บทที่ 24 ครอบครัวรวมใจ
จะทำให้หมูครึ่งตัวกลายเป็นหมูสามชั้นนั้นไม่ใช่งานง่ายเอาเสียเลย ของที่พวกเขาต้องเตรียมก็มีมากมาย
“ก่อนจะนำลงไปต้มในน้ำพะโล้ ต้องนำไปแช่น้ำเกลือ แต่อากาศหนาวเช่นนี้ ข้ากลัวว่าจะต้องแช่ไปครึ่งคืน” ลุงใหญ่กล่าว
“แล้วก็ยังเรื่องเกลือ บ้านเราไม่ได้มีเกลือมากถึงเพียงนั้น” อวี๋ซงพูดขึ้น
“เครื่องเทศก็ไม่พอ” อวี๋เฟิงได้รับฝีมือการทำอาหารจากบิดามาบ้าง จึงรู้ว่าต้มพะโล้จำเป็นต้องใช้เครื่องเทศจำนวนมาก
“ข้าว่า” นางเจียงซึ่งนั่งเงียบอยู่นานเอ่ยปากขึ้น “ไม่ใช่ต้องฆ่าหมูก่อนหรือ?”
ทุกคน “...”
การฆ่าหมูเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะ คนฆ่าสัตว์เพียงคนเดียวของหมู่บ้านเหลียนฮวาได้ไปออกรบพร้อมกับบิดาของอาหวั่นเสียแล้ว หมู่บ้านข้างๆ มีคนฆ่าสัตว์อีกหนึ่งคน น่าเสียดายที่สองวันก่อนเขากลับบ้านมารดาไปพร้อมกับภรรยาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่กลับมา
“หรือไม่ก็...ข้าจะไปตามซวนจื่อ?” อวี๋ซงกล่าว ซวนจื่อเป็นบุตรชายของคนฆ่าสัตว์ในหมู่บ้าน อายุเท่ากับอวี๋ซง ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน “เขาน่าจะพอเคยฆ่าหมูกับพ่ออยู่บ้าง”
อวี๋เฟิงส่ายหน้า กล่าวว่า “ตอนนั้นซวนจื่อจะอายุเท่าไรกัน? คอยส่งถังให้พ่อก็เรียกว่าฆ่าหมูกับพ่อ ข้าว่าเอาหมูไปฆ่าในตำบลดีกว่า”
ลุงใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นพ้องด้วย “ไปๆ กลับๆ ไม่พูดเรื่องเงินทองที่ต้องจ่าย ความสดของเนื้ออาจลดลงระหว่างทาง ต้องหาสถานที่ฆ่าและแช่หมู”
ทั้งสามคนพูดคุยกันไป ก็เดินถึงบ้านของอวี๋หวั่น
อวี๋ซงเบะปากส่งเสียง ‘หึ’ และพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นจะทำอย่างไร พวกเราจะฆ่าเองอย่างนั้นหรือ?”
ลุงใหญ่เงยหน้ามองท้องฟ้าพลางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ตอนนี้ดูแล้ว พวกเราฆ่าเองจะดีกว่า”
ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงฟืดฟาดมาจากหลังบ้าน
ทั้งสามคนเดินไปดูที่หลังบ้าน กลับเห็นอวี๋หวั่นใช้ไม้ตีหมูจนสลบไปแล้ว จากนั้นจึงจับขาหน้าและขาหลังของหมู แล้วเหวี่ยงขึ้นไปบนเก้าอี้ยาว มือหนึ่งยึดเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งลงมีดทันที
หมูยังไม่ทันรู้สึกถึงความเจ็บปวด ก็โดนอวี่หวั่น ‘โปรดสัตว์’ เสียแล้ว
สามพ่อลูกมองตาค้าง กลืนน้ำลายลงคอ
เด็กคนนี้หายตัวไปหนึ่งปี คงมิใช่ถูกคนชักจูงไปฝึกฆ่าหมูหรอกกระมัง…
คืนนี้น่าจะไม่ได้นอน
เพื่อที่จะทำทำน้ำพะโล้รสเลิศ ลุงใหญ่ต้องต้มน้ำพะโล้คุณภาพดี อวี๋หวั่นก็จำเป็นต้องต้มเกลือชั้นดีออกมา พี่ชายและน้องชายสกุลอวี๋จึงรีบเข้าไปในตำบลโดยเร็วที่สุด พวกเขาซื้อเครื่องเทศ เครื่องเคียงต่างๆ รวมไปถึงน้ำตาลกรวด
อวี๋หวั่นซื้อเกลือมาสิบจิน เมื่อสกัดออกมากลับเหลือไม่ถึงหกจิน จึงให้พี่ใหญ่และพี่รองซื้อมาเพิ่มอีกหนึ่งถัง พร้อมกับถั่วเหลืองสำหรับต้มเกลือ
อวี๋หวั่นนำเกลือที่ต้มเสร็จเรียบร้อยไปให้ลุงใหญ่
ลุงใหญ่เริ่มแช่หมูในน้ำเกลือ หมูครึ่งตัวที่จะเก็บไว้สำหรับฉลองปีใหม่นั้นจำเป็นต้องเค็มสักหน่อย แต่ส่วนที่จะนำมาต้มพะโล้ต้องรสอ่อนกว่ามาก
ป้าสะใภ้ใหญ่ก็มาช่วย
ทั้งบ้านมิได้วุ่นวายเช่นนี้มานานแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่มองเนื้อซึ่งวางอยู่เต็มบ้าน ก็แทบไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง
“เจ้านำไปแขวนให้ดี แขวนไว้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท” ลุงใหญ่ชี้ไปยังถังไม้ที่เต็มไปด้วยเนื้อ
เนื้อหมูเหล่านี้คือส่วนที่เหลือเอาไว้สำหรับฉลองวันส่งท้ายปี
“ข้ารู้น่า!” ป้าสะใภ้ใหญ่พูดอย่างกระตือรือร้น
ครัวของบ้านอวี๋หวั่นเล็กเหลือเกิน ไม่พอวางเนื้อหมูพะโล้ที่มากเช่นนี้
นางเจียงคอยดูแลเด็กน้อยทั้งสองคน อวี๋หวั่นกับสามพ่อลูกหาบเนื้อหมูพะโล้ไปยังบ้านเดิม
คืนนี้ กลิ่นหอมของหมูพะโล้จากบ้านลุงใหญ่ขจรขจายไปครึ่งค่อนหมู่บ้าน ทำเอาชาวบ้านต่างอยู่ไม่สุข!
