webnovel

บทที่ 6 เรื่องเล่าจากนักเล่านิทาน

โรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟีย

เช้าวันที่แสนธรรมดาของโรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟีย เสียงพูดคุยของนักเรียนมากมายดังออกมาจากห้องโถง สร้างความวุ่นวายในยามเช้าให้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น เช้าวันนี้นักเล่านิทานที่หลายคนชื่นชมได้เดินทางมาถึงโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว ทำให้เด็กหลายคนที่รอคอยการกลับมาของนักเล่านิทานต่างตื่นเต้นและรีบตรงมายังลานเล่านิทานด้วยความรวดเร็ว

"ทุกคนนักเล่านิทานมาแล้วหาที่นั่งเร็ว"

เสียงเด็กหลายคนตะโกนบอกเพื่อนคนอื่นๆ ส่งผลให้แต่ละคนต่างรีบหาที่นั่งแถวหน้าสุดด้วยความว่องไว

"เด็กทุกคนนั่งให้เรียบร้อยอีก 10 นาทีฉันจะเริ่มเล่านิทานแล้วนะ"

เสียงนักเล่านิทานกล่าวและเตรียมตัวเล่านิทานของตนเหมือนที่เคยทำมา ตอนนี้รอบตัวของนักเล่านิทานมีเด็กหลายร้อยคนนั่งบนเก้าอี้รอฟังนิทานอย่างใจจดใจจ่อ

"อนาตาเซียเธอว่าครั้งนี้นักเล่านิทานจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร"

มาเดลินกระชิบถามเพื่อนด้วยความอยากรู้

"ไม่รู้สิ ฉันไม่เคยฟังนิทานเขามาก่อน" อนาตาเซียตอบก่อนถามมาเดลินถึงเพื่อนคนอื่นๆของตนทันที "โซอี้ เทียน่า แล้วก็ลูเซียไม่มาฟังนิทานด้วยหรอ"

"พวกนั้นไม่ชอบฟังนิทาน ไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็มีรู้" มาเดลินตอบ

"อ๋ออ...หรอ"

"แต่ไม่เป็นไรเราฟังกัน 2 คนก็ได้"

มาเดลินตอบพร้อมส่งยิ้มหวานให้เพื่อนของตน

"อะ แฮ่ม...สวัสดีเด็กๆทุกคนคงจะรู้อยู่แล้วว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ ฉันจะเล่าอะไรให้พวกเธอฟังคร่าวๆก่อนก็แล้วกัน ในดินแดนแห่งเวทมนตร์พวกเธอทุกคนคงจะรู้อยู่แล้วว่าดินแดนแห่งนี้กว้างใหญ่เกินบรรยายดินแดนของเรามีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเธอไม่เคยเจอ รวมถึงสัตว์วิเศษพันธุ์ต่างๆที่พวกเธอหลายคนใฝ่ฝันอยากจะครอบครอง สิ่งที่ฉันจะเอามาเล่าให้ทุกคนฟังในวันนี้คือ" "นิทานเรื่องกำเนิดฟินิกซ์"

"นานมาแล้วว่ากันว่าวิหคเพลิง หรือสัตว์วิเศษที่พวกเราหลายคนเรียกว่าฟีนิกซ์นั้นถือเป็นนกชั้นสูงที่หลายคนต้องการ นกชนิดนี้มีพลังอำนาจมากมายส่งผลให้หลายคนมักจะตามล่ามันอยู่เสมอ ฟินิกซ์อาศัยอยู่บริเวณแหล่งน้ำที่มีอากาศเย็น ยามอรุณรุ่งมาถึงมันจะส่งเสียงหวานก้องกังวานไปทั่วบริเวณ และส่งเสียงร้องเพลงรับแสงอรุณไปพร้อมกับการเล่นน้ำในยามเช้า อาหารโปรดของมันคือสายลมอ่อนๆ น้ำอมฤต น้ำค้าง หรือหมอกบริสุทธิ์ที่ลอยขึ้นมาจากแม่น้ำและทะเล

เสียงร้องของนกฟีนิกซ์มีพลังเวทย์ สามารถสร้างกำลังใจและกระตุ้นความกล้าหาญให้แก่ผู้ที่ทำคุณความดีในยามที่จิตใจอ่อนแอท้อแท้ แต่ในทางตรงกันข้ามเสียงนั้นก็สามารถกลายเป็นเสียงร้องอันน่าสะพรึงในจิตใจของผู้ที่คิดชั่วได้เหมือนกัน น้ำตาของนกฟีนิกซ์มีพลังในการรักษาบาดแผลและชุบชีวิตให้พื้นขึ้นมา แต่ก็เป็นเรื่องยากที่มันจะหลั่งน้ำตาให้กับใครสักคน ยกเว้นคนคนนั้นจะมีคุณงามความดีมากและยังสมควรจะอยู่บนโลกเท่านั้น

