บทที่ 8 ราชวังอันแปลกประหลาด
นอกหน้าต่างยังคงมีลมหนาว มันพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างและทิ้งความหนาวเย็นเอาไว้ นี่เป็นอากาศในเดือนสิบเอ็ด แม้แต่หนานฉู่ที่อยู่ทางใต้ยังเริ่มหนาว ได้ยินว่าชาวซงหนูทางเหนือต้องแช่แข็งสัตว์ที่ตายไว้จำนวนมาก จึงจะสามารถข้ามผ่านฤดูหนาวที่ยากลำบากนี้ไปได้
ชิงเซี่ยในอาภรณ์สีฟ้าอ่อน ภายนอกสวมใส่เสื้อคลุมสีขาวดูงดงาม นางยืนอยู่ใต้โคมราชวังข้างชั้นหนังสือราวกับวิญญาณก็ไม่ปาน นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังเทียนไขสีแดงด้านบนที่ละลายอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ แข็งตัว สีหน้านั้นราวกับน้ำแข็งหมื่นปี ไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย บ่าวรับใช้ชุดสีม่วงที่อยู่ด้านนอกคนหนึ่งจึงเดินเข้ามา สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ราวกับกังวลว่านางจะฆ่าตัวตายอย่างนั้น
สามวันแล้ว สามวันมานี้อาจพูดได้ว่าเป็นสามวันที่ทรมานที่สุดในยี่สิบหกปีที่ผ่านมาของถังเสี่ยวซือ
วันที่ตื่นเองตามธรรมชาติมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ทำงานเป็นสายลับน้อยครั้งที่เธอจะละเลยนาฬิกาชีวิตของตัวเอง แล้วปล่อยให้ตัวเองได้นอนหลับเต็มอิ่ม หรือบางทีจิตใจสำนึกของเธออาจไม่ต้องการตื่นมาเพื่อเผชิญหน้ากับความจริง ในขณะที่เธอลืมตาขึ้นมาก็พบกับฉากของความฝันอันยิ่งใหญ่ เธอหวังจริงๆ ว่าจะลืมตามาแล้วพบกับหอพักที่อบอุ่นปลอดภัยของหน่วยเก้า หรือห้องพักหรูของโรงแรม แม้จะเป็นในเรือดำน้ำของนาวิกโยธิน เธอก็ยังไม่รู้สึกหมดหวังเท่าตอนนี้เลย
เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เธอรู้สึกสงสัยในตัวเอง
เมื่อก่อน ตอนที่ถูกทิ้งให้ผู้ก่อการร้ายไล่ล่าในป่าที่แอฟริกา เธอยังไม่เคยหมดหวังเท่านี้มาก่อน แต่ตอนนี้ ลึกๆ ในหัวใจของเธอกลับห่อเหี่ยว
แต่อย่างไรก็ตาม อุปสรรคที่อยู่เบื้องหน้าของเธอครั้งก่อนมีเพียงทะเลสาบเย็นเยียบหรือทะเลทรายแห้งแล้งเท่านั้น ไม่เหมือนตอนนี้ สิ่งที่ทำให้เธอเดินต่อไปไม่ได้ก็คือช่องว่างแห่งกาลเวลา
แม้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะดูน่าสงสัยและเหลือเชื่อ แต่เธอก็หาหลักฐานมาโต้แย้งไม่ได้ ไม่กี่วันมานี้เธอได้สัมผัสกับสิ่งรอบๆ ตัว มองดูระเบียงพระราชวัง สะพานเล็ก ลำธาร ไม้ค้ำชายคา และเครื่องใช้ต่างๆ โดยละเอียดแล้ว จากประสบการณ์มากมายทำให้เธอเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งว่า หากจะสร้างเลียนแบบพระราชวังเก่าแก่ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด จะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าสามร้อยห้าสิบเจ็ดวัน และจากประสบการณ์ของเธอ แม้จะมีช่องโหว่เพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของเธอไปได้ แต่รายละเอียดทั้งหมดรวมถึงต้นไม้ใบหญ้าทุกอย่างล้วนสมบูรณ์แบบ
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเธอหยิบกระจกทองเหลืองขึ้นมาส่องใบหน้าของตน ถังเสี่ยวซือก็ยิ่งหมดหวัง
ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ ความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า หรือความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุและสสารอะไรนั่น เธอ ถังเสี่ยวซือ สายลับ 003 จากหน่วยรักษาความมั่นคงชาติที่เก้า ซึ่งถูกวางระเบิดฆ่าโดยเหล่านาวิกโยธินได้ข้ามเวลามาเกิดใหม่ในสถานที่ที่ไม่รู้ว่าห่างไปกี่พันปี วิญญาณของเธอลอยเข้ามาเกิดใหม่เป็นชายาขององค์รัชทายาทหนานฉู่!
