webnovel

บทที่ 8 อาณาจักรเหนือ

1 สัปดาห์ผ่านไปสองสาวที่วางแพลนจะไปเมืองมาธิออคัสต่างยกของขึ้นรถแต่เช้าสำหรับการเดินทางครั้งนี้

"อนาตาเซียเธอขนของขึ้นรถเรียบร้อยแล้วหรอ"

เบลินด้าถามหลังจากพบว่ากระเป๋าของอนาตาเซียที่ขนมาถูกนำขึ้นรถไปหมดแล้ว

"ของฉันเก็บเสร็จแล้ว เดี๋ยวฉันช่วยเธอขนของเอง"

พูดจบอนาตาเซียก็เดินตรงไปหยิบกระเป๋ามากมายของเบลินด้าขึ้นรถอย่างรวดเร็ว

"เบลินด้าเธอขนอะไรไปเยอะจัง"

"พอดีฉันจะไปเยี่ยมญาติที่นั่นด้วย เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าฉันจะพาเธอไปเยี่ยมญาติของฉันด้วย"

"ไม่หรอก แล้วแต่เธอเลย"

"เอาล่ะขนของเสร็จแล้วพวกเราออกเดินทางกันเถอะ"

เบลินด้ากล่าวก่อนก้าวเท้าเข้าไปในรถแล้วเหยียบคันเร่งเพื่อออกเดินทางทันที

เบลินด้าขับรถคันสีเหลืองอ่อนของตนออกจากโรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟียมุ่งหน้าไปเมืองมาธิออคัสอย่างรวดเร็ว เบลินด้าขับรถชมวิวตามทางไปเรื่อยๆโดยไม่เร่งรีบจนเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ในที่สุดทั้งสองก็เริ่มเข้าเขตเมืองมาธิออคัสสักที

ตามถนนสายหลักรูปร่างแปลกตามีป้ายขนาดใหญ่มหึมาตั้งเด่นผง่าแสดงให้เห็นถึงชื่อเมืองของอาณาจักรเหนือและความยิ่งใหญ่อลังการของเมืองนี้ ริมถนนสายหลักในเมืองเต็มไปด้วยรั้วเหล็กทอดยาวไปไกลอย่างไม่รู้จุดจบ รอบรั้วเหล็กอันยิ่งใหญ่แข็งแรงมีปฏิมากรรมสัตว์มากมายถูกสร้างขึ้นโดยการใช้แท่งเหล็กสีดำสนิทหล่อหลอมจนเกิดเป็นรูปร่างสัตว์ในตำนานและสัตว์หายากมากมายของดินแดนแห่งเวทมนต์ สัตว์มากมายในดินแดนนี้ส่วนใหญ่ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากอาณาจักรเหนือ หรือเรียกอีกอย่างว่าดินแดนแห่งสรรพสัตว์ชั้นสูง

ภายในโรงเตี๊ยมสำหรับพักผ่อนทั้งสองเดินทางตรงมายังที่พักก่อนจะขนของลงจากรถและติดต่อพนักงานเพื่อเอากุญแจหมายเลขห้องของตน

"นี่เป็นกุญแจห้องของเธอนะอนาตาเซีย"

เบลินด้ากล่าวพร้อมยื่นกุญแจดอกเล็กหนึ่งดอกให้กับอนาตาเซียหลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินตามทางเดินเพื่อหาหมายเลขห้องของตน

"เราจะพักที่นี้ 2 คืนแล้วค่อยไปพักที่ทะเลสาบสีรุ้งต่อ เย็นนี้เราจะไปไปทานอาหารเย็นที่บ้านญาติของฉันพรุ่งนี้ ถึงจะไปงานรวมสัตว์วิเศษ ญาติฉันคนนี้เขาเป็นนักสะสมสัตว์วิเศษและสัตว์แปลกๆ ดังนั้นฉันจึงคิดว่าจะไปขอคำแนะนำสำหรับการเลือกสัตว์กับพวกเขา แล้วก็ถ้าเธออยากรู้อะไรเพิ่มก็สามรถขอคำแนะนำกับเขาได้เลยนะเขาเป็นคนใจดี" เบลินด้าอธิบายขณะกำลังเดินอยู่บนทางเดินที่ทอดยาวไปไกล "ถ้าทำอะไรเรียบร้อยแล้ว ฉันจะพาเธอเดินทางไปบ้านญาติของฉัน"