เจ้านกตัวนี้มีกระบวนการเป็นอมตะที่ไม่เหมือนนกตัวอื่นๆ คือ เมื่อมันอายุแก่ได้ที่ราวๆ 500 ปี ร่างกายของมันจะโทรมลงและไร้เรี่ยวแรงจนไม่สามารถร้องเพลงได้เช่นเดิม เจ้านกตัวนี้รู้ว่าแม้เป็นอมตะ แต่ร่างกายเหี่ยวเฉานี้ก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน ดังนั้นมันจะบินกลับรังของตัวเอง และระหว่างทางมันจะเที่ยวเก็บไม้หอมนานาชนิดไปด้วย เมื่อมาถึงที่หมายมันจะเริ่มสานรังอันจะเป็นเชิงตะกอนของตัวเอง หลังจากนั้นร่างเจ้าฟีนิกซ์ก็จะเกิดเป็นไฟลุกท่วม มันจะปล่อยให้เพลิงเผาผลาญร่างให้เปลวไฟเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านกองพูน เวลาผ่านไปไม่นาน ภายในกองเถ้าถ่านนั้นก็เกิดลูกไฟรูปร่างเหมือนไข่ลุกเรืองค่อยๆ สว่างขึ้นๆ จนสุดท้ายดวงไฟก็แตกออก กลายเป็นฟีนิกซ์หนุ่มตัวใหม่กำเนิดขึ้นมาจากกองขี้เถ้าเดิม และวงจรชีวิตนกจะวนเวียนไปอย่างนี้จนไม่มีที่สิ้นสุด...จบ

"นี่คือการกำเนิดนกฟินิกซ์ เอาล่ะฉันมีปริศนาอยู่ 1 ข้อถ้าใครตอบได้ภายใน 2 วันฉันจะให้ของวิเศษ 1 ชิ้น โดยนับวันนี้เป็นวันที่ 1 ปริศนาคือ เมื่อตอนที่นกฟินิกซ์แก่กำลังจะถูกไฟเผาเป็นช่วงเวลาอะไร"

เจ้าของนิทานถามเด็กๆหลายคนที่นั่งอยู่รอบๆ เด็กมากมายต่างเดาคำตอบส่งเสียงพูดคุยจนดังไปทั่วบริเวณ ชายเจ้าปริศนามองเด็กมากมายและยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

เมื่ออนาตาเซียเห็นหลายคนเริ่มตอบคำถามเธอก็ดื่มน้ำที่หยดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ลงไปทันที เวลาผ่านไปไม่นานสาวน้อยมองเห็นคำตอบในใจของนักเล่านิทาน เธอยิ้มออกมาด้วยความดีใจพร้อมหันซ้ายขวามองเพื่อนรอบข้างที่ตอบคำถามแต่ไม่ว่าจะตอบอะไรคำตอบของเขาเหล่านั้นก็ยังผิดอยู่ดี อยาตาเซียจึงนั่งนิ่งๆและดูสถานการณ์ต่อไป แม้ว่าเธอจะรู้คำตอบในใจแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังไม่ลุกขึ้นตอบในทันทีเนื่องจากมีหลายคนที่กำลังแย่งกันตอบอยู่ดังนั้นเธอจึงนั่งรอจังหวะที่ไม่มีใครตอบถึงจะลุกขึ้น

เวลาผ่านไปไม่นานนักเรียนมากมายที่ต้องการของวิเศษต่างพยายามหาคำตอบของนักเล่านิทาน แต่ไม่ว่าจะตอบอะไรคำตอบนั้นก็ยังไม่มีใครตอบถูกอยู่ดีดังนั้นนักเล่านิทานจึงพูดกับเด็กๆที่นั่งอยู่รอบๆด้วยความใจเย็น

"ฟังทางนี้ๆ ไม่ต้องรีบตอบมีเวลาอีก 1 วันสำหรับการหาคำตอบดังนั้นพวกเธอควรไปหาคำตอบก่อน ยังไงฉันก็จะรอฟังคำตอบของทุกคนจนถึงวันพรุ่งนี้" นักเล่านิทานอธิบาย

เมื่อเห็นดังนั้นอนาตาเซียที่กำลังรอจังหวะจึงได้ยกมือขึ้นแล้วพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น

"เอ่อ...คือว่าหนูมีคำตอบค่ะ"

อนาตาเซียยกมือกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด คำพูดของเธอทำให้รอบข้างสนใจขึ้นมาทันทีรวมถึงมาเดลินที่นั่งอยู่ข้างๆก็ด้วย เธอมองเพื่อนสาวของตนด้วยความตกใจและกังวลขึ้นมาทันทีพร้องกระซิบเบาๆที่ข้างหูของอนาตาเซีย

"อนาตาเซียคนอื่นยังตอบไม่ได้เลยแล้วเธอจะตอบได้ยังไง เธอยังไม่ทันได้ไปหาคำตอบตามที่เขาแนะนำเลยนะ เอาเป็นว่าถ้าเธอตอบไม่ถูกเดี๋ยวเรารีบไปจากตรงนี้ก็แล้วกัน" มาเดลินกล่าวกับอนาตาเซียด้วยความกังวลปนความอึดอัด เนื่องจากตอนนี้ทุกคนต่างจับตามองมายังทั้งสองด้วยความสนใจ

"สาวน้อยเธอมีคำตอบหรอ" นักเล่านิทานถาม

"ค่ะ มีค่ะ" อนาตาเซียตอบ

"แล้วคำตอบของเธอคืออะไรล่ะ" นักเล่านิทานถามต่อ

"คำตอบคือ เป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ค่ะ"

อนาตาเซียสาวน้อยร่างเล็กตอบนักเล่านิทานด้วยน้ำเสียงมั่นใจ และขณะนั้นเองคำตอบของอนาตาเซียก็ทำให้นักเล่านิทานสนใจขึ้นมาทัน

"ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้นหรอ" นักเล่านิทานยังคงถามต่อไป

