webnovel

ลิขิตรักข้ามภพ

เสี่ยวซือ สายลับมือหนึ่งจากหน่วยรักษาความมั่นคงแห่งชาติที่เก้า ไม่ว่าจะเป็นสืบราชการลับ ลอบสังหาร หรือทำภารกิจเสี่ยงอันตรายต่างๆ เธอทำได้อย่างไร้ที่ติ เธอทำงานรับใช้ประเทศด้วยความภักดี กลับถูกหักหลัง ต้องตายอย่างอนาถ แต่แล้วดวงวิญญาณของเธอกลับย้อนเวลามาเข้าร่างของจวงชิงเซี่ยชายาผู้ถูกทอดทิ้ง ทำให้เธอได้พบกับฉู่หลีองค์รัชทายาทผู้โหดร้าย เลือดเย็น และไร้หัวใจ และเพราะความลับบางประการของเจ้าของร่างคนก่อน ทำให้เธอต้องการหลีกหนีจากเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่ยอมให้นางหนีไปได้ ต่อให้ต้องกักขังนางไว้ เขาก็จะทำ!

เซียวเซียงตงเอ๋อร์ · História
Classificações insuficientes
418 Chs

บทที่ 007 แรกพบ

บทที่ 7 แรกพบ

ในตำหนักใหญ่เงียบสนิท ทุกคนต่างควบคุมลมหายใจของตนอย่างระมัดระวัง ด้วยเกรงว่าจะเป็นการยั่วยุหญิงสาวผู้น่าสงสารซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นคนบ้าในสายตาพวกนางไปแล้ว

ตันเฟยทรุดลงกับพื้น

ชุดเซินอี* ลายพญาหงส์สีแดงตัดกับพื้นสีทองหรูหรา แสงเทียนที่จุดอยู่ยิ่งขับให้สีชุดนั้นโดดเด่นยิ่งขึ้น แม้จะอับอายแต่หญิงไร้ปราณีผู้นี้ก็ยังคงยโสและปากแข็ง ตันเฟยยืดตัวขึ้น นอกจากใบมีดเย็นเยียบที่ทาบอยู่ตรงลำคอขาวจนทำให้รู้สึกใจหายใจคว่ำแล้ว ข้อมือที่หักนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นระยะ ทำให้เหงื่อกาฬผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก ทว่านอกจากช่วงแรกแล้ว ก็ไม่ได้ยินเสียงร้องจากหญิงสาวอีกแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นตันเฟยอดทนต่อความเจ็บปวดเช่นนี้ ดวงตาของโหรวเฟยก็แสดงความสับสน ทว่าในใจก็ยังรู้สึกชื่นชมนาง เพียงแต่ตอนนี้ ทุกอย่างไม่ได้สำคัญอีกต่อไป บางครั้งโหรวเฟยก็เดินไปดูด้านนอกทางเดิน บางครั้งก็เดินไปรอบๆ นางมองหาเงาร่างบอบบางในตำหนักใหญ่อย่างกังวล ความรู้สึกเป็นห่วงตีตื้นเข้ามาในหัวใจ

“รัชทายาทเสด็จ!”

เสียงของขันทีดังเข้ามาแต่ไกล จากนั้นผู้คนก็รีบหมอบลงกับพื้นเพื่อทำความเคารพ ตลอดทางเดินสีแดงมีกลิ่นหอมลอยออกมาจากสองฝากฝั่ง ห้องโถงที่เคยเงียบสงบของตำหนักหลันถิงก่อนหน้านี้ บัดนี้ได้กลับมายุ่งเหยิงวุ่นวายอีกครั้ง แล้วเสียงฝีเท้ามากมายก็ดังมาจากนอกประตู ทำให้เฉินเฟยกับเต๋อเฟยเร่งปัดร่องรอยความซึมเซาออกก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้นด้วยน้ำตาคลอเบ้า และหอบหายใจน้อยๆ พลางเอ่ยโดยพร้อมเพรียงว่า “ขอต้อนรับองค์รัชทายาท!”