"เข้าใจแล้ว ถึงหน้าห้องฉันพอดีเลย ฉันขอเอากระเป๋าไปเก็บในห้องก่อนนะอีกสักพักเราลงไปเจอกันข้างล่าง" อนาตาเซียพูดก่อนจะถือกระเป๋าเข้าไปเก็บในห้อง

หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยทั้งคู่ก็รีบเดินไปบ้านญาติของเบลินด้าเพื่อขอคำปรึกษาเรื่องสัตว์วิเศษอย่างรวดเร็ว

"บ้านของญาติฉันตั้งอยู่ในป่าเป็นคฤหาสน์ประจำกระกูลเอลฟ์เก่าแก่ที่นั่นค่อนข้างเงียบแล้วก็สงบมาก พวกเขาจะเลี้ยงสัตว์ต่างๆเอาไว้ในชั้นใต้ดิน ครั้งนี้เธอจะได้เห็นว่าสัตว์ในโลกเวทมนตร์ของเราเป็นแบบไหนบ้าง" เบลินด้าอธิบาย

"คุณอยากได้สัตว์อะไรไปเลี้ยงในสตาเดเฟียเพิ่มหรอ" อนาตาเซียถาม

"ฉันอยากได้เพกาซัสสักตัวเอาไว้คอยช่วยงาน เพราะช่วงนี้มีของที่จำเป็นต้องใช้แรงของสัตว์ใหญ่ค่อนข้างเยอะ" เบลินด้าตอบ "แล้วเธอล่ะอนาตาเซียมีสัตว์อะไรที่อยากได้รึเปล่า" เบลินด้าถามกลับ

"ตอนนี้ยังไม่มีสัตว์อะไรที่อย่างได้ เอาเป็นว่าถ้าเจอสัตว์ตัวไหนที่อยากได้หรือสนใจเป็นพิเศษฉันจะรีบบอกก็แล้วกันนะเบลินด้า" อนาตาเซียตอบ

ทั้งสองเดินทางมาจนถึงคฤหาสน์ประจำกระกลูเอลฟ์หลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ เบลินด้าลงจากรถและตรงไปหาญาติของเธอที่ยืนรอต้อนรับอยู่ทันที

"คุณลุงสวัสดีค่ะ"

เบลินด้ากล่าวทักทายพร้อมเดินเข้าไปด้านในด้วยความคุ้นชิน

"สวัสดีเบลินด้า ว่างมาเยี่ยมลุงแล้วหรอ" ชายเจ้าของบ้านกล่าวทักทายและต้อนรับเบลินด้าเป็นอย่างดี "นี่เพื่อนตัวเล็กของหนูใช่ไหม"

"ใช่ค่ะ เธอชื่ออนาตาเซีย" เบลินด้าตอบ

"สวัสดีค่ะ หนูชื่ออนาตาเซีย กริมส์" อนาตาเซียกล่าวทักทายและแนะนำตัว

"สวัสดีลุงชื่อรันเดล เบลินด้าเล่าเรื่องหนูให้ลุงฟังตอนที่ส่งจดหมายมาบอกว่าจะเดินทางมาที่นี่"

"อ๋ออออ ค่ะ"

"คุณป้าไม่อยู่บ้านหรอคะ"

เบลินด้าถามลุงของตนทันทีเมื่อพบว่าป้าของเธอไม่ได้ออกมาตอนรับเหมือนเช่นเคย

"ป้าของหนูทำอาหารอยู่ในครอบครัว พอบอกว่าหนูจะมาป้าก็รีบเตรียมตัวใหญ่เลย" รันเดลตอบ

