ตอนที่ 14 เผลอตัวเผลอใจได้ง่ายๆ
เสียวเป่าหลับสนิทไปแล้ว เธอค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงเพื่อออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อเปิดประตูห้องนอนออกไปก็พบลู่ถิงเซียวกำลังรินน้ำดื่ม มือข้างหนึ่งกุมท้อง ใบหน้าขาวซีด
หนิงซีรีบเดินเข้าไปหา “คุณลู่ คุณไม่เป็นไรนะคะ?”
“ไม่เป็นไร”
“เอ๊ะ คุณปวดท้องใช่ไหมคะ?”
ลู่ถิงเซียวไม่พูด
หนิงซีรู้ว่าตนเองทายถูกแล้ว
เฮ้อ ที่แท้ลู่ถิงเซียวก็กินเผ็ดไม่ได้ ในเมื่อกินไม่ได้แล้วยังจะกินทำไม?
“รอเดี๋ยวนะคะ ฉันไปหยิบยาโรคกระเพาะให้”
เคราะห์ดีที่มียาสามัญประจำบ้านอยู่
หนิงซีรีบนำยามายื่นให้เขา “ทานสองเม็ดเลยนะคะ”
“ขอบใจ”ลู่ถิงเซียวรับยาไปจากมือของหล่อน นิ้วเย็นๆ สัมผัสเข้าที่มือ ความรู้สึกแบบนั้น เหมือนแล่นผ่านเข้าไปในหัวใจ ทำเอาตัวเธออ่อนปวกเปียกขึ้นทันที
บรรยากาศในค่ำคืนที่ฝนตกฟ้าร้อง ทั้งยังภาพความงดงามที่อยู่เบื้องหน้า สามารถทำให้คนเผลอตัวเผลอใจกันได้ง่ายๆ!
หนิงซีท่องอัตราส่วนเส้นรอบวงในใจอยู่ชั่วครู่ ถึงค่อยสงบจิตสงบใจลงได้
มองดูลู่ถิงเซียวที่กินยาเข้าไปแล้ว ไม่อยากรีบร้อนจากไป คิดว่าควรอยู่เป็นเพื่อนเขาสักครู่
“ดีขึ้นบ้างรึยังคะ? ต้องการไปโรงพยาบาลไหม? ขอโทษด้วย ฉันไม่รู้ว่าคุณทานเผ็ดไม่ได้...”
เดิมทีคนที่เป็นห่วงคือเสียวเป่า ปรากฎว่าซาลาเปาน้อยไม่เป็นอะไร กลายเป็นลู่ถิงเซียวซะอีกที่มีปัญหา นี่มันอะไรกันเนี่ย...
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น”
ทั้งสองเงียบไปชั่วครู่ ลู่ถิงเซียวจึงพูดขึ้นมาว่า “คืนนี้ที่มารบกวน เพราะเสียวเป่าอยากพบหน้าเธอ”
หนิงซีนึกไม่ถึง “เสียวเป่าอยากเจอฉัน?”
“เมื่อตอนอยู่ในห้องเก็บสินค้าเสียวเป่าตกใจมาก คุณเป็นคนช่วยเขาไว้ ตอนนี้เขาเห็นคุณเป็นที่พึ่ง” ลู่ถิงเซียวอธิบาย
หนิงซีพบว่า ขอเพียงมีเสียวเป่าอยู่ข้างๆ หรือตอนพูดอะไรที่เกี่ยวกับเสียวเป่า ความเย็นชาของลู่ถิงเซียวจะลดระดับลงอย่างมาก ไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อตอนกลางวันนี้
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง...” หนิงซีพยักหน้า
คงเพราะในช่วงค่ำคืนแบบนี้ทำให้คนอารมณ์ปล่อยวาง ไร้กังวล หนิงซีจึงถามคำถามที่สงสัยมาตลอดออกไป
“คือว่า ฉันอยากถามอะไรอย่างหนึ่ง เสียวเป่าเขาพูดไม่ได้รึเปล่าคะ?”
จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ได้ยินเสียวเป่าพูดออกมาสักคำเดียว เด็กน้อยทำได้เพียงพยักหน้ากับส่ายหัว
“ไม่ใช่พูดไม่ได้ แต่ไม่อยากพูด” ลู่ถิงเซียวตอบ
“งั้นก็คงเป็นปัญหาจากสภาพจิตใจ?” หนิงซีขมวดคิ้ว
“ใช่” ลู่ถิงเซียวไม่ปิดบัง
“อย่างนี้นี่เอง...” ไม่ผิดจากที่เธอเดามากนัก
ส่วนที่ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรที่กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจของเด็กน้อยจนมีปัญหาไม่ยอมพูดนั้น พวกความลับของตระกูลใหญ่แบบนี้ เธอเองไม่กล้าถามซอกแซกต่อ
“คุณหนิง” อยู่ๆ ลู่ถิงเซียวก็หันมามองที่เธอ แววตาเยือกเย็น แต่กลับทำให้เธอรู้สึกร้อนวูบวาบ
“คะ?” หนิงซีถูกจ้องจนเสียขวัญ
“เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า?” ลู่ถิงเซียวถาม
หากเป็นคนอื่นถาม หนิงซีก็จะคิดว่าเขากำลังเกี้ยวพาราสีเธออยู่ ซ้ำยังใช้มุกเชยๆ อีกด้วย แต่คนที่พูดอยู่ตรงหน้าเธอคนนี้คือลู่ถิงเซียว หนำซ้ำแววตาครุ่นคิดนั้นก็ดูจริงจัง
“คงไม่หรอกค่ะ คนระดับคุณลู่ ถ้าฉันเคยเจอก็ต้องจำได้แน่นอน... เอ่อ ไม่ทราบมีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ?”
น้ำเสียงของหนิงซีดูมั่นใจ สถานะอย่างเธอ ต่อให้ยังเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหนิง ก็ยังไม่มีโอกาสได้พบกับคนระดับลู่ถิงเซียวด้วยซ้ำ
“ไม่มีอะไร” ลู่ถิงเซียวเบนสายตาไปทางอื่น จ้องมองไปยังท้องฟ้ามืดมิดภายนอกหน้าต่าง แลดูโดดเดี่ยว
เหมือนจะอยู่อย่างลำพังต่อไปแบบนั้น บรรยากาศเริ่มไม่ค่อยดี!
“คุณลู่คะ ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวไปนอนก่อนนะคะ?” หนิงซีพูดอย่างระมัดระวัง
ลู่ถิงเซียวเหมือนจะอ่านใจเธอออก ผายมือขึ้น “ไม่รีบ นั่งก่อน”
ไม่รีบกับผีอะไร! ฉันรีบจะแย่อยู่แล้ว!