webnovel

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป... วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม...

เพียนฟางฟาง · História
Classificações insuficientes
946 Chs

001 บทนำ

บทที่ 1 บทนำ

วันที่มืดครึ้มได้ผ่านพ้นไป ในที่สุดวันที่สดใสก็กลับมาแล้ว อาหารในบ้านมีไม่เพียงพอ อาหวั่นจึงสะพายตะกร้าไปขุดหัวผักกาด

“อาหวั่น! ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่? สามีเจ้ามาแล้ว!”

สตรีนางหนึ่งเดินถือบุ้งกี๋เข้ามา

ใบหน้าอาหวั่นซึ่งกำลังนั่งยองอยู่ที่พื้นเปลี่ยนเป็นสีแดง “ท่านป้าอย่าพูดไป ใครกัน ใครคือสามีของข้า?”

ท่านป้าหัวเราะเย้าหยอก “ประเดี๋ยวก็จะแต่งงานกันแล้ว หากมิใช่สามีของเจ้า แล้วจะเป็นสามีของข้าอย่างนั้นหรือ?”

ณ อีกด้านหนึ่งของคันนา สตรีชาวนากลุ่มหนึ่งหัวเราะกันคิกคัก

อาหวั่นหน้าแดงแปร๊ด แม้ปากจะไม่ยอมรับ แต่นางรู้ว่า นางมีว่าที่เจ้าบ่าวจริงๆ นั่นแล

ว่าที่เจ้าบ่าวสกุลจ้าว นามว่าจ้าวเหิง เป็นซิ่วไฉ เพียงคนเดียวของหมู่บ้าน

จ้าวเหิงมิใช่คนในพื้นที่ ทว่าอพยพมาเมื่อสงครามเริ่มปะทุ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านของพวกเขาตั้งแต่นั้นมา

บิดาของจ้าวเหิงตายระหว่างสงคราม เหลือเพียงเขากับมารดาที่เป็นหม้าย และน้องสาวซึ่งอายุเท่ากับอาหวั่น

ปีนั้นช่างโชคดีเหลือเกินที่ครอบครัวของอาหวั่นต้องการความช่วยเหลือ สามแม่ลูกจึงพอผ่านพ้นความลำบากไปได้

สถานการณ์ของครอบครัวอาหวั่นก็ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่บิดาของอาหวั่นไปเป็นทหาร ครอบครัวขาดเสาหลัก และค่อยๆ ขัดสนขึ้นเรื่อยๆ

แต่ไม่ว่าจะขัดสนอย่างไร อาหวั่นก็ไม่ยอมให้จ้าวเหิงต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

อาหวั่นนำหัวผักกาดที่เด็ดไว้ใส่ลงในตะกร้าสะพายหลัง จิตใจคิดเพียงว่าจะกลับบ้าน

นางเดินผ่านบ่อน้ำ จึงนั่งยองลงเพื่อล้างดินที่เปื้อนบนมือออก

มือของนางโดนความหนาวเย็นกัด เมื่อแผลสัมผัสกับน้ำ ก็รู้สึกเจ็บจนสะดุ้งเฮือก!

จากนั้น นางปลดผ้าผูกผม ใช้แตะน้ำและสางเส้นผมจนเป็นมันเงา ถักเปียเส้นน้อยไว้ข้างหู และค่อยๆ หยิบผ้าผูกผมสีแดงที่ใช้ในวันปีใหม่ออกมามัดผมเปียไว้

เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็ใช้มือที่หนาวเหน็บจนไร้ความรู้สึก วักน้ำอันเย็นเฉียบและมีกลิ่นคาวปลาขึ้นมาล้างหน้า

“หนาวจะตายอยู่แล้ว!” อาหวั่นรู้สึกหนาวจนร้องออกมา

จ้าวเหิงเดินไปเดินมาอยู่หน้าบ้านของอาหวั่นมาพักใหญ่ ทว่าไม่เห็นอาหวั่น จึงตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่ ไหนเลยจะรู้ว่า ขณะที่เขาเดินผ่านบ่อปลา ก็บังเอิญเห็นอาหวั่นกำลังล้างหน้าอยู่ริมฝั่ง