รันเดลเป็นเอลฟ์สาวเลือดบริสุทธิ์เขามีรูปร่างสูง หูแหลม ผมสีเงินยาวสลวย ดวงตาสีเหลืองอ่อน ชายคนนี้ความจริงแล้วเขามีอายุมากกว่าร้อยปีแล้ว แต่ถ้ามองดูเพียงภายนอกชายคนนี้ก็ยังคงมีใบหน้าหนุ่มเหมือนชายวัยกลางคนเท่านั้น รันเดลมีภรรยาชื่อ มาธีน่า มาธีน่าเป็นเผ่าเอลฟ์เลือดบริสุทธิ์เหมือนกัน เธอเป็นเอลฟ์ที่สวยมากตนหนึ่ง เธอมีผมสีเงิน หูแหลม ตาสีเหลืองประกาย และก็ยังคงดูสาวเหมือนผู้หญิงวัยกลางคนเช่นกัน สองคนมีลูก 4 คน ชาย 3 คน หญิง 1 คน ลูกคนโตเป็นผู้ชายฝาแฝด ชื่อซาติน กับซารัน คนที่สามชื่อ เซบาสเตียน และคนสุดท้ายเป็นผู้หญิงชื่อเซล่า

"ป้ามาธีน่าสวัสดีค่ะ คิดถึงคุณป้ามากเลย"

เบลินด้าพูดพร้อมเดินไปกอดมาธีน่าป้าของเธอด้วยความคิดถึง

"ป้าก็คิดถึงเหมือนกัน นี่อนาตาเซียเพื่อนที่หนูพูดถึงใช่ไหมจ๊ะ"

"ใช่แล้วค่ะ"

"หนูน่ารักมากเลยนะจ๊ะ"

มาธีน่ากล่าวชมพร้อมหันหน้ามาส่งยิ้มให้อนาตาเซีย

"สวัสดีค่ะหนูชื่อ อนาตาเซีย กริมส์" อนาตาเซียกล่าวทักทาย

"สวัสดีจ๊ะเรียกฉันว่า ป้ามาธีน่าเหมือนเบลินด้าเรียกก็ได้นะจ๊ะ"

"ค่ะ ป้ามาธีน่า"

ขณะนั้นเองอยู่ๆก็มีสาวน้อยตัวเล็กวิ่งลงจากบันไดเพื่อพบญาติสนิทที่ห่างกันมานาน สาวน้อยร้องเรียกเบลินด้าด้วยความดีใจ

"พี่เบลินด้า"

เสียงเด็กหญิงวิ่งลงมาจากบัดไดตะโกนเรียกหญิงสาวด้วยความดีใจพร้อมตรงเข้าไปกอดเบลินด้าทันที

"เซล่า เธอดูโตขึ้นเยอะเลย"

"อีกไม่กี่ปีหนูก็จะได้เข้าโรงเรียนแล้วค่ะ" เซล่ากล่าว "นี่เพื่อนพี่หรอคะ" เซล่าถามด้วยความอยากรู้

"ใช่แล้วจ่ะ"

"สวัสดีค่ะ หนูชื่อเซล่า" เซล่าพูดกับอนาตาเซียด้วยเสียงใสแจ๋วที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นพร้อมเดินไปหาอนาตาเซียที่กำลังยืนอยู่ทันที

"สวัสดีจ่ะพี่ชื่ออนาตาเซีย"

"สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก"

"ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกันนะ"

หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จเรียบร้อยเบลินด้ากับอนาตาเซียต่างคุยกับลุงรันเดลเกี่ยวกับงานรวมสัตว์วิเศษ์อย่างสนุกสนาน รันเดลเองก็อธิบายถึงเรื่องสัตว์ให้ทั้งสองฟังอย่างละเอียดจนน่าขนลุก ไม่ว่าจะเป็นวิธีการเลือกสัตว์ นิสัยของสัตว์ ระยะการเติบโตและอื่นๆ รวมถึงพาทั้งคู่ไปยังชั้นใต้ดินเพื่อชมสัตว์ที่พวกเขาเลี้ยงไว้