ครึ่งคืนหลังจึงต้มหมูพะโล้ทั้งหมดเสร็จ
“อาหวั่น ลองชิมนี่” ลุงใหญ่หั่นหมูสามชั้นที่ต้มเสร็จเรียบร้อยแล้วหนึ่งแผ่น ยื่นไปตรงหน้าให้อาหวั่น
หม้อน้ำพะโล้เป็นดูประกาย กลิ่นหอมพวยพุ่ง อบอวลไปในอากาศ หมูเนื้อแน่น มีมันทว่าไม่มันจนเลี่ยน น้ำพะโล้ข้นคลั่ก เค็ม หอม นุ่ม และหนึบ ทั้งแกมด้วยรสหวานกำลังพอดี
“เป็นอย่างไร” ลุงใหญ่เอ่ยถามพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ
“อร่อย!” อวี๋หวั่นตอบโดยไม่หยุดคิด
ลุงใหญ่ก็หั่นให้เธอเพิ่มอีกหนึ่งชิ้นใหญ่
อวี๋เฟิงและอวี๋ซงต่างก็อยากกินจนทนไม่ไหว รีบปรี่เข้ามา
ลุงใหญ่หั่นให้พวกเขาคนละสองแผ่น
ทั้งสองคนมองเนื้อหมูพะโล้ชิ้นเท่าเล็บที่วางอยู่เบื้องหน้า และมองไปยังเนื้อหมูชิ้นใหญ่จนแทบยัดใส่ชามไม่ลงของอวี๋หวั่น ก็มุมปากกระตุก อยากเป็นลมไปตามๆ กัน...
“ท่านลุงใหญ่ หมูสามชั้นพวกนี้ไม่ต้มหรือ?” อวี๋หวั่นเอ่ยถามขึ้น พลางมองไปยังเนื้อหมูบนเตาที่ยังมิได้นำไปต้ม
ลุงใหญ่หัวเราะ ตอบว่า “เนื้อสามชั้นส่วนล่าง น้ำพะโล้ยังต้มไม่ได้ที่นัก นำไปทอดกรอบจะอร่อยที่สุด”
เนื้อสามชั้นส่วนล่างหมายถึงเนื้อส่วนท้องของหมู มีไขมันและเนื้อแดงใกล้เคียงกัน เหมาะกับการทอดให้กรอบนอกนุ่มในเป็นที่สุด
เมื่อลุงใหญ่ทำหมูทอดกรอบเสร็จหนึ่งจานใหญ่ ก็ย่างเข้ายามสี่[footnoteRef:1]ของอีกวันแล้ว [1: ยามสี่ หมายถึงช่วงเวลาประมาณตีหนึ่งถึงตีสาม]
หิมะตกไปครึ่งค่อนคืน บนถนนมีหิมะสะสมเป็นชั้นหนา
พวกเขาเก็บของเสร็จเรียบร้อย ก็เช่าเกวียนจากในหมู่บ้าน ล้อเกวียนย่ำลงบนหิมะหนา กลุกกลักๆ ไปตลอดทาง
แม้ว่าจะเป็นตลาดเล็ก แต่เพราะว่าใกล้ปลายปีแล้ว ตลาดเล็กครั้งนี้จึงมิได้ด้อยไปกว่าตลาดใหญ่เลย เพียงแต่ว่า เนื่องจากมีหิมะตกลงมาหนา ผู้คนจึงเดินทางกันมาค่อนข้างสาย
อวี๋หวั่นพบว่าค่าแผงแพงขึ้น และนั่นหมายความว่าค่าสินค้าก็ต้องแพงขึ้นตามไปด้วย
แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
อวี๋หวั่นเช่าสองแผงในรวดเดียว แผงหนึ่งสำหรับขายต้มพะโล้ อีกแผงหนึ่งสำหรับขายอาหารจากป่า
ลุงใหญ่ขาแข้งไม่ดีนัก อวี๋หวั่นจึงนำเก้าอี้มาให้เขานั่ง ตอนนี้ลูกค้าบางตา เธอกับพี่ชายทั้งสองจึงรีบตั้งแผง
“นางหนู เป็นเจ้าอีกแล้ว วันนี้ปลาเป็นอย่างไร สดหรือไม่” สตรีหุ่นอวบนางหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
“แม่นางอู๋” อวี๋หวั่นทักทายด้วยความเกรงอกเกรงใจ เธอนั่งยอง ช้อนปลาจี้อวี๋ตัวอวบอ้วนด้วยมือเปล่า ปลาตัวนั้นส่ายหัวสะบัดหาง มันยังมีชีวิตอยู่ “ปลาที่ข้าขาย ท่านยังไม่วางใจอีกหรือ? อากาศหนาว น้ำในทะเลสาบแข็งแล้ว นี่เป็นปลาชุดสุดท้าย หากขายหมด ปีนี้ก็คงหาซื้อไม่ได้อีกแล้ว”
เมื่อฟังดังนั้น สตรีร่างท้วมจึงตัดสินใจซื้อห้าตัว!