จ้าวเหิงคิ้วขมวด น้ำนี่ใช้ล้างหน้าได้หรือ? กลิ่นคาวรุนแรงเสียขนาดนี้

อาหวั่นเห็นจ้าวเหิง ก็รุดรีบลุกขึ้นยืน

มิได้พบกันครึ่งปี บัดนี้จ้าวเหิงสูงขึ้นมาก

แม้ว่าจ้าวเหิงจะอายุมากกว่าอาหวั่นสามปี ทว่าในตอนที่เพิ่งมาอยู่ที่หมู่บ้าน เขาผอมกว่าอาหวั่นเสียอีก

“อาเหิง!” อาหวั่นเดินไปมาพร้อมกับใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ดรุณีน้อยสวมเสื้อกันหนาวผ้าสำลีตัวใหญ่จนดูอ้วนกลม ที่หัวเข่าและข้อศอกมีรอยปะชุน ดูยากจนข้นแค้นยิ่งนัก ทว่าใบหน้ารูปไข่นั้นสะสวย พื้นที่แถบนี้หาผู้ที่งามกว่านางได้ยากยิ่ง

ก่อนหน้านี้ จ้าวเหิงยังคิดว่าอาหวั่นคือสตรีที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยพบ เพียงแต่หลังจากที่พบบุตรสาวจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงแล้ว และเมื่อได้พบกับอาหวั่นอีกครั้ง เขาก็มองเห็นเพียงกลิ่นดินกลิ่นโคลนและความยากจน

อาหวั่นมองไปยังมือของจ้าวเหิง มือของบัณฑิต นิ้วเรียวยาว ดูสะอาดสะอ้าน

อาหวั่นรีบหดมือซึ่งโดนความเย็นกัดจนบวมเข้าไปในแขนเสื้อ นางยิ้ม และถามเขาว่า “เจ้ามาทำไมหรือ? เพิ่งกลางเดือน ยังไม่ถึงวันจ่ายค่าเรียน...เงินที่มีอยู่เจ้าใช้ไปหมดแล้วหรือ? เช่นนั้นข้าจะไปหยิบเงินให้”

ที่จริงก็เหลือเพียงไม่เท่าไร เหลือเพียงเงินก้อนไม่กี่ก้อนสุดท้าย นางยังมิได้ซื้อของสำหรับวันขึ้นปีใหม่ กระนั้นการศึกษาของจ้าวเหิงก็สำคัญ ท่านแม่คงไม่ว่าอะไร

“อาหวั่น” จ้าวเหิงเรียกนาง

อาหวั่นหันหลังกลับมา รอยยิ้มอ่อนหวานพาดผ่านใบหน้าของนางซึ่งแดงระเรื่อเพราะสัมผัสกับความหนาวเย็น “หืม?”

“เจ้าไม่ต้องให้เงินข้าแล้ว” จ้าวเหิงกล่าว

“ทำไมเล่า เจ้าไม่เรียนหนังสือแล้วหรือ?” อวี๋หวั่นเอ่ยถามด้วยความตกใจ

จ้าวเหิงชะงักไป “ไม่ใช่...”

อาหวั่นคิดว่าเขากังวลเรื่องค่าเล่าเรียน นางจึงปัดที่อกเสื้อของเขาพลางกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้ามีเงินอยู่! ข้า...ข้าหาได้! พอเข้าฤดูใบไม้ผลิ ข้าก็จะไปเก็บผักในป่า! ข้าจะไปตัดฟืน! แล้วก็ปลูก...”

“อาหวั่น เงินของเจ้าเอามาจากที่ใด” จ้าวเหิงพูดตัดบท

อาหวั่นรู้สึกตะลึง

จ้าวเหิงกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจว่า “เจ้ามิต้องปิดบังข้า ข้ารู้หมดแล้ว เงินของเจ้าได้มาอย่างไม่ใสสะอาด...เมื่อสองปีที่แล้วเจ้าไม่ได้ไปบ้านท่านยาย เจ้า...เจ้าไปทำงานในหอคณิกา”

สายฟ้ากลางวัน สายหนึ่งผ่าลงเหนือศีรษะของอาหวั่น

อาหวั่นผงะไป ตะกร้าสะพายหลังตกลงบนพื้น หัวผักกาดสีแดงกลิ้งกลุกๆ

อาหวั่นหน้าซีดเผือด นางมองจ้าวเหิงพร้อมกล่าวว่า “ใคร? ใครบอกเจ้า?”