"หนูอยากได้เพกาซัสหรอ" รันเดลถาม

"ใช่ค่ะ พอดีหนูต้องการเอาไว้ใช้งานค่ะ"

"เพกาซัสมันเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างพยศแถมดื้อมากๆด้วยหนูต้องคอยดูแลเอาใจใส่และก็ค่อยๆเรียนรู้นิสัยมันเดี๋ยวพอมันเริ่มคุ้นกับหนูมันจะเชื่องของมันเอง แล้วก็อย่าลืมว่าตอนที่ทำสัญญาส่งสัตว์ไปยังที่อยู่ของหนู หนูต้องลงที่อยู่ให้ดีๆนะ เดี๋ยวมันจะส่งไปผิดที่แล้วอาจจะได้รับช้า" รันเดลอธิบาย

"อ๋อ ค่ะ"

"จริงๆแล้ว ถ้าหนูเลี้ยงมันตั้งแต่เล็กๆมันจะเชื่องกับหนูมากกว่าตอนที่โตแล้วมากเลย"

"พอดีตอนนี้หนูต้องการสัตว์ที่ทำงานได้ไปช่วยงานที่สตาเดเฟียด่วนน่ะค่ะ เลยหาแบบกระทันหันเพราะลอร์ดมาเชลล์เองก็ต้องการสัตว์ช่วยงานด่วนเหมือนกัน"

"อืมมม พรุ่งนี้ลุงติดงานไปงานรวมสัตว์วิเศษกับพวกหนูสองคนไม่ได้ เอาเป็นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ลุงจะให้เซบาสเตียนไปช่วยหนูเลือกสัตว์ก็แล้วกัน"

"ขอบคุณค่ะลุงรันเดล" เบลินด้ากล่าว

เซบาสเตียนหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาเขาคือลูกชายคนที่ 3 ของรันเดล เด็กชายมีรูปร่างสูง ผมสีเงินสั้นเหมือนนักเรียนสมัยใหม่ทั่วไป ดวงตาสีเหลืองอ่อน จมูกโด่งเป็นสัน ปากสีแดงอมชมพู และผิวขาวสว่างเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้า เขาชื่นชอบการฝึกเวทย์และการสะสมสัตว์วิเศษเหมือนครอบครัว ดังนั้นมันจึงทำให้เขาไม่เคยพลาดที่จะไปงานรวมสัตว์วิเศษในแต่ละครั้ง

ภายในงานรวมสัตว์มีสัตว์ต่างๆมากมายจากทุกแห่งในอาณาจักรเหนือและสัตว์จากดินแดนอื่นก็ด้วย ภายในงานนี้มีสัตว์หลากหลายชนิดทั้งบนบกในน้ำและท้องฟ้ารวมถึงสัตว์แปลกประหลาดมากมายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง ด้านในงานมีกรงขังสัตว์หลากหลายแบบละลานตาเต็มไปหมดจนแทบจะสับสน สิ่งที่พิเศษสำหรับงานนี้อีกอย่างคือที่นี่นอกจากจะมีสัตว์แปลกประหลาดและสัตว์สวยงามมากมายแล้ว ยังมีสัตว์หายากสัตว์ใกล้สูญพันธุ์และสัตว์ดุร้ายซึ่งมีหลายตัวที่พยายามพุ่งใส่กรงเพื่อหาอิสรภาพ ส่งผลให้โดยรอบมีเสียงสัตว์ชนกรงดังขึ้นเป็นระยะๆไม่หยุด

