บทที่ 2 ข้ามมิติ
“ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว สรรพสิ่งล้วนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง อีกทั้งยังเป็นฤดูหาคู่ของสัตว์...”
อวี๋หวั่นตื่นเพราะเสียงบ้านี้อีกแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าป้าใหญ่จอมรบเร้าให้เธอแต่งงานผู้นี้เองที่เป็นคนทำ
พ่อแม่ของอวี๋หวั่นเสียไปนานแล้ว เธอเติบโตมากับป้าใหญ่ ป้าใหญ่เป็นผู้อำนวยการสวนสัตว์ ส่วนสูง 180 เซนติเมตร และเป็นที่คนเสียงดังผิดปกติ
อวี๋หวั่นปัดหน้าจอรับสายพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้ห่างออกไปสุดแขน
“อะไรกัน?! นี่กี่โมงกี่ยามแล้ว?! นักอนุบาลสัตว์เขารอแกมาสองชั่วโมงแล้ว! แกยังไม่อยากแต่งงานใช่ไหม จะแต่งไม่แต่ง?! แกจะพึ่งป้าอยู่นี่ทั้งชีวิตเลยหรือไง ป้าเตือนแกไว้เลยนะ แกอายุ 18 แล้ว ป้าไม่มีหน้าที่เลี้ยงดูแกแล้ว! ถ้าปีนี้แกไม่แต่งงานออกไป ป้าจะให้แก...”
อวี๋หวั่นหูชาไปหมด คงไม่ต้องบอกก็เดาได้ ป้าใหญ่ยื่นคำขาดแบบนี้กับเธอทุกเดือน แต่พูดไปก็สองไพเบี้ย สามเดือนที่ผ่านมาก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
แต่เดี๋ยวก่อน...นักอนุบาลสัตว์?
ดอกเตอร์ด้านสัตววิทยาที่เลี้ยงลูกหมีแพนด้า?
เข้าใจแล้ว
บางทีเธออาจจะแอบขโมยออกมาได้สักตัว
อวี๋หวั่นเก็บข้าวของแล้วลงไปชั้นล่าง ใครจะรู้ว่าเมื่อเปิดประตูรถ ก็มีกระถางต้นไม้ใบหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า
……
อวี๋หวั่นตื่นขึ้นมาท่ามกลางความหนาวเหน็บ เมื่อได้สติก็พบว่าตนนอนอยู่บนถู่คั่ง ซึ่งสภาพทรุดโทรม เธอนอนทับอยู่บนฟูกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับ ส่วนที่ห่มตัวเธออยู่นั้นก็คือผ้านวมที่เหม็นอับยิ่งกว่า
สายลมเย็นยะเยือกแทรกผ่านช่องเล็กๆ บนผนัง ทำให้ห้องซึ่งเดิมทีก็หนาวจนทรมานอยู่แล้ว ยิ่งหนาวมากขึ้นไปอีก
สมองของเธอสับสนวุ่นวายไปหมด มีภาพและเสียงแปลกๆ พุ่งเข้ามาในหัวของเธอ แต่ทว่าทุกอย่างล้วนพร่ามัว เธอไม่รู้ว่านี่คือความจริง หรือสมองเธอได้รับการกระทบกระเทือนกันแน่
ในห้องปกคลุมไปด้วยแสงสลัวของกองไฟ
อวี๋หวั่นมองตามแสงไฟไป ก็เห็นผนังฝั่งตรงข้ามหน้าต่าง ที่พื้นมีเด็กผู้ชายตัวเล็กผอมโซคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อผ้าแบบโบราณซึ่งทั้งเก่าทั้งขาดรุ่งริ่ง
เตาอั้งโล่ที่วางอยู่ด้านหน้าเขามีไม้ชื้นๆ ท่อนหนึ่งเสียบไว้ แต่เพราะจุดไฟไม่ติด เด็กน้อยจึงพยายามใส่หญ้าแห้งและใบไม้เข้าไปเพิ่ม
แม้ว่าการก่อไฟนั้นยากลำบาก แต่ในที่สุดก็ทำสำเร็จ
ดูจากสถานการณ์แล้ว เหมือนว่าเด็กคนนี้ตื่นมาแบกกาน้ำโลหะสภาพซอมซ่อซึ่งมีน้ำปริ่มเพื่อนำไปตั้งบนเตา
อวี๋หวั่นรู้สึกมึนงง
“นี่” อวี๋หวั่นส่งเสียงเรียก
เด็กน้อยหันมามอง ดวงตาเป็นประกาย และกล่าวว่า “ท่านพี่ตื่นแล้วหรือ”
เขาวางคีมคีบถ่านลง และวิ่งตรงมาหาอวี๋หวั่น
เด็กน้อยคนนี้เรียกเธอว่า ‘ท่านพี่’ ถ้าเช่นนี้ ความทรงจำช่วงนั้นก็ไม่ได้มาจากจินตนาการ เธอได้กลายคนเป็นอีกคนหนึ่งไปแล้ว
“ท่านพี่ ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
อวี๋หวั่นส่ายหัวอย่างไม่มั่นใจ พร้อมตอบว่า “ไม่ แล้วท่านแม่เล่า”
“ท่านแม่เป็นลม” เขาตอบ
“เป็นลมได้อย่างไร” อวี๋หวั่นถาม ถึงแม้ว่าความทรงจำจะบอกเธอว่าท่านแม่ร่างกายไม่แข็งแรง กระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยดีนัก แต่ไม่ได้รุนแรงจนอยู่ในจุดที่จะเป็นลมล้มพับไปได้
เด็กน้อยก้มหน้า และตอบอย่างเศร้าสร้อยว่า “พวกเขาบอกว่าท่านพี่ตายแล้ว ท่านแม่ก็ร้องไห้ ร้องแล้วร้องอีก หลังจากนั้นก็เป็นลม”
ที่แท้ก็เพราะสะเทือนใจ...