"เพราะฟินิกซ์ที่กำลังถูกไฟเผาก็เปรียบเหมือนช่วงเวลาผัดเปลี่ยนของชีวิต แม้จะถูกเผาแล้วเกิดขึ้นใหม่ในขี้เถ้ากองเดิม แต่ก็ถือเป็นการเกิดใหม่ของชีวิต จึงเปรียบเสมือนการเกิดขึ้นจากสิ่งเดิมนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ เช่นเดียวกับฟินิกซ์แก่ที่ถูกไฟเผาแล้วเกิดเป็นฟินิกซ์หนุ่มตัวใหม่ ดังนั้นคำตอบจึงเป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ค่ะ"

หลังจากตอบคำถามเสร็จผู้คนบริเวณลานต่างเงียบและมองมาที่สาวน้อยด้วยสายตาไม่น่าเชื่อ พวกเขารู้สึกแปลกใจมากที่สาวน้อยปี 1 สามารถตอบคำถามนี้ได้ ทำให้หลายคนจับจ้องมาที่สาวน้อยด้วยความสงสัย

"หนูน้อยเธอชื่ออะไร" นักเล่านิทานถามด้วยความสนใจ

"ชื่อ อนาตาเซียค่ะ"

"เอาล่ะ อนาตาเซียเธอเก่งมากเลยที่สามารถแก้ปริศนาแล้วตอบคำถามนี้ได้ อีกอย่างเธอยังสามารถอธิบายปริศนาออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่มีขาดตกบกพร่องเลยสักนิด ตั้งแต่ฉันเกิดมามีเธอคนแรกนี้แหละที่ใช้เวลาในการแก้ปริศนาของฉันได้เร็วที่สุด เธอทำให้ฉันรู้สึกประทับใจมาก ดังนั้นฉันจะมอบของวิเศษให้เธอตามที่ตกลงกันไว้ แล้วจะมอบของวิเศษอีกหนึ่งชิ้นให้เป็นรางวัลสำหรับความเก่งของเธอก็แล้วกัน" นักเล่านิทานกล่าวและล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าวิเศษของตัวเองพร้อมหยิบของรางวัลออกมาก่อนจะมอบของวิเศษให้อนาตาเซีย 2 ชิ้นตามที่กล่าวเอาไว้ ซึ่งหลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปเรียนตามปกติ

ห้องโถงใหญ่

"ทุกคนอนาตาเซียตอบปริศนาของนักเล่านิทานได้ด้วยแหละ นักเล่านิทานให้ของวิเศษอนาตาเซียมาตั้ง 2 ชิ้น" มาเดลินเงือกสาวนำเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มาบอกเพื่อนคนอื่นๆด้วยความตื่นเต้น "ดูสินี่เป็นของวิเศษที่อนาตาเซียได้มาเยี่ยมเลยใช่ไหมล่ะ เธอรู้ไหมนักเล่นนทานประทับใจอนาตาเซียมากเลยให้ของวิเศษมา 2 ชิ้น" มาเดลินบอกเพื่อนคนอื่นๆของตนด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิดและตื่นเต้นกับของวิเศษมากกว่าอนาตาเซียที่เป็นเจ้าของซะอีก

"จริงหรอ ว้าววว ของวิเศษคืออะไรหรออนาตาเซีย" โซอี้ถามเพื่อนด้วยความอยากรู้

"นี่คือยาเพิ่มพลังเวทย์ ส่วนนี่คือตำราปรุงยาโบราณ" อนาตาเซียตอบ

"เธอเก่งมากเลย ไม่เสียแรงที่ไปหาความรู้ในห้องสมุดทุกวัน เธอสามารถเอาชนะรุ่นพี่คนอื่นๆได้ เธอเป็นแม่มดคนแรกในประวัติศาสตร์ดินแดนแห่งเวทย์มนต์ที่สามารถไขปริศนาได้รวดเร็วที่สุด และอายุน้อยที่สุด" เทียน่าชม

"ใช่ ไม่เสียแรงที่เธออ่านหนังสือจนดึกดื่นทุกวัน เห็นทีตอนนี้ฉันคงต้องให้เธอช่วยสอนเวทย์บ้างแล้วแหละ" ลูเซียพูดแกมหยอกล้อ

หลังจากอนาตาเซียไขปริศนาครั้งนั้นได้ทุกคนในโรงเรียนก็เริ่มเอาชื่อของเธอไปพูดคุยกันมากขึ้นทำให้หลายคนในโรงเรียนเริ่มรู้จักชื่อของอนาตาเซีย แน่นอนว่าสิ่งที่พูดต่อๆกันไปไม่ได้มีแค่สิ่งดีแน่นอนทำให้มีหลายคนที่มองว่าเธอเก่งมากสามารถตอบคำถามได้ แต่บางคนก็บอกว่ามันเป็นเป็นเพราะโชคช่วย หรือไม่เธอก็รู้คำตอบอยู่แล้ว ถึงเป็นอย่างนั้นแต่ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรเธอกับเพื่อนๆก็ไม่สนใจอยู่ดีเพราะมันไม่มีความจำเป็นที่เธอจะต้องสนใจกับคำพูดของคนอื่น

เช้าวันสดใสในโรงเรียนเวทมนตร์ทุกคนในโรงเรียนต่างใช้ชีวิตกันตามปกติแต่ว่าวันนี้มีอะไรที่แตกต่างจากวันอื่นๆเนื่องจากโรงเรียนได้จัดชมรมมากมายให้นักเรียนได้เลือก ส่งผลให้วันนี้ทุกคนดูครึกครื้นเป็นพิเศษ