ต้องมาเผชิญกับเรื่องไร้สาระทั้งหมดนี้ ถังเสี่ยวซือไม่รู้จริงๆ ว่าแท้จริงแล้วตัวเองควรจะฉลองที่ตนยังไม่ตายดีหรือไม่
เหมือนกับคนไม่เคยเจอสงครามก็จะไม่เข้าใจความลำบาก คนที่ไม่เคยประสบเหตุเช่นนี้ ก็จะไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของเสี่ยวซืออย่างแน่นอน โดดเดี่ยวเดียวดายไร้ที่พึ่ง อยู่คนเดียวท่ามกลางความต่างของเวลา เธออยู่ห่างไกลจากความแปลกใหม่ จากความตื่นเต้นที่ไม่อาจจินตนาการได้ และไม่มีความยินดีเลยแม้แต่น้อย
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอไม่อาจกลั้นน้ำตาที่ไหลออกมากลางดึกได้ เหมือนกับตอนที่เธอถูกคนรักทิ้งไปเมื่อหลายปีก่อน เหมือนตอนที่ถูกทิ้งไว้คนเดียวบนถนนที่มีผู้คนจอแจ เธอซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม กัดริมฝีปากแน่น บนแก้มเต็มไปด้วยน้ำตา ราวกับในคืนนั้น เธอได้บอกลาชีวิตและประเทศที่คุ้นเคย พร้อมยอมรับความจริงอันแสนโหดร้าย
วันที่สอง ตำหนักหลันถิงไม่ได้คึกคักอย่างที่เสี่ยวซือจินตนาการไว้ ในโถงใหญ่ทุกคนต่างรอคอยเจ้านายผู้ซึ่งก่อเรื่องวุ่นวายดั่งพายุฝนพัดผ่านออกมาจากห้อง แต่น่าเสียดายที่นางกลับเงียบผิดปกติ คนทั้งหลายจึงไม่เข้าใจว่าความสงบที่แสดงออกมานี้หมายความว่าอะไรกันแน่? แต่เสี่ยวซือที่ซังกะตายกลับไม่ได้สนใจ เธอใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ เป็นดั่งหุ่นเชิดที่อยู่ในการดูแลของคนอื่น ทั้งยังสูญเสียความโกรธไปโดยสิ้นเชิง
โลกของเธอกลับตาลปัตร เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปก็ไม่ใช่แผ่นฟ้าผืนเดิมอีกแล้ว
จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา ความสามารถในการฟังของเสี่ยวซือยังคงใช้การได้ดี ม่านมุกขยับเล็กน้อย แล้วกลิ่นหอมจางๆ ก็พัดเข้ามา
“นายหญิง โหรวเฟยมาเพคะ” สาวใช้รีบวิ่งเข้ามารับเสื้อกันฝนของโหรวเฟยไป แล้วจัดการเทชาให้โหรวเฟย ราวกับเป็นเรื่องคุ้นเคย เห็นได้ชัดว่าโหรวเฟยเป็นแขกประจำของตำหนักหลันถิง
โหรวเฟยยืนอยู่บนพรมในห้อง รองเท้ายังคงชื้นเล็กน้อย ฝนด้านนอกตกอยู่อย่างนี้มาครึ่งวันแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หลังห่าฝนฤดูใบไม้ร่วงอันหนาวเย็นผ่านพ้นไป ฤดูหนาวก็คงมาถึงจริงๆ เสียที