อีกด้านหนึ่ง หม้อตั้งเสร็จแล้ว ลุงใหญ่จึงนำน้ำพะโล้ไปต้มอย่างไม่รีบร้อน กลิ่นหอมของน้ำพะโล้หอมฟุ้งจรุงจิตไปทั่วตลาด
สตรีนางนั้นมองไปยังแผงด้านข้าง “นี่ก็ของบ้านเจ้าหรือ”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ใช่ค่ะ วันนี้เพิ่งทำ ฝีมือทำอาหารของลุงใหญ่ข้าดีมาก ไม่เชื่อท่านลองชิม”
สตรีร่างท้วมกินหมูสามชั้นร้อนๆ เข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยว อีกครู่หนึ่งก็ตาลุกวาวขึ้นทันที “โอ้โห! เหตุใดถึงอร่อยเพียงนี้! เอาให้ข้าหนึ่งจินเร็ว!”
อวี๋หวั่นถามว่า “หมูสามชั้นหนึ่งจินหรือ? หรือว่าหมูสามชั้นครึ่งจิน เนื้อไม่ติดมันอีกครึ่งจิน? ราคาพอๆ กัน”
“จินละเท่าไรหรือ?” สตรีร่างท้วมเอ่ยถาม
อวี๋หวั่นตอบว่า “ขายให้คนอื่นสามสิบห้าอีแปะ ท่านเป็นลูกค้าประจำ แถมวันนี้ยังเปิดกิจการเป็นวันแรก ขายให้ท่านสามสิบอีแปะก็แล้วกัน”
“ไฉนแพงเช่นนี้เล่า” สตรีร่างท้วมตกใจ
คิดแล้วก็แพงจริงๆ นั่นแล ทว่าหากไม่พูดถึงต้นทุนแรงงาน พวกเขาใช้เกลือชั้นดี ต้นทุนค่าเกลือเพียงอย่างเดียวก็แพงกว่าร้านอื่นมากแล้ว ตั้งราคาต่ำเช่นนี้ก็เพื่อเปิดตลาดเท่านั้นเอง
“ของร้านเจ้าแพงกว่าร้านอื่นอีก!” สตรีร่างท้วมบ่นอุบ
อวี๋หวั่นตอบกลับไปว่า “วิธีการไม่เหมือนกัน วัตถุดิบก็ไม่เหมือนกัน ราคาจึงไม่เท่ากันเป็นธรรมดา ท่านเป็นผู้มีประสบการณ์ รสชาติดีหรือไม่ดีท่านชิมออก”
เมื่อถูกเยินยอโดยมิทันตั้งตัวเช่นนี้ สตรีร่างท้วมก็ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร แม้ว่าจะรู้สึกผิดอยู่บ้าง ทว่านางขาดเงินอีกไม่กี่เหรียญ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจซื้อ “เจ้าเอาอย่างอื่นให้ข้าแล้วกัน”
“หนังหมูพะโล้ของบ้านข้าก็ไม่เลวเช่นกัน” อวี๋หวั่นหั่นหนังหมูซึ่งดูเป็นมันเงาน่ากินให้นางครึ่งม้วน “ท่านนำชามมาหรือไม่ ข้าจะตักน้ำแกงให้ท่านด้วย น้ำแกงของบ้านข้าไม่เค็ม นำไปคลุกเนื้อหมูพะโล้ได้ นำไปผัดผักหรือแช่ข้าวก็ย่อมได้ ทำอะไรก็อร่อยไปเสียทุกอย่าง”
ลุงใหญ่นั่งเก็บเงินอยู่ด้านข้าง ได้ยินอวี๋หวั่นพูดว่า ‘ของบ้านข้า’ ออกมาแต่ละคำ ก็ยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงหูก็มิปาน
..................................................