โซอี้แวมไพร์แสนสวยผู้ชื่นชอบการทำอะไรใหม่ๆเธอเดินไปตามชมรมมากมายที่กำลังเปิดรับสมัครและเลือกชมรมที่ตนน่าสนใจ 1 ชมรมเพื่อเข้าร่วมก่อนจะเดินไปรวมตัวกับเพื่อนคนอื่นๆของตนเอง

"ทุกคนตอนนี้มีชมรมกำลังเปิดรับสมัคร พวกเธอเลือกชมรมรึยัง ปีนี้สตาเดเฟียเปิดให้มีชมรมเพิ่มขึ้นเพื่อที่เด็กนักเรียนจะได้มีตัวเลือกหลากหลาย พวกเธอสนใจชมรมอะไร" โซอี้ถามเพื่อนสาวทั้งสี่ที่นั่งรวมตัวกันอยู่

"ฉันเข้าชมรมผู้พิทักษ์ฝักหัด" เทียน่าตอบ

"แล้วเธอเลือกชมรมอะไรหรอโซอี้" ลูเซียถามเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยความอยากรู้

"ฉันน่ะหรอ ฉันเลือกชมรมเต้นรำแวมไพร์สาวสวยอย่างฉันเหมาะที่สุดแล้วกับการเต้นรำ คิๆ" โซอี้พูดพร้อมหัวเราะเบาๆ "แล้วพวกเธอที่เหลือเลือกชมรมอะไรกันหรอ" โซอี้ถามกลับ

"ฉันเลือกชมรมร้องเพลงประสานลียง" มาเดลินตอบ

"แหง่ล่ะก็เธอเป็นเหงือกหนิ แล้วคนอื่นล่ะ"

"ฉันเข้าชมรมร่ายเวทย์"

ลูเซียตอบด้วยนำ้เสียงอู้อี้ฟังไม่ค่อยได้ใจความพร้อมเสียงกรุบกรับดังเป็นระยะเนื่องจากตอนนี้เธอกำลังนั่งเคี้ยวขนมอยู่เต็มปาก

"แล้วเธอล่ะอนาตาเซีย เลือกชมรมอะไร" เทียน่าหันไปถามอนาตาเซียที่นั่งอยู่ข้างๆ

"ฉันเข้าชมรมปรุงยา"

"เยี่ยม ! ตอนนี้ก็ได้เวลาเรียนชมรมแล้วพวกเราแยกย้ายกันไปเรียนดีกว่า"

โซอี้กล่าวกับทุกคนด้วยความตื่นเต้นก่อนแยกกันไปเรียนชมรมของตัวเองตามตารางทันที

2 เดือนผ่านไปหลังจากการรับสมัครชมรมจบลงขณะนั้นเองในช่วงเย็นของวันหนึ่งเสียงประกาศจากกลุ่มสภานักเรียนดังไปทั่วโรงเรียน สร้างความสนใจให้กับนักเรียนเป็นอย่างมาก โดยเสียงประกาศมีใจความดังนี้

"ประกาศๆจากสภานักเรียนเดือนนี้มีการเปิดรับสมัครผู้พิทักษ์ประจำสตาเดเฟียอย่างเป็นทางการ โดยจะจัดการแข่งขันคัดเลือกผู้พิทักษ์ขึ้นในเดือนหน้า และการแข่งขันไม่มีการจำกัดชั้นปีในการสมัคร นักเรียนทุกคนสามารถลงสมัครได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนรายละเอียดการสมัครอื่นๆสามารถอ่านได้ตามประกาศบนบอร์ดประชาสัมพันธ์ของโรงเรียน ขอจบการประกาศเพียงเท่านี้"

เสียงประกาศจบลงในเวลาเพียงไม่นานแต่ใจความการประกาศทำให้เด็กหลายคนเริ่มสนใจและพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง

"พวกเราจะมีการรับสมัครผู้พิทักษ์ประจำโรงเรียน น่าตื่นเต้นจังถ้าอย่างนั้นโรงเรียนก็มีการจัดงานอีกแล้วสิ"

เสียงโซอี้พูดกับเพื่อนด้วยความตื่นเต้นพร้อมแววตากลมโตที่เปล่งประกาย

"เทียน่าเธอลงสมัครสอบเป็นผู้พิทักษ์รึยัง" อนาตตาเซียถาม

"แน่นอนเพราะฉันอยู่ชมรมผู้พิทักษ์ฝึกหัดรู้ข่าวก่อนพวกเธออยู่แล้ว" เทียน่าตอบ

"แล้วชมรมผู้พิทักษ์ฝึกหัดช่วยอะไรในการแข่งครั้งนี้" มาเดลินถามต่อ

"ก็พอช่วยได้ อย่างน้อยก็มีการเตรียมตัวและเรียนรู้เกี่ยวกับการเป็นผู้พิทักษ์"

"หวังว่าเธอจะผ่านการคัดเลือกนะ" โซอี้พูดให้กำลังใจ "แล้วเธอรู้รึเปล่าว่าการแข่งมีอะไรบ้าง" โซอี้ถามต่อ

"เท่าที่ชมรมบอกมามีทั้งหมด 5 ด่าน 1 ทดสอบความรู้ 2 ขี่ม้า 3 ฝึกความอดทน 4 ประลองเวทย์ 5 สู้กับสัตว์อสูร

"ห่ะ ! สู้กับสัตว์อสูรหรอ มันอันตรายมากเลยนะ" ลูเซียอุทานด้วยสีหน้าตกใจ

"ใช่แล้ว ฉะนั้นช่วงนี้พวกเธอทุกคนห้ามชวนฉันออกไปเที่ยวที่ไหนเด็ดขาด ฉันจะติวสำหรับการสอบเข้าเป็นผู้พิทักษ์" เทียน่าพูดด้วยความมุ่งมั่น

"ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวพวกเราจะช่วยติวให้เธอเอง" โซอี้เสนอ "จริงไหมทุกคน"

"ใช่" ทุกคนตอบพร้อมกันแล้วหัวเรอะออกมาด้วยความดีใจ

"พี่ชายของฉันมีอาชาพายุหนึ่งตัวเอาเป็นว่าฉันจะส่งจดหมายไปขอยืมพี่ฉันมาใหเธอลองฝึกขี่ดูก็แล้วกัน" มาเดลินออกความเห็น

"ลูเซียจะช่วยเป็นคู่ฝึกเวทย์ให้เธอ ส่วนฉันกับโซอี้จะคอยปรุงยาสำหรับบาดเจ็บก็แล้วกัน" อนาตาเซียกล่าว

"ตกลงตามนี้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันไปติวหนังสือที่ห้องของเธอสองคนก็แล้วกันนะอนาตาเซีย ลูเซีย เธอสองคนคิดว่าไง" เทียน่าถาม

"ไม่มีปัญหา" ลูเซียตอบ

เวลาผ่านไปไม่นานทั้ง 5 ตั้งใจกับการติวครั้งนี้มากถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลงแข่งทุกคนก็ตาม แต่การติวทุกคนก็ช่วยกันอย่างเต็มที่

เช้าวันสดใสวันหนึ่งแสงแดดยามเช้าสว่างจ้าจนแทบจะแสบตาเทียน่าและมาเดลินออกมายังลานสนามหญ้าของโรงเรียนเพื่อฝึกขี่ม้าให้คล่องสำหรับการแข่งขัน ทั้งสองตั้งใจฝึกครั้งนี้อย่างจริงจังโดยมีอนาตาเซีย ลูเซีย และโซอี้นั่งดูทั้งสองอยู่บนศาลาพักผ่อน

"เทียน่าดูพยายามมากเลยเธอว่าไหม"

ลูเซียคุยกับเพื่อนขณะมองไปยังเพื่อนอีกคนด้วยความรู้สึกแปลกใจ

"บ้านของเทียน่าส่วนใหญ่เป็นผู้พิทักษ์ประจำสตาเดเฟียแทบทุกรุ่น อีกอย่างครอบครัวของเทียน่าเป็นครอบครัวใหญ่ทำหน้าที่ดูแลเมืองสตาทิสแห่งนี้มาตลอด ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างทุ่มเทและตั้งใจให้กับการแข่งขันเป็นผู้พิทักษ์ในครั้งนี้มาก จะได้เป็นเหมือนครอบครัว อีกอย่างถ้าสอบครั้งนี้ไม่ผ่านเธอคงต้องรอสอบปีหน้าใหม่พวกเธอก็รู้นิสัยเทียน่าว่าเป็นคนเต็มที่กับทุกอย่าง" โซอี้พูด

"เทียน่า มาเดลิน ถ้าเหนื่อยก็มาพักในร่มก่อนนะ ฉันเตรียมอาหารที่พวกเธอชอบมาให้ด้วย"

ลูเซียตะโกนบอกทั้งสองที่กำลังฝึกขี่ม้ากลางแดดอย่างหนักโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพัก

"ตกลง" เทียน่าตอบกลับและหยุดม้าทันที ก่อนจะเดินตรงไปที่พัก

"ดีนะวันนี้อากาศไม่ร้อนเท่าไหร่ ไม่งั้นเราสองคนคงเต็มไปด้วยเหงื่อ" มาเดลินกล่าวพร้อมนั่งลงบนเก้าอี้ที่เพื่อนๆของเธอเตรียมเอาไว้และดื่มน้ำลงไปทันที

"มาเดลินเธอไม่มีอาการขาดน้ำใช่ไหม"

เทียน่าถามขณะเดินมานั่งข้างๆมาเดลินมาด้วยความเป็นห่วง

"ไม่หรอกตราบใดที่ฉันยังมีกำไลนี่อยู่ยังไงก็ไม่ขาดน้ำหรอก อีกอย่างกำไรอันนี้ยังทำให้ฉันสามารถเปลี่ยนหางเป็นขาได้สบายขึ้นไม่ต้องอาศัยเวททย์ของตัวเองมาก" มาเดลินตอบ

"แล้วปกติเปลี่ยนหางเป็นขาลำบากรึเปล่า"

อนาตาเซียถามเพื่อนด้วยสีหน้าเป็นห่วง

"ก็ปกติถ้าไม่มีกำไลนี่เงือกทุกตนจะต้องใช้พลังเวทย์ตัวเอง ซึ่งการใช้เวทย์เปลี่ยนหางมันมีขีดจำกัดอยู่แล้ว โชคดีที่รากคริสตัลนี้สามารถเปลี่ยนเป็นของประจำกายที่ช่วยให้ไม่ต้องใช้พลังในข้อนี้ได้ อีกอย่างมันก็ไม่มีขีดจำกัดในการใช้ด้วย จนกว่าจะถอดมันออก"

"อ๋อ"

"วันนี้โซอี้กับฉันปรุงยาแก้พกช้ำสำหรับพวกเธอมาให้ ดื่มแล้วจะได้ไม่ปวดตามร่างกาย"

อนาตาเซียกล่าวกับเทียน่าและมาเดลิน หลังจากนั้นทั้งสองก็รับยาจากมืออนาตาเซียก่อนจะรีบดื่มลงไปทันที