เมื่อถูกเรียกว่าชิงเซี่ยหลันเฟย รอยยิ้มเย้ยหยันก็เล็ดลอดออกมา นางต้องยอมรับเลยว่า แสดงออกมาได้เนียนจริงๆ ไม่ว่าที่แห่งนี้จะศักดิ์สิทธิ์อะไร แต่สถานการณ์ก็ยังต้องดำเนินต่อไป หากนี่ไม่ใช่เพราะพวกเขาคิดเรื่องอะไรไร้สาระพวกนี้ขึ้นมา เธอเองก็อาจจะถูกพวกเขาหลอกจริงๆ ก็ได้

ใช่แล้ว หลันเฟยในตอนนี้ ก็คือสายลับที่ถูกทหารระดับสูงสั่งให้เหล่านาวิกโยธินตามฆ่าบนถนนในโตเกียว สายลับ 003 หน่วย 9...ถังเสี่ยวซือ

คิดไม่ถึงว่า รัฐจะลงมือกันเธอเช่นนี้ แต่พอได้เห็นใต้ท้องรถติดตั้งระเบิดอานุภาพสูง C4 ในใจก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว คนที่สามารถรู้เส้นทางหลบหนีของเธอ และเตรียมระเบิดที่รถเธอได้ก็มีแต่หน่วยปฏิบัติการและหน่วยข่าวกรองเท่านั้น

ไม่น่าใช่หลี่หยาง แม้เขาจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วย 9 แต่อายุราชการของเขายังน้อย ไม่น่าใจดำอำมหิตได้ขนาดนี้ ดังนั้นจึงเหลือความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือการออกตัวของทหารระดับสูง ที่เข้าแทรกแซงในหน่วย 9

คิดถึงตรงนี้ มุมปากของถังเสี่ยวซือก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มออกมา เธอทุ่มเทชีวิตเพื่อประเทศชาติมาหลายปี แต่กลับถูกรัฐบาลทอดทิ้งเช่นนี้

ยังจำได้ครั้งหนึ่งที่เธอออกไปปฏิบัติการ หน้าที่คือฆ่าเจ้าหน้าพิเศษของหน่วย 6 ที่อยู่ในกรุงเทพ เมื่อสายลับคนนั้นเห็นเสี่ยวซือก็ไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา เขารู้สถานการณ์ของตัวเองชัดยิ่งกว่าตัวของเสี่ยวซือเสียอีก เขาจึงชิงลงมือฆ่าตัวตาย ไม่เหมือนกับเธอที่ถูกกลุ่มนาวิกโยธินฆ่าตาย

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอนั้น เป็นฉากที่แตกต่างออกไป

ระเบียบข้อที่หนึ่งของสายลับคือ ทุกอย่างเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ จุดนี้มีความหมายจริงๆ ก็คือ ไม่ว่าประเทศจะทำอะไร ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ต่อให้ต้องแลกมาด้วยชีวิตของคุณ ก็ต้องไม่ลังเลที่จะสละชีวิตตัวเอง วีรบุรุษจะต้องไม่มีข้อเรียกร้องกังขาใดๆ

แต่น่าเสียดายที่ชีวิตเรามีแค่ครั้งเดียว ทุกคนย่อมเห็นคุณค่าของชีวิตตัวเอง ทหารที่พร้อมจะถวายชีวิตเพื่อประเทศชาติแบบนั้น จึงมีให้เห็นในละครและภาพยนตร์เท่านั้น ในสังคมปัจจุบันไม่มีใครไม่กลัวตายหรอก

หากมองจากจุดนี้ เสี่ยวซือก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมนัก แต่ก็เป็นเพราะจุดนี้ที่ทำให้เธอมีความกล้าที่จะยืนอยู่ที่นี่ และกล้าเผชิญหน้ากับคนที่อยู่เบื้องหลัง เธอเชื่อมั่นว่าเพียงแค่เธอได้พบกับตัวการของเรื่อง เธอก็จะสามารถต่อรองกับอีกฝ่ายได้ และออกไปจากที่แห่งนี้ได้ ที่จริงแล้วหากปฏิบัติการที่โตเกียวไม่ใช้เครื่องจักรฆ่ามนุษย์ของกลุ่มทหารเลือดเย็น แต่เปลี่ยนเป็นของหน่วยปฏิบัติการหรือคนของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ เธอจะต้องมีโอกาสหลบหนีได้แน่นอน เพราะมีเพียงแค่พวกเขาที่เข้าใจสิ่งที่อยู่ในกำมือของเธอ ซึ่งมันมีความสำคัญกับประเทศชาติเป็นอย่างมาก

กลิ่นหอมฟุ้งตลบไปทั่วทั้งตำหนัก ทันใดนั้นสีเหลืองสดก็แทงเข้ามาในตาของเสี่ยวซือ เธอชำเลืองตาดู รู้สึกได้แต่เพียงสายตาที่เฉียบคมพุ่งตรงเข้ามา มันเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง ทั้งยังเต็มไปด้วยความมืดมน ส่งผลให้บรรยากาศในห้องนี้ตึงเครียดราวกับถูกแช่แข็ง และเต็มไปด้วยบรรยากาศของการข่มเหง

เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปยังแสงที่ลอดเข้ามาทางฝั่งตะวันออกของตำหนัก ก็เห็นคนที่มีสีทองสว่าง บนตัวสวมใส่เสื้อคลุมลายมังกรสีม่วงทอง ใส่กำไลหยกไว้ที่ข้อมือ ผมดำขลับราวไหมแพร คิ้วเรียวงาม ดวงตาคมกริบ ใบหน้าหล่อเหลา จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากบางๆ ดูงดงามราวกับรูปแกะสลัก

คิ้วของเสี่ยวซือค่อยๆ คลายออก ดีมาก...สิ่งที่เธอกลัวมากคือคนที่มานี้จะไร้ประโยชน์ทำอะไรไม่เป็น แต่เพียงได้เห็นรังสีที่แผ่ออกมาจากคนผู้นี้ เธอก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน สำหรับความตึงเครียดที่อธิบายไม่ได้และแรงกดดันอย่างรุนแรงที่แผ่ออกมานั้น เสี่ยวซือเองก็พลอยโดยกดดันไปด้วย แปดปีในการทำหน้าที่เป็นสายลับ หลายครั้งที่ต้องปกป้องประเทศ ลอบสังหารผู้นำ ทำให้ในใจต้องรับแรงกดดันครั้งแล้วครั้งเล่า หากสายตาของชายเพียงแค่คนเดียวสามารถทำให้หัวใจเธอตกไปอยู่ที่ตาตุ่มได้แบบนี้ ยังจะเรียกตัวเองว่าสายลับอันดับหนึ่งได้อีกเหรอ?

คิ้วของฉู่หลีค่อยๆ คลายออกจากกันเล็กน้อย แต่กลับไม่มีคำพูดใด เขากวาดสายตาไปรอบๆ มองผ่านไปยังใบหน้าของโหรวเฟยและเฉินเฟยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดอยู่ที่ข้อมือที่บาดเจ็บของตันเฟย แล้วคิ้วก็ยกขึ้นเล็กน้อย ค่อยๆ สำรวจไปโดยไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมา

ตันเฟยไม่ได้ร้องไห้กระซิกๆ เช่นเฉินเฟย แต่กลับแสดงความดื้อรั้นออกมา นางหันศีรษะไปฝืนยิ้มก่อนจะเอ่ยว่า “หม่อมฉันไร้สามารถ รบกวนขบวนเสด็จขององค์รัชทายาท ขอองค์รัชทายาทโปรดลงโทษด้วยเพคะ”

ใบหน้าของฉู่หลีไม่เปลี่ยนสี สายตาเองก็ยังคงจดจ้องอยู่ จากนั้นเขาค่อยๆ หันไปทางเสี่ยวซือ สายตาค่อยๆ มองพิจารณาอย่างช้าๆ อย่างกับจะมองทะลุเข้าไปในตัวนาง เสี่ยวซือเองก็ไม่ได้มีความกลัวแม้แต่น้อย จ้องมองกลับไปอย่างเปิดเผย เมื่อกวาดตามองไปยังคนพร้อมดาบกว่าร้อยเล่ม ก็ยิ้มเย็นครั้งหนึ่งก่อนจะโยนกริชในมือทิ้งไป

เสียงของกริชที่กระทบพื้นดังขึ้น ทำให้ตันเฟยสูญเสียการควบคุม ร่างกายพลันอ่อนระทวยลงไปกับพื้น ขันทีหลายคนต่างพากันเข้าไปประคองให้ตันเฟยลุกขึ้นมา ทางด้านโหรวเฟยเองก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจออกมา แล้วยกมือขึ้นตบที่หน้าอกของตน

“มีเงื่อนไขอะไร? ต้องการอะไร? คนที่อยู่เบื้องหลังมีอำนาจอะไร? รีบพูดออกมาสิ ฉันจะได้คิดว่าเราควรจะคุยกันต่อดีไหม?” เสี่ยวซือจ้องไปที่ชายสวมเสื้อแพร แล้วเอ่ยออกมา สายตายังคงระแวดระวังผู้คนที่ยืนล้อมอยู่ ทั้งยังจับจ้องไปที่อาวุธตรงเอวของพวกเขาอย่างระวัง ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะมีแค่ดาบโบราณ แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมเผื่อว่าพวกเขาจะมีปืน ด้วยยังไม่ได้เจรจา กระสุนจริงจึงยังไม่จำเป็น แต่หากใช้กระสุนยาสลบ เสี่ยวซือก็จะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ในฐานะที่เธอเป็นสายลับ เธอรู้ดีว่าการที่จะเปิดปากผู้หญิงคนหนึ่ง มันง่ายยิ่งกว่าฆ่าให้ตายเสียอีก

