ทำไมถึงเงียบหายไปเลย
ธามนั่งพิงผนังห้องเก็บของ บีบมือไปมาขณะหาทางระงับความคิดที่ยิ่งดำดิ่งลงลึกทุกขณะ ย่าจะทำอะไร ทำไมข้างนอกมันเงียบเป็นป่าช้า แค่กดให้หมดสติใช่ไหม แค่สิงร่าง บังคับสักคนมาปลดโซ่ให้เขา—ไม่ ย่าไม่ได้ใจดีขนาดนั้น
ประตูถูกผลักออกเสียงดังลั่น ฉัตรมุ่งตรงไปข้างชั้นวางตุ๊กตา ไหล่เครียดขึงหอบจุดเดือดใกล้ปะทุ ข้อนิ้วถลอกปอกเปิกหมดจากการปะทะ ของเหลวสีเข้มเปื้อนมือที่เส้นเลือดปูดโปน
ใช่ฉัตรหรือ? เขาดูไม่เหมือนคนที่โดนควบคุม แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรสักคำธามจึงไม่อาจยืนยัน
โซ่ขยับโดยที่นักโทษไม่ทันได้ตั้งตัว เขาล้มพลั่ก ในที่สุดก็ได้เรียนรู้ว่ารอกมันเอาไว้ใช้ทำอะไร ฉัตรดึงโซ่ติดกับหมุดข้างชั้นวางลากให้นักโทษลอยสูงขึ้นแล้วห้อยกลับหัวอยู่เหนือพื้น
"มัน-มันเกิดอะไรขึ้น"
การที่ผู้ลักพาตัวไม่ถูกควบคุมยิ่งชวนให้สับสนกว่าเดิม ย่าไปไหน ทำไมถึงไม่ลงมือ หรือย่าอยู่ไกลเกินไป ความเป็นไปได้ข้อหลังทำให้ธามโล่งอกลงเรื่องหนึ่ง ความกดดันของการถูกเฝ้ามองตลอดเวลาเบาลง สวนทางกับความดันในศีรษะที่ยิ่งนานยิ่งหนักหน่วง
ฉัตรทิ้งระยะห่างจากผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ แม้ท่าทางเหมือนอยากเข้ามาส่งหมัดลุ่น ๆ เข้าหน้ามากกว่า เขากำหมัดแน่น ก่อนเปลี่ยนไปบีบหน้าผาก ขายาวพาเดินกระสับกระส่ายจากผนังด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ในที่สุดก็พ่นลมหายใจออกอย่างระงับตัวเองแล้วถามเสียงลอดไรฟัน
"หล่อนเป็นผีห่าอะไร"
"ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น"
ไม่ว่าธามจะเปลืองน้ำลายเป็นสิบคำถามผู้คุมก็ไม่ให้คำตอบ แถมเอาแต่แข่งถามกลับ
"หล่อนทำยังไงถึงยังอยู่ได้"
"คุณถามทำไม เกิดอะไรขึ้นครับ"
"พลังจิตของพวกเอ็งมันยังไงกันวะ"
"ไม่มีใครต-ตายใช่—"
"พูด!!"
กำปั้นหนักเหวี่ยงทุบผนัง นักโทษสะดุ้ง หายใจไม่ทั่วท้อง
"เกิด-เกิดอะไรขึ้นกับพวกเด็ก ๆ" เสียงแผ่วจางราวกับจะหายไปกับเสียงหายใจ
ชุดความคิดที่เป็นตรรกะกว่าเข้าเตือนทันทีว่าไม่มีทางเลือก เขาล้ำเส้นไปแล้ว เขารู้ว่าอะไรสำคัญกว่า ความโลเลมันไม่จำเป็น ต้องเห็นแก่ตัวเท่านั้นถึงจะอยู่รอด แต่พอได้ลงมือไปแล้ว…ถ้าเป็นจริง เขาจะมีชีวิตอยู่กับตัวเองอย่างไรหลังจากนี้
เสียงปังขัดความคิดธาม ผู้สืบสวนหันหลังออกจากห้องไป ทิ้งให้นักโทษอยู่กับความเงียบ
"…?"