อวี๋หวั่นมองน้องชาย สัมผัสได้ถึงความกังวลและความกลัวที่อยู่ในจิตใจของเขา ลำบากเขาแล้ว ญาติสนิทคนหนึ่งก็ตายจากไป อีกคนหนึ่งก็ไม่ได้สติ ไม่รู้จริงๆ ว่าเขายืนหยัดอยู่ได้อย่างไร
อวี๋หวั่นยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กๆ ของเขา พลางกล่าวว่า “เห็นไหมว่าพี่ยังไม่ตาย”
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้น ประกายในดวงตากลับมาอีกครั้ง และตอบว่า “อื้ม!”
อวี๋หวั่นมองดูเตาไฟและกาต้มน้ำที่แทบจะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเครื่องครัว พร้อมเอ่ยถามว่า “รินน้ำให้พี่สักแก้วได้ไหม เห็นเจ้าต้มน้ำแล้ว”
“ได้!” เด็กน้อยเดินไปอย่างตื่นเต้น เขามีความสุขเพราะได้ใช้ความสามารถของตัวเองให้เป็นประโยชน์ แต่แน่นอนว่าเขายังเล็กเกินกว่าจะรู้ว่าน้ำที่ต้มเดือดแล้วจึงดื่มได้ เมื่อเห็นว่ามีไอร้อน ก็คิดว่าน้ำเดือดแล้ว
เขาเทน้ำอุ่นลงในชามดินเผาใบใหญ่ที่ขอบบิ่น ประคองถ้วยอย่างระมัดระวัง และนำมาให้เธอ
น้ำนี้ยังต้มไม่เดือด ถ้าเป็นโลกปัจจุบัน เธอต้องถูกป้าใหญ่บ่นจนแมลงกินหูแล้วเป็นแน่
‘ดื่มน้ำที่ยังไม่ได้ต้ม? แกไม่กลัวพยาธิหรือไง พวกเด็กวัยรุ่นนี่ไม่เคยดูแลสุขภาพตัวเองเลย!’
อวี๋หวั่นไม่ได้พูดเหมือนที่ป้าใหญ่พูด เธอเคยดื่มน้ำที่ยังไม่ได้ต้มมาก่อน เพียงแต่ตอนนี้มองย้อนไป เธอไม่แน่ใจว่าตนเองไม่ได้ใส่ใจ หรือแค่อยากต่อต้าน จงใจไม่ใส่ใจเสียเอง
ป้าใหญ่เป็นคนดี แต่ทว่าบางครั้งก็จุกจิกเสียจนเธอทนไม่ไหว…
อวี๋หวั่นหัวเราะอย่างขมขื่น ข้ามมิติมาอยู่ที่นี่ นึกอยากถูกป้าใหญ่บ่นอีกสักครั้ง ก็ไม่มีโอกาสเสียแล้ว
ทันใดนั้น ก็มีลมเย็นวูบหนึ่งพัดขึ้นมาข้างมือของเธอ
ที่แท้ก็เป็นเด็กน้อยนี่เอง เขาเห็นว่าเธอไม่ยอมดื่มน้ำเสียที คิดว่าน้ำคงร้อนเกินไป จึงช่วยเป่าให้
อวี๋หวั่นดื่มน้ำในชามจนหมด
เมื่อดื่มน้ำหมด เธอรู้สึกว่าสติกลับมาแล้ว จึงถามเด็กน้อยว่า “ว่าแต่ พี่หลับไปกี่วัน”
“สามวัน”
ถ้าเช่นนั้น ท่านแม่ของพวกเขาก็หมดสติไปแล้วสามวัน?
อวี๋หวั่นมองเด็กชายตัวน้อยที่ใบหน้าเหลืองและร่างกายซูบผอม จึงลองถามว่า “ไม่กี่วันมานี้เจ้ากินอะไรแล้วบ้างหรือยัง”
“กินแล้ว! กินในห้องของท่านย่า” เด็กน้อยตอบ
“กินอื่มหรือไม่” อวี๋หวั่นถาม
เด็กชายตัวน้อยไม่กล่าวอะไรต่อ
ริมฝีปากแตก ใบหน้าซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง คงเพราะไม่มีอะไรกินนั่นเอง
อวี๋หวั่นเปิดผ้าห่มออก สวมเสื้อกันหนาวผ้าสำลีที่เต็มไปด้วยรอยปะ แล้วเอ่ยกับน้องชายผู้หิวโซว่า “ไป ไปดูท่านแม่กันก่อน แล้วจะหาอะไรให้เจ้ากิน”
............................................