"พวกเธอปรุงยาเก่งจังดื่มแล้วได้ผลชะงัดเลย"

เทียน่ากล่าวชมหลังจากดื่มยาปรุงของเพื่อนเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ทั้ง 5 กำลังนั่งพักคุยกันอยู่นั้น อยู่ๆเสียงฝีเท้าของบุคคลบางกลุ่มก็เดินตรงมายังทั้ง 5 พร้อมเสียงทักทายที่คุ้นเคยทำให้เทียน่าที่นั่งอยู่รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที

"ไงเทียน่า ฝึกไปถึงไหนแล้วจ๊ะ มีอะไรก็มาหาฉันได้นะพอดีพี่สาวฉันเป็นผู้พิทักษ์สตาเดเฟีย ตอนนี้ก็กำลังติวให้ฉันเป็นพิเศษ ถ้าเธอต้องการฉันสามารถขอพี่สาวฉันได้นะเธอจะได้มีผู้เชี่ยวชาญสอนไง..." หญิงสาวหน้าตาสะสวยพูดจาถากถางพร้อมมองเทียน่าที่กำลังนั่งอยู่ด้วยแววตาดูถูก "อืม...จะว่าไปแล้วการฝึกนี้ก็สำหรับสอบเป็นผู้พิทักษ์โดยเฉพาะเลยล่ะ ไม่ได้ฝึกแบบสะเปะสะปะไปเรื่อย เอาเป็นว่าถ้าเธอต้องการอะไรเพิ่มและไม่อยากฝึกแบบไม่รู้วิธีแบบนี้ก็มาหาฉันได้ทุกเมื่อเลยนะ"

หญิงสาวผู้เย่อหยิ่งพูดจาเยอะเย้ยเทียน่าพร้อมเดินตรงเข้าไปหาเทียน่าด้วยแววตาเอาชนะ เธอเดินเข้าไปในศาลาพร้อมเพื่อนของเธออีก 2 คนและมองไปรอบๆอย่างวางอำนาจ

"โอลิเวีย"

เทียน่าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเหลือบมองสามสาวด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้าย

โอลิเวียสาวสวยที่ดูเพรียบพร้อมไปซะทุกอย่างเธอคือแม่มดครึ่งเอลฟ์ผู้มีผมสีแดงลอนหยิกสลวย พร้อมดวงตาสีเหลืองประกายพรึก เธอมีจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากสีแดงสด และผิวขาวเหลือง แววตาของเธอเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์น่าหลงใหลที่ยากจะหยุดยั้งได้ นอกจากนั้นแล้วเธอยังมีเพื่อนสนิทอีกสองคนชื่อวิกตอเรียกับไครีย์

วิกตอเรียสาวแวมไพร์ครึ่งแม่มดหน้าตาสะสวยผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอทำให้รู้สึกถึงแรงดึงดูดที่น่าค้นหา พร้อมดวงตาสีเหลืองประกายอันทรงเสน่ห์ ปากสีแดงสดดั่งดอกกุหลาบ และผิวขาวซีดที่สร้างจุดสนใจให้แก่ใครหลายคน สิ่งนี้ทำให้เธอถือเป็นหนึ่งในหญิงสาวพราวเสน่ห์คนหนึ่งของโรงเรียนที่หลายคนให้ความสนใจ และแล้วคนสุดท้ายในกลุ่มของโอลิเวียคือ

ไครีย์ เงือกสาวครึ่งแม่มดผู้แสนงดงาม ดวงตาของเธอเป็นสีเขียวลึกลับเหมือนสาหร่ายทะเลลึก จมูกอันโด่งเป็นสันพร้อมปากสีสดเหมือนผลเชอรี่สุกทำให้ปากของเธอดูน่าดึงดูด ผิวขาวเหลืองและรูปร่างที่ดูมีน้ำมีนวลของเธอเมื่อรวมกับสัดส่วนทุกอย่างแล้วทำให้เธอดูน่าสนใจไปซะทุกอย่าง

ทั้งสามล้วนมีมนต์เสน่ห์แปลกประหลาดอันน่าหลงใหลและเต็มไปด้วยมนต์ขลังที่ทำให้หลายคนในโรงเรียนล้วนสนใจในตัวพวกเธอจนตั้งชายาว่าสามสาวอะโฟรไดท์ หญิงสาวทั้งสามตรงมาหากลุ่มของเทียน่าด้วยท่าทีเหยียดหยามและหาเรื่องทุกคนโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น สิ่งนี้ทำให้หลายคนไม่พอใจกับการกระทำของพวกเธอ

"พวกเธอคงจะติวกันอยู่สินะ ฉันว่ามันจะไม่สายถ้าเธอยอมแพ้แล้วถอนตัวซะ"

