webnovel

ค่ำคืนสีเลือด 1

ณ สนามบินกรุงเทพ – ดอนเมือง

มิ้นท์หรี่ตามองสองสาวที่ขนสัมภาระมาแบบจัดเต็ม กระเป๋าสีสันสดใสคนละสองใบพร้อมกระเป๋าสะพายลายการ์ตูนสุดน่ารัก

"เราจะไปทำงานไม่ได้ไปเที่ยว"

โบว์แย้งขึ้นมา

"หัวหน้ามิ้นท์บอกว่าเราจะไปหลายวันนี่คะ พวกเราก็ต้องเตรียมพร้อมแบบสุด ๆ สิ"

ฟ้าช่วยสัมทับ

"ใช่ ๆ"

มิ้นท์ทำหน้าเอือมระอา พลางมองการแต่งตัวของทั้งสองคน นี่ถ้าวันนี้มีการประกวดคอสเพลย์ สองสาวนี่คงจะชนะเลิศไปแล้ว

โบว์และฟ้าเป็นสาวน้อยจอมเวทที่หนุ่ม ๆ ในแผนกต่างพากันเชียร์ให้เธอแย่งตัวมาอยู่ในหน่วยให้ได้ในตอนคัดเลือก สองสาวเป็นจอมเวทสาวตัวเล็กน่ารัก โบว์นั้นชอบอยู่ในชุดโทนสีชมพูส่วนฟ้าก็ชอบอยู่ในชุดโทนสีฟ้าขาว การแต่งตัวน่ารักคิกขุทำสองสาวได้รับหน้าที่ในการประสานงานกับประชาชนผู้เดือดร้อนอยู่บ่อยครั้ง นั่นทำให้มิ้นท์ตัดสินใจพายัยสองตัวนี้มาด้วย

มิ้นท์มองการแต่งตัวของทั้งสองแล้วก็ถอนหายใจออกมาแรง ๆ อย่างน้อยความน่ารักนี้คงจะช่วยทำให้การเจรจาดีขึ้นบ้างละนะ

สามสาวพากันเดินไปขึ้นเครื่องบินสมัยใหม่ที่มีลักษณะคล้ายกับรถทัวร์ที่มีไอพ่นสองคู่ติดอยู่หัวท้าย เครื่องบินสมัยนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าบวกกับวิทยาศาสตร์เรื่องสนามแม่เหล็กในการขับเคลื่อน นั่นทำให้ค่าตั๋วมีราคาที่ถูกลงเป็นอย่างมาก ทั้งสามพากันขึ้นไปบนเครื่อง ภายในเครื่องบินนั้นมีลักษณะเป็นทางเดินแคบ ๆ ที่มีห้องเล็ก ๆ อยู่ฝั่งขวาเหมือนรถไฟ แต่ละห้องเป็นห้องขนาดเล็กพร้อมที่นั่งยาวสองฝั่งที่พอจะรับลูกค้าได้ถึงหกคน นั่นทำมิ้นท์ต้องเสียเงินเท่ากับหกที่นั่งแม้จะต้องการเพียงแค่สามที่นั่งก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับราคาตั๋วเครื่องบินสมัยก่อนแล้ว มันก็ยังถูกกว่าถึงสองเท่า