ผู้คนมากมายเดินแออัดกันอยู่ทุกจุดของร้านขายสัตว์ทำให้พื้นที่ทางเดินค่อนข้างคับแคบ ส่งผลให้ทั้งสามเดินมาถึงร้านขายสัตว์ด้วยความยากลำบากและแน่นขนัดไปหมด โดยเซบาสเตียนได้พาทั้งสองมาร้านขายสัตว์แห่งหนึ่งที่พ่อของตนบอกเอาไว้ เนื่องจากพวกเขาทำการซื้อขายกันมานานพอสมควรและยังเป็นเพื่อนสนิทกันมานานหลายปีทำให้พวกเขามักจะมาซื้อสัตว์ที่ร้านนี้เสมอ

"สวัสดีครับลุงโทมัส"

เซบาสเตียนกล่าวทักทายขณะเดินเข้ามาในร้านของโทมัส ซึ่งตอนนี้เขากำลังก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดกรงสัตว์อย่างตั้งอกตั้งใจ หลังจากได้ยืนเสียงทักทายที่คุ้นเคยโทมัสก็เงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณทันที

"อ้าว เซบาสเตียนมาพอดีเลยลุงเตรียมสัตว์ที่ได้มาใหม่เอาไว้ให้แล้ว คิดว่ารันเดลน่าจะชอบ"

ชายเจ้าของร้านกล่าวอย่างสนิทสนมพร้อมเชิญเซบาสเตียนให้เดินเข้าไปดูสัตว์วิเศษของตน

"ครับ พ่อน่าจะชอบ ลุงโทมัสคือว่าพ่ออยากให้ลุงช่วยแนะนำเพกาซัสที่เชื่องให้พี่เบลินด้าสักตัว ตอนนี้ยังพอมีเพกาซัสอยู่ไหมครับ"

"ได้สิ มาทางนี้ลุงมีเพกาซัสหลายตัว หนูเลือกได้ตามสบายเลยว่าอยากได้ตัวไหน สัตว์ในร้านลุงเลี้ยงเองทุกตัวรอมันโตได้ที่แล้วถึงจะเอามาขาย แต่ถ้าหนูต้องการที่ยังเล็กอยู่ลุงก็ขายให้ได้" โทมัสแนะนำ

"ได้คะ"

เบลินด้าเลือกเพกาซัสที่เชื่องง่ายเป็นหนุ่มและโตเต็มวัยสำหรับใช้งานได้แล้ว หลังจากนั้นเบลินด้าก็เดินเข้าไปทำสัญญาซื้อขายกับโทมัสที่โต๊ะทำงาน โดยมีอนาตาเซียกับเซบาสเตียนเดินเลือกชมสัตว์อยู่ในร้าน

"เธอไม่เลือกสัตว์สักตัวหรอ"

เซบาสเตียนถามขณะเห็นอนาตาเซียเดินดูสัตว์หลายตัวแต่ไม่เลือกเลยสักตัว

"ไม่มีตัวที่ชอบน่ะค่ะ" อนาตาเซียตอบ

"ถ้าอย่างนั้นเธอเอาอันนี้ไหม" เซบาสเตียนพูดพร้อมล้วงมือลงไปในกระเป๋าใบเล็กของตน และหยิบไข่นกสีแดงหนึ่งฟองยื่นให้อนาตาเซีย

"มันคือไข่อะไรหรอคะ" อนาตาเซียถามด้วยความอยากรู้

"ไข่ฟินิกซ์ ฉันว่าเธอน่าจะชอบ" เซบาสเตียนตอบ

"ขอบคุณค่ะ ฉันจะดูแลเป็นอย่างดี" อนาตาเซียกล่าวขอบคุณพร้อมยื่นมือไปรับไข่นกก่อนจะใส่ลงไปในประเป๋าของตน

"เอาไข่ไว้ในที่อุ่นๆแล้วมันนจะฟักออกมาเร็วขึ้น"

"เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่ให้ไข่ฟินิกซ์กับฉันนะคะ ฉันชอบมากๆเลยค่ะ "