ไครีย์กล่าวกับเทียน่า

"ไครีย์เธอก็พูดเกินไปให้เทียน่าได้ทดสอบความสามารถหน่อย

วิกตอเรียพูดเสริมและยิ้มอย่างเหยียดหยาม

"คงไม่จำเป็นหรอกพวกเราติวกันเองก็ดีอยู่แล้ว" โซอี้ตอบ

"แหม่...โซอี้เธอจะไปรู้อะไร พี่สาวฉันเป็นถึงผู้พิทักษ์ย่อมรู้เรื่องการสอบคัดเลือกดีกว่าคนนอกอย่างพวกเธออยู่แล้ว" โอลิเวียตอบกลับด้วยท่าทีเหนือกว่า ขณะที่ทั้งสามกำลังพูดจาถากถางเทียน่าอยู่ๆโอลิเวียก็หันไปเห็นอนาตาเซีย จึงทำให้เธอเริ่มเลงเป้ามาที่อนาตาเซียต่อ "เอ๋...เธอคนนี้คืออนาตาเซียคนฉลาดประจำชั้นปี 1 หนิ อยู่กลุ่มกับเทียน่าเองหรอ จะว่าไปแล้วเธอก็ไม่ได้ดูเก่งอะไร สงสัยคงใช้โชคช่วยเหมือนที่เขาว่ากันจริงๆเธอสองคนว่าไหม" โอลิเวียพูดพร้อมหัวเราะกับเพื่อนๆของตน

"นี่...เธอ" ลูเซียลุกขึ้นด้วยท่าทีหงุดหงิดและเตรียมตัวจะต่อว่ากลุ่มคนไม่มีมารยาทด้วยความโมโห แต่มาเดลินที่นั่งอยู่ได้ดึงแขนลูเซียเอาไว้ซะก่อน

"อย่าเลยลูเซียคนพวกนี้ทำได้แค่พูดเท่านั้นแหละ"

ทันทีที่โอลิเวียได้ยินเธอก็หันหน้าไปหามาเดลินและตอบกลับด้วยความโมโหทันที

"พวกเธอคิดแบบนั้นจริงๆหรอ เอาไว้รอให้ถึงเวลาแข่งก่อนก็แล้วกันฉันจะรอดูว่าเธอจะผ่านไปได้กี่ด่าน อย่าทำให้ชั้นปีของเราต้องเสียหน้าก็แล้วกัน พวกเรากลับกันดีกว่าวันนี้สนุกพอแล้ว" โอลิเวียหัวหน้ากลุ่มพูดทิ้งท้ายก่อนจะหันหลังเดินจากไป

"หวังว่าเธอจะผ่านรอบแรกได้นะ เทียน่า" วิกตอเรียพูดทิ้งท้ายหลังจากหันหลังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว

"พวกนั้นเป็นใครน่ะ" ลูเซียถาม

"พวกชอบหาเรื่องคนอื่นน่ะ คงคิดว่าตัวเองมีพี่เป็นผู้พิทักษ์แล้วก็มีพ่อเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสตาเดเฟียละมั่งถึงได้ชอบทำตัวแบบนี้" โซอี้กล่าว

"ช่างเถอะยังไงพวกเราก็จะช่วยให้เทียน่าผ่านการคัดเลือกให้ได้" อนาตาเซียพูดให้กำลังใจ

เวลาผ่านไปสักพักจนวันคัดเลือกผู้พิทักษ์รอบแรกมาถึง

"เชิญผู้ลงสมัครทุกคนนั่งตามหมายเลขของตัวเองอีก 5 นาทีการสอบคัดเลือกรอบแรกจะเริ่มขึ้นแล้ว หากจับได้ว่ามีการทุจริตโกงข้อสอบคนนั้นจะถูกตัดสิทธิทันที ทุกคนมีเวลาทำข้อสอบ 3 ชั่วโมง ใครที่สอบแล้วคะแนนไม่ถึงเกณฑ์จะถูกตัดสิทธิไม่ผ่านเข้ารอบต่อไป" อาจารย์ผู้คุมการสอบอธิบายกติกาให้นักเรียนที่เข้ารับการแข่งขันฟัง

ขณะที่เทียน่ากำลังฟังอาจารย์พูดด้วยความตั้งใจอยู่ๆโอลิเวียก็เดินมาพูดบางอย่างกับเทียน่าด้วยท่าทีมั่นใจอย่างปิดไม่มิด

"หวังว่าจะสอบผ่านนะ"

โอลิเวียกล่าวก่อนเดินเข้าห้องสอบอย่างมั่นใจโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น

เทียน่าไม่สนใจคำพูดของโอลิเวียและพยายามทำสมาธิให้นิ่งเอาไว้พร้อมฟังเพียงคำพูดของอาจารย์ผู้คุ้มเท่านั้น

"นักเรียนทุกคนเมื่อนั่งที่เรียบร้อยแล้วรอฟังสัญญาณและเริ่มทำข้อสอบได้"

ทุกคนในห้องตั้งใจทำข้อสอบอย่างตั้งใจเทียน่าเองก็เช่นกันเธอรวบรวมสมาธิแล้วตั้งใจทำข้อสอบด้วยความตั้งใจ

การสอบดำเนินการมาเรื่อยๆจนครบ 3 ชั่วโมง เมื่อสิ้นสุดการสอบเด็กแต่ละคนทยอยเดินออกมาจากห้องสอบด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันทั้งดีใจ เศร้าใจ เสียใจและเฉยๆ เด็กหลายคนออกมาจากห้องจนเหลือเพียงห้องเปล่าทำให้พื้นบริเวณรอบข้างเต็มไปด้วยนักเรียนมากมายแออัดวุ่นวายกันเต็มไปหมด

"เทียน่าเป็นไง ข้อสอบยากไหม" มาเดลินถามเพื่อนด้วยท่าทีตื่นเต้น

"ก็พอไหว" เทียน่าตอบ "จริงๆแล้วเรื่องที่อนาตาเซียกับลูเซียติวให้ออกหลายข้อมากเลยอย่างน้อยครั้งนี้ผลสอบก็น่าจะออกมาดี

"จริงหรอ ! " โซอี้พูดด้วยความดีใจ "แล้วอีกกี่วันจะสอบด่านต่อไป"