จ้าวเหิงกำหมัดแน่น “เจ้ามิต้องใส่ใจว่าผู้ใดบอกข้า เจ้าเพียงบอกมาว่าจริงหรือไม่! เจ้าไปเป็นนางคณิกาใช่หรือไม่”

ขอบตาของอาหวั่นแดงก่ำ นางจับแขนของจ้าวเหิง “อาเหิง...”

จ้าวเหิงเหลือบเห็นมือบวมๆ ของนางโดยไม่ทันตั้งตัว ก็รีบดึงแขนกลับด้วยความกลัว

อาหวั่นสัมผัสได้ถึงความรังเกียจของเขา จึงไม่กล้าเอื้อมมือไปจับเขาอีก จึงได้แต่พูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ข้า...ข้าไม่ได้ไปเป็นนางคณิกา! อาเหิงเจ้าเชื่อข้าเถิด เงินของข้าเป็นเงินสะอาด! ข้านำป้ายหยกไปแลก!”

จ้าวเหิงเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้านำป้ายหยกมาจากที่ใด”

“ข้าเก็บได้!” อาหวั่นตอบ

จ้าวเหิงแดกดันว่า “แค่เก็บป้ายหยกไปแลกจะได้เงินมากเพียงนี้เชียวรึ?”

แต่เดิมเขาไม่ประสีประสา คิดว่าเงินค่าเล่าเรียนแสนแพงนี้ ล้วนได้มาจากอาหวั่นซึ่งปลูกผักและตัดฟืน ทว่าใครจะรู้เล่า...ว่าแท้จริงแล้วอาหวั่นนำร่างกายไปแลกมา!

นางไม่รู้สึกอับอายบ้างหรือ? รู้สึกหรือไม่?

อาหวั่นได้หมั้นหมายกับเขาไว้แล้ว แต่ยังไปทำเรื่องพรรค์นั้นกับชายอื่น!

นางสกปรกยิ่งนัก!

“อาเหิงเจ้าเชื่อข้า ข้าไม่ได้ไปเป็นนางคณิกา ข้าสาบานได้!” อาหวั่นร้องไห้จนแทบขาดใจ นางไม่ได้ไปเป็นนางคณิกา ไม่เคยเลยจริงๆ…

ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันมาเป็นเวลานาน จ้าวเหิงและน้องสาวล้วนกินข้าวที่บ้านของอาหวั่น อาศัยอยู่ในบ้านของอาหวั่น เขายังจำได้ว่าในตอนที่ทั้งหมู่บ้านต้องเผชิญกับความอดอยาก ก็เป็นอาหวั่นที่แบ่งอาหารของตน มาป้อนให้เขากินทีละคำๆ

หากมิใช่เพราะอาหวั่น ไม่แน่ว่าเขาอาจหิวตายไปนานแล้ว

สรุปแล้วก็รู้สึกดีต่ออาหวั่น

“เจ้าวางใจเถิด เห็นแก่ที่ข้ากับเจ้ารู้จักกันมานาน ข้าจะไม่นำเรื่องนี้ไปบอกใคร เพียงแต่ข้าจะไม่แต่งงานกับเจ้าแล้ว” จ้าวเหิงกล่าวด้วยความเมตตา

จ้าวเหิงคิดว่า เขาทำดีที่สุดแล้ว อย่างไรเสียชื่อเสียงก็สำคัญที่สุดสำหรับสตรี เขายินดีรักษาเกียรติของนาง นางก็ควรจะรู้จักพอ

จ้าวเหิงกล่าวอย่างผ่าเผยว่า “ข้าเป็นซิ่วไฉ อาจารย์กล่าวว่าความสามารถเช่นข้า สักวันหนึ่งจะได้เข้ารับราชการ แต่งงานกับสตรีที่ไม่บริสุทธิ์เช่นเจ้า...เรื่องงานแต่งข้าจะยกเลิกเอง จากนี้เจ้าไม่ต้องมาหาข้าแล้ว”

กล่าวจบ จ้าวเหิงก็ไม่กล้ามองใบหน้าอันโศกสลดของอาหวั่น เขารีบเดินไปประหนึ่งกำลังหลบหนี

ทว่าเมื่อวิ่งไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงดังราวกับมีบางอย่างตกลงไปในน้ำ

“อาหวั่น...!”

.......................................