ไม่มีใครเข้ามาเป็นชั่วเวลาสั้น ๆ แต่ให้ความรู้สึกเหมือนชั่วนิรันดร์
ไม่รู้ว่าฉัตรปล่อยให้เขารอทำไม การทรมานทางจิตเหรอ อาจตั้งใจขังเดี่ยวให้นักโทษประสาทเสียไปเอง ให้สู้กับความรู้สึกปวดหัวที่ยิ่งทวีความรุนแรง อยู่กับนิ้วเท้าขาวซีดคล้ายก้อนยางไร้ความรู้สึก เลือดไปหล่อเลี้ยงไม่ถึง ในไม่ช้าก็จะกินทั้งขาและร่างกายส่วนล่าง ก่อนถูกความตายอันโดดเดี่ยวเขมือบกลืน
ไม่มีสัตว์เลี้ยงมาเพ่นพ่าน ไม่มีเด็กมาเล่นสนุก ช่วงเวลาหลังจากนี้คงต่างหน้ามือเป็นหลังมือ การถูกทรมานที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้น เลือดไหลรวมกันที่ศีรษะ เริ่มรู้สึกถึงความดันที่ค่อย ๆ สูงขึ้น อึดอัดเหมือนโลหิตจะพุ่งจากจมูกและตา ตายใน 24 ชั่วโมง
เจ็บปวด
โดดเดี่ยว
แต่ถ้าเมื่อก่อนเขาทนได้ ตอนนี้ก็ต้องทนให้ได้สิ
ตอนผู้ลักพาตัวกลับมา ลมหายใจของเหยื่อหยุดชะงัก ก่อนเป็นสูดลมเข้าเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจ จู่ ๆ ฉัตรปลดรอกให้หย่อนลงจากเพดานอย่างเชื่องช้า นักโทษถึงพื้นโดยสวัสดิภาพ แล้วทุกสายโลหิตที่ขาก็พุ่งลงปลายเท้าทันที รู้สึกราวกับมีมดแดงนับล้านตัวรุมกัดเนื้อหนัง
"ขอโทษที่ปล่อยไว้ซะนาน เมื่อกี้ฉันใจร้อนไป"
"อะ-อะไร เกิดอะไรขึ้น"
"ไม่มีใครตาย"
"ไม่มี—?" ธามทวนคำพูดเขาได้ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งตกอยู่ใต้ความสับสน
"เด็ก ๆ ปลอดภัย" ดวงตาผู้พูดสั่นไหววูบหนึ่ง ธามใจหายว่าเขากำลังโกหกอยู่ จนฉัตรเอ่ยแก้คำพูดตัวเองเสียงจริงจัง "บาดเจ็บกันบ้าง แต่เช็กดีแล้วว่าไม่เป็นไร ไม่งั้นเอ็งคงไม่โดนแค่ห้อยหัวหรอกหนุ่ม"
โล่งอกไปที…
เดี๋ยวก่อน ฉัตรบอกเรื่องนี้กับเขาทำไม?
คู่สนทนาลากเก้าอี้มานั่งในระยะใกล้ แต่ก็ไกลพอที่ผู้มีพลังจะเอื้อมมือไปไม่ถึง ท่าทางเหมือนตั้งใจมาประชุมจริงมากกว่าตำรวจดีพยายามสอบสวนผู้ต้องสงสัย ธามพึ่งสังเกตเห็นว่าเข่าและรองเท้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษดิน
"หล่อนสั่งให้ฉันทำร้ายลูกตัวเอง รู้ไหมว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน ตอนเห็นลูกต้องเจ็บตัว หัวปูดเป็นมะนาว ซีดกลัวขยับไม่ได้ จ้องไม่กะพริบมาที่ตัวต้นเหตุ" มือของผู้พูดขยับจะชี้เข้าหาตัวเอง แต่เก้ ๆ กัง ๆ ค้างอยู่แถวอก ก่อนเปลี่ยนเป็นกำหมัดทุบลงกับเข่าแทน
ธามไม่เข้าใจแต่เขาพอจินตนาการออก คนที่ปรากฏในมโนภาพเขาคือชายแก่วัยเกษียณ สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวังและโกรธเคืองเมื่อต้องกลายเป็นสาเหตุความทุกข์ตรมของลูก สายตาคู่นั้นคงไม่ต่างจากคนที่เขาสบอยู่ตอนนี้ เจ็บปวด พรั่นพรึง ชวนให้ก้มหน้าหนี
"แต่ย่าไม่สั่งให้ฆ่า"
ธามผงกหัวขึ้นทันที "คุณ…รู้?"