"ชอบก็ดีแล้ว เธอเรียนอยู่สตาเดเฟียหรอ" เซบาสเตียนถามต่อ

"ค่ะ ฉันพึงจะเข้าเรียนปีนี้ปีแรก" อนาตาเซียตอบ "แล้วคุณเรียนอยู่ที่มาธีออซใช่ไหมมคะ"

"ใช่ เรียนอยู่ปี 3 "

"ที่นั่นเป็นแบบไหนหรอคะ"

"ก็คล้ายๆกับสตาเดเฟียนั่นแหละ แค่มีบางอย่างแตกต่างกันนิดหน่อย แล้ว…ตอนนี้เธอปิดเทอมอยู่ใช่ไหม"

"ใช่ค่ะ เลยถือโอกาสมาเที่ยวที่นี่"

"ถ้าอย่างนั้นก็เที่ยวให้สนุก ถ้ามาที่นี่อีกครั้งเดี๋ยวฉันจะพาเธอออกไปเที่ยวที่อื่นก็แล้วกัน"

"ค่ะ ขอบคุณค่ะ"

ทั้งสองคุยกันสักพัก และหลังจากเบลินด้าทำสัญญาเสร็จเรียบร้อยเธอก็เดินตรงมาหาเซบาสเตียน

"พี่เบลินด้าทำสัญญาเรียบร้อนแล้วใช่ไหม"

เตบาสเตียนถามเบลินด้าที่เดินมาหาทั้งคู่

"ใช่ ขอบคุณมากนะที่มาเป็นเพื่อนพี่" เบลินด้ากล่าวขอบคุณ

"ไม่เป็นไรครับ พี่จะไปไหนต่ออีกรึเปล่า"

"ไม่แล้วจ่ะเรากลับคฤหาสน์กันเถอะ" เบลินด้าตอบ

ทั้งสามเดินทางกลับคฤหาสน์เอลฟ์ หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จเบลินด้ากับอนาตาเซียก็เดินทางกลับที่พักของตนทันที

ระหว่างทาง

"อนาตาเซียพรุ่งนี้เตรียมตัวไปทะเลสาบสีรุ้งเลยนะ"

เบลินด้าบอกกับอนาตาเซียด้วยความตื่นเต้น ขณะขับรถกลับที่พักของตน

"เบลินด้าเธอเคยเล่นสกีน้ำแข็งมาก่อนรึเปล่า"

"เคยสิ จริงๆ แต่ก่อนตอนที่ฉันเรียนอยู่สตาเดเฟียฉันชอบไปเล่นสกีน้ำแข็งทุกฤดูหนาวเลยแหละ แต่ว่าตั้งแต่เรียนจบก็แทบจะไม่มีเวลาเล่นสกีอีกเลย"

"คุณเป็นผู้ดูแลป่านานแค่ไหนแล้วหรอ"

"ก็หลายร้อยปีแล้วล่ะ เอลฟ์แบบฉันน่ะมีอายุอยู่นานก็น่าเบื่อแบบนี้แหละ เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ก็จะคงสภาพแบบนี้ไปนานหลายร้อยปี วันๆก็ทำงานแบบเดิมทุกวัน"

"อ๋อ"

"ถึงที่พักแล้วเราแยกย้ายกันไปพักเถอะ"

เบลินด้ากล่าวก่อนที่ทั้งสองจะแยกกันไปพักผ่อน

ทะเลสาบสีรุ้งหรือทะเลสาบ 7 สี ที่แห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในสถานที่อันโรแมนติกของอาณาจักรเหนือ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับหลายคนที่ชื่นชอบการเล่นสกีน้ำแข็ง งานรื่นเริงและงานเลี้ยงตั้งแคมป์ท้องถิ่นของชาวบ้านริมทะเลสาบ