"อีก 5 วัน" เทียน่าตอบ "ผลสอบจะออกพร้อมกับประกาศด่านต่อไป" เทียน่าอธิบาย

"ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราไปกินเลี้ยงกันเถอะ" ลูเซียพูดชวนเพื่อนๆของตน

"ตกลง"

หลายวันผ่านไปจนถึงวันประกาศผลผู้ผ่านรอบแรก ผลสอบครั้งนี้ทำให้เด็กหลายคนแตกตื่นและรีบบอกผลสอบรอบแรกให้เพื่อนคนอื่นๆของตนฟังทันที ทำให้วันนี้เกิดความวุ่นวายไม่น้อยสำหรับนักเรียนบางกลุ่ม

"เทียน่าผลสอบของเธอติดหนึ่งใน 5 อันดับท็อปด้วยแหละ ด่านต่อไปเธอต้องได้คะแนนดีแน่เลย" โซอี้พูดพร้อมวิ่งไปหาเทียน่าที่กำลังนั่งทานอาหารเช้าอยู่ด้วยความรวดเร็ว

"ว้าววว เยี่ยมไปเลย" ทุกคนพูดพร้อมกันด้วยแววตาตื่นเต้นพร้อมแสดงความยินดีกับเทียน่าในการสอบครั้งนี้

"เมื่อกี้ฉันไปดูคะแนนสอบมาเธอทำได้คะแนนดีมาก ตอนนี้เธอรีบกินข้าวแล้วไปรวมตัวกับคนอื่นได้แล้วเทียน่า" โซอี้บอก

"ตกลง ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะ"

หลายวันผ่านไปจนเวลาล่วงเลยมาถึงเดือนกว่าๆการแข่งขันดำเนินมาเรื่อยๆจนถึงด่านสุดท้าย ตอนนี้เหลือผู้แข่งขันเพียงแค่ 10 คนเท่านั้นทำให้แรงกดดันรอบข้างเริ่มมากขึ้นๆ

"ผู้เข้าแข่งขันรวมตัวกันที่สนามด้านหน้า" เสียงผู้ดูแลกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันพร้อมเตรียมตัวบอกกติกาครั้งนี้ด้วยน้ำเสียงฮึกเหิม เด็ก 10 คนที่เหลือต่างรวมตัวกันตามคำสั่งและเตรียมตัวสำหรับด่านนี้ทันที "ด่านสุดท้ายคือสู้กับสัตว์อสูร โดยอสูรที่ทุกคนจะต้องสู้ด้วยก็คือ "อสูรนีเมียน" ใครก็ตามที่เข้าไปชิงเอากริซที่อสูรมีเนียนเฝ้ามาได้จะถือเป็นผู้ชนะ และจะได้รับดาบศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวผู้พิทักษ์ พร้อมถูกแต่งตั้งเป็นผู้พิทักษ์ประจำสตาเดฟียรุ่นนี้ ขอให้ทุกคนออกมาจับฉลากว่าใครจะเป็นคนเริ่มก่อน " ผู้ดูแลด่านกล่าว ก่อนที่เด็ก 10 คนจะเดินออกมาจับฉลาก

"ครั้งนี้เธอได้ออกแน่เทียน่า"

โอลิเวียพูดขณะเดินไปจับฉลาก

"ก็ไม่แน่หรอก"

เทียน่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น เธอยื่นมือออกไปจับฉลากและทำตามกติกาทันที

"จับฉลากเรียบร้อยแล้วขอให้ทุกคนโชคดี คนแรกเริ่มได้"

เสียงผู้ดูแลกล่าวก่อนที่นักเรียนคนแรกจะเดินเข้าไปยังสนามประลองเพื่อแย่งชิงเอากริซมาจากสัตว์อสูร

"เฮ้...เฮ้..."

เสียงกองเชียร์ข้างสนามกล่าวตะโกนให้กำลังใจผู้เข้าแข่งขันไม่หยุดหย่อน พร้อมเสียงพูดของผู้บรรยายที่ดังอยู่ตลอดเวลา ผู้บรรยายได้บรรยายถึงเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างออกรสออกชาติพร้อมพูดเหตุการณ์ของผู้เข้าแข่งขันทุกช่วงเวลา จนทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่รอบข้างต่างลุ้นระทึกและค่อยให้กำลังใจกันเต็มที่

การต่อสู้เริ่มดำเนินขึ้นตั้งแต่คนแรกจนเวลาผ่านมาเรื่อยๆครบทุกคน ในระหว่างการแข่งขันมีบางคนยอมแพ้ในระหว่างการแข่ง และบางคนที่มีอาการบาดเจ็บสาหัสก็ต้องหยุดการแข่งไป บางคนที่สู้สัตว์อสูรไม่ได้ก็ต้องถอย ทำให้ตอนนี้จากสิบคนที่เหลือกลับมีเพียง 5 คนเท่านั้นที่ได้เข้าไปเป็นผู้พิทักษ์สตาเดเฟีย คือ 1 เทียน่า 2 มาคัส 3 เอดิน 4 เดเนียล 5 โอลิเวีย หลังจากผ่านด่านสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยทั้ง 5 ได้รับดาบประจำตัวและถูกแต่งตั้งเป็นผู้พิทักษ์ในรุ่นนี้ตามประเพณีของโรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟียโดยสมบูรณ์ ซึ่งพวกเขาสามารถเริ่มทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ได้นับตั้งแต่วินาทีที่ถูกแต่งตั้งเลย