สองสาวโบว์ฟ้าเมื่อเข้ามาในห้องก็พากันนั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน ก่อนจะเริ่มพากันไลฟ์สดอวดรูปโฉมอันน่ารักของตนให้โลกออนไลน์ได้รับชม ส่วนมิ้นท์ที่ไม่อยากเข้ากล้องด้วยก็ล่องหนหนีทันที เพราะเธอเคยถูกยัยสองตัวนี้แอบไลฟ์สดเธอตอนนอนหลับมาก่อน เมื่อเครื่องบินพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ภาพของวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนก็ปรากฏแก่สายตา พระจันทร์ดวงใหญ่ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าช่างงดงามราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ หากตอนนี้มีเตียงนุ่ม ๆ และผ้าห่มอุ่น ๆ เธอคงจะหลับฝันดีไม่ใช่น้อย และทุกอย่างจะยิ่งดีกว่านี้ถ้าไม่มีเสียงเอะอะน่ารำคาญของยัยสองตัวที่กำลังทำเสียงแอ๊บแบ๊วเอาใจแฟนคลับของตัวเอง มิ้นท์ล้มตัวลงนอนบนเบาะที่นั่งยาว ๆ ก่อนจะเอากระเป๋าสะพายของตัวเองมาปิดหูเอาไว้ ถ้าหากสกิลล่องหนของเธอสามารถลบเสียงออกไปเหมือนที่ลบตัวตนของเธอได้ มันคงจะดีไม่ใช่น้อย

สองชั่วโมงต่อมาสามสาวก็มาถึงยังสนามบินเชียงใหม่ ทั้งสามพากันไปเปิดโรงแรมห้องพักเพื่อพักผ่อน เพราะตอนนี้ยังไม่มีรายงานการส่งกำลังบุกไปจับกุมผู้ร้องเรียนของพวกเธอ

มิ้นท์นอนลงบนเตียงสีขาวขนาดใหญ่ โดยข้าง ๆ มีสองสาวตัวเล็กนอนกอดกันอยู่ ตอนนี้เธอกำลังพยายามใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อกับผู้ร้องเรียน เพื่อพยายามเสนอแผนในการพาอีกฝ่ายไปซ่อนตัวเพื่อรอทางองค์กรมาจัดการ

ในตอนแรกนั้นมิ้นท์กับผู้ร้องเรียนได้ตกลงกันว่าเขาจะรอจนกว่าเธอจะมาเชียงใหม่และมารับตัวเขาไป ซึ่งในตอนแรกการพูดคุยก็เป็นไปได้ด้วยดี และทุกอย่างก็ดูเหมือนจะราบรื่น แต่มาตอนนี้เมื่อเธอติดต่อหาอีกฝ่ายอีกครั้ง ฝั่งนั้นกลับไม่ยอมตอบข้อความของเธอกลับมาเลย

ปิ้ง เสียงโทรศัพท์ของโบว์ดังขึ้น สาวน้อยผละจากอ้อมกอดของเพื่อนก่อนจะไปหยิบโทรศัพท์บนหัวเตียงขึ้นมา จากหน้าตาที่สะลึมสะลือก็กลายเป็นหน้าของสาวน้อยที่กำลังตื่นตกใจสุดขีด และโวยวายเสียงดัง

"หัวหน้ามิ้นท์คะ! นักรบสกิลเขตเชียงใหม่สองหน่วยย่อยจะบุกจู่โจมผู้เรียนของเราในเที่ยงคืนของวันนี้คะ"

มิ้นท์สะดุ้งโหยง

"ว่าไงนะ!"

ในยามเที่ยงคืน ชีฟนั่งอยู่บนต้นไม้สูงและจ้องมองรถตู้หลายคันที่กำลังแล่นเข้ามาตามถนนด้วยรอยยิ้มอันแสนชั่วร้าย ในมือถือของเขาก็มีข้อความจากนักรบสกิลรายหนึ่งเด้งเข้ามาไม่หยุด ข้อความเหล่านั้นพยายามร้องขอให้เขาหนีไปซ่อนตัวที่อื่นโดยอีกฝ่ายรับปากว่าจะพยายามให้ความช่วยเหลือเขาในทุก ๆ ด้าน ชีฟปิดมือถือแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

"หนีก็ไม่สนุกน่ะสิ"