"เบลินด้าฉันตั้งแคมป์เสร็จแล้วเราไปเล่นสกีกันเลยไหม" อนาตาเซียถาม

"ได้เลย ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ" เบลินด้าตอบพร้อมกับหยิบรองเท้าสกีสวมใส่เตรียมตัวที่จะออกไปเล่นสกีน้ำแข็งด้วยความตื่นเต้น

ทั้งคู่เล่นสกีน้ำแข็งกันอย่างสนุกสนานเป็นเวลานานหลายชั่วโมง จนหมดแรงทั้งสองจึงนั่งพักที่แคมป์ เพื่อหาอะไรกินรองท้อง ตกเย็นวันนั้นผู้คนในท้องถิ่นต่างเตรียมตัวจัดงานเลี้ยงและเริ่มสังสรรค์กันหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน พร้อมกับเล่นในงานอย่างสนุกสนาน หลายคนสวมรองเท้าสกีและเต้นรำบนทะเลสาบน้ำแข็ง พร้อมดนตรีบรรเลงขับกล่อมไปพร้อมท่วงท่าสกีอย่างสนุกครึ้กครื้น

ขณะที่หลายคนกำลังสนุกอยู่กับงานเลี้ยงในทะเลสาบสีรุ้ง อยู่ๆ ภูเขาหิมะที่เงียบสงบมานานนั้นกลับมีการเคลื่อนตัวเบาๆคล้ายกับแผนดินไหว ทุกคนในงานสังสรรค์ไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่กำลังเคลื่อนตัวมาใกล้เลยแม้แต่น้อย ไม่นานเมื่อแผนดินเริ่มสั่นสะเทือนแรงขึ้น บางคนเริ่มมองเห็นหิมะก้อนใหญ่รูปร่างแปลกประหลาดขยับเขยื้อนเข้ามาใกล้สถานที่จัดงานเลี้ยงด้วยความงุนงง

ผู้คนเริ่มตกใจและแตกตื่นกันมากว่าสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่นั้นคืออะไร และแล้วก็มีเสียงคนหนึ่งอุทานออกมาด้วยความตกใจ "อสูรหิมะ" หลังจากได้ยินแลบนั้นหลายคนในงานเริ่มแตกตื่นหาทางหนีกันอย่างรวดเร็ว จนเกิดความวุ่นวาย

"เร็วเข้า ทุกคนรีบหาทางหนี" เสียงชายคนหนึ่งตะโกนออกมาด้วยความกลัว ผู้คนมากมายต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอด บางคนขี่ไม้กวาดเหาะหนี บางคนแปลงร่างเป็นค้างคาวหนี บางคนวิ่งหนีหาสถานที่ปลอดภัย ต่างคนต่างหาทางหนีเอาชีวิตรอดกันวุ่นวายไปหมด ระหว่างที่ผู้คนกำลังเกิดการชุนละมุนวุ่นวายอยู่นั้นอนาตาเซียกับเบลินด้าทั้งสองถูกผู้คนวิ่งชนไปมาจนคลาดออกจากกัน ขณะนั้นอนาตาเซียที่ไม่ได้นำไม้กวาดของตนมาด้วยเธอตัดสินใจกินพุดดิ้งปีกนางฟ้าและพยายามใช้ปีกนางฟ้าบินหนี แต่อสูรหิมะที่กำลังอาละวาดอยู่นั้นได้ใช้ไม้กระบองฟาดไปมาทำให้กระบองของมันพลาดมาโดนอนาตาเซีย พร้อมลูกบอลหิมะใหญ่ที่อสูรหิมะปล่อยออกมาไม่หยุด ส่งผลให้อนาตาเซียที่กำลังบินอยู่ตกลงมายังกองหิมะขนาดใหญ่และตกลงไปในถ้ำน้ำแข็งแห่งหนึ่งอย่างแรง แรงกระแทกจากอุบัติเหตุนั้นทำให้เธอสลบไม่ได้สตินานจนอสูรหิมะเดินจากไปไกลจากจุดเดิมหลายไมล์