"ถึงไม่มีประโยชน์ก็ยังเก็บไว้ เพราะเผื่อเราจะใช้ได้ไง ถ้านาวีเข้าใกล้ประตูกรงมากไปก็แค่ยกครอบครัวขึ้นมาขู่ คนที่เหลืออยู่ไม่ต่างจากเครื่องมือ" ฉัตรดูแก่กว่าขึ้นกว่าภายนอกสักห้าสิบปี สายตาเคร่งขรึมสแกนอ่านจิตใจผู้ฟังจนปรุโปร่ง ธามรู้สึกว่าขนหลังคอลุกชัน "ทางฝั่งเอ็งก็ต้องมีเหมือนกัน"
คนด้อยอาวุโสส่ายหน้า กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ไม่คาดคิดว่าคนธรรมดาที่จับพลัดจับผลูกลายเป็นเหยื่อจะเข้าใจ
"คงสำคัญมาก ๆ เลยล่ะสิ ฉันเข้าใจ ถ้าเป็นฉันก็ไม่อยากให้พวกเขาเข้ามาเสี่ยง"
"คุณเคยเจอย่ามาก่อน"
ฉัตรหยิบสิ่งที่ผู้มีพลังคุ้นเคยดีออกจากกระเป๋ากางเกง
เหรียญเก่า ๆ เปื้อนเลือดและเศษดิน
สิ่งนั้นทำให้เจ้าของมองอย่างหวาดกลัว ทั้งอยากให้โยนมันทิ้งและอยากฉวยคืนมาไปพร้อมกัน เขาหายใจเข้ามากกว่าหายใจออก รุนแรงขึ้น สั้นกระชับขึ้น อากาศเสียสมดุลจนเวียนหัว
"ย่าใช้เหรียญนี่มาขู่เอ็งเหรอ"
ย่าอยู่ที่นี่ รำลึกเชื่อมอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงห้าเมตร อยู่ไหนล่ะ ชายหนุ่มหน้าซีดกวาดสายตามองรอบห้อง คาดว่าจะเจอเงาขมุกขมัวยืนอยู่ด้านหลังชั้นวาง แต่ไม่อยู่ — ไม่ได้ยิน ย่าไม่ได้อยู่? กลับไปแล้ว? แต่…หรือว่ายังแอบอยู่แถวนี้ ย่ามาแอบฟังว่าเขาจะปูดอะไรรึเปล่า คอยดูสถานการณ์ ทดสอบความภักดี
ฉัตรมองตามสายตาของเขา
"ผีหล่อนไม่อยู่ที่นี่ ฉันไล่ไปแล้ว"
"ไม่จริง…ไม่ได้สิ" สายตาธามมีความหวัง ถูกผู้สังเกตจับได้รวดเร็ว
ไล่ย่าไป ยังไง? อีกสิบล้านเสียงในหัวตะโกนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ หรือทั้งย่าและสมาคมคิดผิด ผู้ใช้รำลึกไม่ใช่นาวีแต่เป็นคนอื่น จะว่าไปก็น่าสงสัยอยู่ว่าทำไมย่าถึงเจาะจงว่าเป็นนาวี สาเหตุที่สนใจคนคนนั้นมากอาจเพราะเข้าใจผิดก็ได้
ใครกัน ธามตวัดสายตามองฉัตร หรือหลิน? หรือเด็กเวร? หรือทารก?? เดี๋ยวก่อน พวกเขาพึ่งได้รำลึกเมื่อไม่ถึงสัปดาห์ก่อน จะเอาอะไรไปสู้กับคนที่อยู่มาเป็นร้อย ๆ ปี พวกนี้ซ่อนอะไรไว้…มีคนอื่นช่วย?—ไม่สิ— คำตอบมันง่ายกว่านั้น ย่าจงใจไปเอง
ตอนนี้อาจจะยังลอยวนไปมาตามมุมอับ เห็นแค่ดวงตาสีแดงที่เรืองแสงน่ากลัว เหมือนแมวมองเหยื่อจากมุมมืด จ้องมองเขา เฝ้ารอให้เขาทำผิดพลาด ทดสอบว่าเชื่อฟังหรือไม่เพื่อเอาไว้ลงโทษทีหลัง
ถ้าจริง ๆ หล่อนไม่ได้หายไป ทั้งหมดเป็นแผน ย่าแก่ยังซุ่มอยู่สักที่หนึ่งในห้อง คอยดูว่าเขาจะตอบอะไรล่ะ
"เลิกมองหาเถอะ หล่อนไม่อยู่ที่นี่แล้ว ไม่มีใครแอบอยู่ข้างหลังเอ็ง"
ธามยังสงสัยในคำพูดเขา ยังไม่เชื่อคนที่พึ่งดึงโซ่จับห้อยหัวเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำยืนยันทำให้เขาอุ่นใจขึ้น ทำให้เสียงตื่นตระหนกในหัวเบาลงไปได้มาก
กรงเล็บที่มองไม่เห็นกุมอยู่รอบคอเขา จะคิด จะขยับตัว เหมือนถูกปิดบังจากรอบด้าน
ปวดหัว…
"จะไปทางไหนก็ติดโซ่ล่าม ไม่อยากปลดมันออกรึ"
นักโทษหนุ่มส่ายหน้าเชื่องช้า ประกายไฟที่แฝงในดวงตาหวาดกลัวเป็นหลักฐานว่าสิ่งที่ฉัตรพูดเขาเคยนึกถึง ทั้งเป็นแสงปลายทางอุโมงค์และโซ่ตรวนมัดจุดตาย หนาหนักยิ่งกว่าเส้นที่มัดข้อเท้าเป็นร้อยเท่า
คำว่า "ไม่ไหวหรอก" หลุดพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนธามจะนึกเสียใจทันทีที่เอ่ย เขาต้องปฏิเสธหนักแน่นสิ ไม่ไหวหมายถึงอยากทำไม่ใช่เหรอ ถ้าย่าได้ยินขึ้นมาล่ะ แต่รำลึกเชื่อมอยู่ในมืออีกฝ่าย หลักฐานของการเหยียบหางเสือ ทำไมถึงยังปกติดีอยู่
"เชื่อฟังไปเรื่อย ๆ แล้วหวังว่าสักวันคนที่เอาโซ่มาล่ามจะปลดออกให้ มันไม่มีทางเป็นจริงหรอก มีแต่ต้องลุกขึ้นมาแย่งกุญแจเอง"
_____