ชีฟจ้องมองรถตู้สองคันที่พากันจอดอยู่ ณ ใจกลางป่า ซึ่งเป็นบริเวณใต้ต้นไม้ที่เขาอยู่พอดี ชีฟแอบหัวเราะเล็กน้อยเมื่อหน่วยที่มาใหม่ก็ไม่ได้ต่างจากหน่วยเดิมเลย แต่ละคนพากันถืออาวุธให้เห็นอย่างชัดเจน ทีนี้เขาก็รู้แล้วว่าจะต้องเล่นงานใครก่อน

นักรบสกิลในชุดคอมมานโดพร้อมหน้ากากกันแก๊สจำนวนยี่สิบคนพากันออกมาจากรถตู้

ภูมิที่เป็นหัวหน้าหน่วยกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และจ้องมองอย่างสงสัย รอบด้านของเขาเป็นป่าดงดิบที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นอย่างหนาแน่น โชคดีที่คืนนี้เป็นคืนที่มีจันทร์เต็มดวงบวกกับท้องฟ้าที่โปร่งใส ทำให้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาช่วยให้พวกเขาสามารถเห็นบรรยากาศรอบด้านได้บ้าง

"แถวนี้เป็นตึกร้างไม่ใช่เหรอ แล้วตึกร้างหายไปไหนหมด"

พิมพ์รองหัวหน้าหน่วยเดินมายืนข้าง ๆ แล้วตอบ

"ความสามารถของเจ้าฆาตกรนั่นหรือเปล่า"

"อาจจะเป็นไปได้ เห็นว่าหน่วยที่สี่กับหน่วยที่ห้าจากเขตเชียงรายพากันมาตาล่าหมอนั่นจนถึงที่นี่ แต่ก็เสียชีวิตหมดทั้งหน่วย"

วิทย์ นักรบในหน่วยเดินมาร่วมวงสนทนา

"ทำไมนักรบสกิลจากเขตเชียงรายถึงเข้ามาตามล่าเจ้าหมอนี่ในเขตของเราโดยที่ไม่แจ้งเราก่อน"

พิมพ์หันมาตอบ

"ได้ยินข่าวลือที่ว่าเจ้าสัวพยายามขโมยสกิลของเด็กคนหนึ่งมั้ยละ รุกล้ำเขตโดยไม่มีหนังสือแจ้งแบบนี้ ข่าวลือนั่นคงเป็นจริง"

วิทย์พูดต่อ

"อ้าว งั้นไอ้เด็กที่ทำให้เราต้องตื่นตอนเที่ยงคืนเพื่อมาล่ามันก็เป็นผู้บริสุทธิ์น่ะสิ"

พิมพ์ส่ายหัวแล้วพูด

"จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ไม่รู้ละ แต่เราได้รับคำสั่งมาแล้วยังไงก็ต้องทำ ถ้ายังอยากมีอนาคตที่ดีในรัฐนี้"

วิทย์พูดด้วยความสงสารเล็กน้อย

"นะ ถือว่าเด็กคนนั้นโชคร้ายเองละกันที่ไปเจอต่อเข้า"

ภูมิมองสำรวจรอบ ๆ เสร็จก็หันไปหานักธนูชายคนหนึ่ง

"ป้อม ใช้สกิลค้นหา"

"ได้ครับ"

"กรี๊ด!!!"

เสียงกรีดร้องอันโหยหวนดังขึ้น พร้อมกับหญิงสาวจอมเวทไฟคนหนึ่งที่โดนเถาวัลย์ลัดเข้าข้อเท้าและลากเอาตัวไปอย่างรวดเร็ว จอมเวทสาวตกใจและปล่อยลูกไฟออกมามั่วไปหมด

พิมพ์รีบหันไปมอง

"แบม"

"อ๊าก!!!"

อีกด้านป้อมก็โดนลากไปอีกคน ทั้งสองคนโดนลาไปคนละทิศละทาง ทำให้ตอนนี้ทุกคนพากันเลิกลักและทำอะไรไม่ถูก ภูมิตะโกนขึ้นมา

"พิมพ์พาหน่วยที่หนึ่งตามแบมไป ส่วนหน่วยที่สองตามผมมา"