“ชิงเซี่ย” โหรวเฟยเอ่ยปาก แต่ก็พูดออกมาเพียงสองคำเท่านั้น ราวกับไม่อยากจะพูดต่อ
ท่ามกลางบรรยากาศน่าเบื่อ เสี่ยวซือที่ยืนอยู่ใต้โคมราชวังเงยหน้าขึ้น ใบหน้าขาวต้องแสงไฟดูแล้วงดงามยิ่ง นางในตอนนี้ก็เหมือนกับนกที่ถูกขัง เป็นความฝันที่น่าใจหาย แต่กลับหดหู่ราวสายน้ำที่ไหลเอื่อย
“อาการป่วยของไท่จื่อเฟยก็ผ่านมาวันสองวันแล้ว” โหรวเฟยถอนใจครั้งหนึ่ง พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเนิบๆ นางค่อยๆ เดินมาด้านหน้าของเสี่ยวซือ แล้วคว้าข้อมือของเสี่ยวซือขึ้นมา จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไรอีก ผ่านไปครู่ใหญ่ก็มีน้ำตาหยดหนึ่งหยดลงมาที่ข้อมือของเสี่ยวซือ
โหรวเฟยเงยหน้าขึ้นมา แล้วเบิกตากว้างมองมาที่เสี่ยวซือ ในดวงตาแฝงไว้ด้วยประกายของความเด็ดเดี่ยวและเจ็บปวด เสี่ยวซือได้แต่ฟังคำที่นางพูดออกมา “ชิงเซี่ย วันนี้พวกเรายังต้องคุกเข่าอยู่ แต่เชื่อข้าเถอะว่า ต้องมีสักวันที่พวกเราจะได้ยืนตระหง่าน!”
นอกหน้าต่างอันมืดมิดไร้แสงเดือนแสงดาว เงาร่างบอบบางของโหรวเฟยค่อยๆ หายเข้าไปในความมืด เสี่ยวซือรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่โหรวเฟยส่งผ่านข้อมือมาเมื่อครู่ เธอจึงกัดริมฝีปากแน่นแล้วหลับตาลง
ทางของพวกคุณอยู่ที่นี่ พวกคุณก็ลุกขึ้นได้น่ะซี แต่เส้นทางของฉันอยู่ที่ไหนกัน?
บันทึกหนานฉู่ คืนวันที่ 17 เดือน 11 ปี 298 ซั่งกวนโหรวเซวี่ยไท่จื่อเฟยแห่งหนานฉู่ล้มป่วย แต่หลังไท่จื่อเฟยสิ้นพระชนม์ได้สองวัน สกุลซั่งกวนก็ส่งหนังสือแจ้งไปที่ชนเผ่าหมานในหลิงหนาน : มหาบัณฑิตซั่งกวนจิ้ง สิ้นชีวิตระหว่างทางเนื่องจากทำงานหนัก
ในขณะเดียวกัน งานศพก็ถูกจัดขึ้นทั่วแคว้น ทางการลงแรงช่วยจัดงานของไท่จื่อเฟยสุดกำลัง แต่ชาวบ้านกลับจัดงานให้ซั่งกวนจิ้งเงียบๆ สกุลซั่งกวนที่จงรักภักดีกลับถูกฆ่าอันเนื่องมาจากความขัดแย้ง จนถึงบัดนี้ก็เป็นสกุลแรกที่ถูกถีบหัวส่งออกจากเส้นทางเสริมสร้างอำนาจกษัตริย์อย่างชัดเจน
แม้สกุลซั่งกวนจะถูกกำจัด แต่กลุ่มอำนาจก็เริ่มก่อตัวขึ้นใหม่และมีการแบ่งฝ่ายกันอีกครั้ง และเนื่องจากซั่งกวนโหรวเซวี่ยสิ้นพระชนม์แล้ว ตำแหน่งไท่จื่อเฟยก็ว่างในทันที วังหลังของหนานฉู่จึงเกิดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และสถานการณ์เริ่มพลุ่งพล่านมากยิ่งขึ้น