบวนวาณิชให้ติดตามขบวนราชวงศ์เพื่อเข้าสู่เขตพำนัก

"นั้นนะฤๅ เจ้าชายมังสามเกียดแห่งหงสาวดี" เมยะพูดกับมารีอาเสียงกระซิบ "ได้ยินมาว่าเป็นเจ้าชายนิสัยร้ายกาจเหลือทน เอาใจตนเป็นที่ตั้ง บ่าวไพร่ในราชวังโดนไล่ไม่เว้นวัน ซ้ำเกลียดคร้านการเรียนเข้ากระดูกดำ"

"ข้าก็ได้ยินมาเช่นนั้น ยังหวาดหวั่นในใจว่าผลจะดีหรือร้าย" มารีอายิ้มที่มุมปาก ปรายตาไปทางขบวนที่มาตอนรับเดินจากไปประมาณหนึ่งแล้วจึงเอ่ย "แต่ถ้าถามความเห็น ก็ไม่เห็นพ้องสักเท่าไร โล่งใจไปเปราะใช่หรือไม่ เมยะ...เพราะอย่างไรก็ดี อนาคตต้องร่วมเป็นพันธมิตรกัน...แน่นแฟ้น..."

"โล่งใจไม่ได้หรอกหนามารีอา จะคู่ควรเป็นพันธมิตรหรือเปล่าก็ต้องดูหลังจากนี้"

"หากข่าวลือเป็นจริง ในฐานะจะไปทำความรู้จักก็อาจไม่น่าคบค้าสมาคมสักนิด แต่ในฐานะธุรกิจ อุปนิสัยก็ไม่ได้ส่งผลต่อผลกำไร...แต่ก็นั้นแหละหนา ข่าวลือลอยตามลมหรือก็หารู้ไม่ จักรู้แจ้งก็ต้องหาเรื่องพิสูจน์เท่านั้น" บุตรีสกุลมหาวานิชผิวปากเบา ๆ ก่อนจะใช้ปลายเท้ากระตุ้นอาชาของตนให้เร่งความเร็ว

เมยะหันไปมองขบวนราชวงศ์หงสา ก่อนรอยยิ้มเล็กๆจะปรากฏขึ้น

"ถูกของเจ้า หาเรื่องพิสูจน์..."