สายตาของฉู่หลีพลันเย็นชา มองสำรวจหญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าที่ท่าทางราวกับเสือดาวคนนี้ คิดย้อนกลับไปในวันแต่งงาน หญิงสาวชุดแดงที่อ่อนโยนถ่อมตน แม้กระทั่งยิ้มก็ยังระวังตัวคนนั้น ไม่ได้เจอกันเพียงแค่ปีเดียวกลับเปลี่ยนจากแกะเป็นสิงโตไปเสียแล้ว วังหลังเป็นสถานที่ฆ่าคนหรืออย่างไร? จึงทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนไปได้เพียงนี้

“เจ้าต้องการใครสักคนมาพูดคุย ข้าก็มีสิ่งที่ข้าสนใจ เช่นนั้นเจรจากับข้าได้หรือไม่?” เสียงของฉู่หลีแหบเล็กน้อย เขายักคิ้วเบาๆ ด้วยท่าทางสนอกสนใจในสายตาเย็นชาของหญิงสาว

“ไม่เลว” เสี่ยวซือยิ้มอย่างเฉยชา สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เจอ

เธอยังจำภารกิจลอบสังหารครั้งแรกได้ หลังจากได้รับบาดเจ็บหนักจากการปฏิบัติภารกิจ ก็ได้คนจากประเทศ M ช่วยเอาไว้ แต่เพื่อรีดเอาสถานะและหลักฐานที่ประเทศเราลอบสังหารผู้นำของประเทศเขาจากปากเสี่ยวซือ ก็ได้ก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างสองประเทศขึ้น แผนของคนจากประเทศ M นั้นแยบยลมาก จนทำให้เสี่ยวซือเกือบจะเข้าใจผิดว่าได้รับการช่วยเหลือจากแพทย์สนาม แต่น่าเสียดายที่เพียงเริ่มต้นเสี่ยวซือก็รู้แล้วว่าทั้งหมดนี้มันเป็นหลุมพราง เธอวางแผนทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บและเข้าไปขโมยความลับทางการทหารของศัตรู และวางแผนโยนความผิดเรื่องการลอบสังหารไปที่ประเทศ M จากนั้นก็หายตัวไป ทำให้หน่วยข่าวกรองของประเทศ M ปั่นป่วนไปหมด ภายในเวลาห้าปี เสี่ยวซือและผู้ก่อการร้ายหลายรายก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มบุคคลอันตราย

แม้ว่าวันนี้ทุกอย่างจะดูแปลกประหลาด แต่เสี่ยวซือกลับมองไม่เห็นช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย ทว่าการจัดการที่สมบูรณ์แบบเกินไปของตัวเองก็นับเป็นข้อบกพร่องอย่างหนึ่ง เสี่ยวซือจดจ้องการกระทำของฝ่ายตรงข้าม แล้วในใจก็คิดคำนวณอย่างจริงจัง หากเจรจาไม่สำเร็จ ตนจะมีโอกาสต่อกรกับชายสวมชุดแพรคนนี้มากน้อยแค่ไหน เธอมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง พอมั่นใจแล้วว่ามุมที่ยืนอยู่นี้จะไม่ถูกสไนเปอร์ลอบยิงด้านหลังได้ เธอก็พูดออกมาอย่างช้าๆ ว่า “คุณไม่ต้องเปิดเผยเป้าหมายของคุณก็ได้ แต่ฉันมีข้อเรียกร้อง หลังจบเรื่องนี้ให้พาฉันออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย และส่งฉันกลับประเทศ”

ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นั้นก็มีเพียงเสียงลมหายใจดังขึ้นมา ผู้คนในตำหนักใหญ่มองเธอราวกับเห็นสัตว์ประหลาด พวกเขาจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของเสี่ยวซือ ราวกับนางเป็นผีดิบที่กระโดดออกมาจากสุสานก็ไม่ปาน สีหน้าของโหรวเฟยแฝงไว้ด้วยความกังวล อยากจะพูดแต่ก็หวาดกลัว จึงได้แต่มองไปที่นางอย่างเป็นกังวล

ฉู่หลี่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงมองไปที่หญิงสาวที่ในหัวเหมือนมีอะไรอยู่เต็มไปหมดอย่างใคร่ครวญ จากนั้นมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าพูดข้อต่อรองของเจ้าออกมาเสีย ข้าเองก็จะคิดดูว่ามันคุ้มค่าที่จะตกลงกับเจ้าหรือไม่”

“ได้!” เสี่ยวซือแปลกใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา คิดอยู่นานก็พ่นลมหายใจออกมา เธอรู้ดีว่านี่เป็นแต้มต่อสุดท้ายของตน ทั้งยังเป็นทางหลบหนีทางสุดท้ายที่เธอเตรียมไว้หลายปีแล้ว จะสำเร็จหรือล้มเหลว จะมีชีวิตกลับไปเจอถังอวี่ที่เซี่ยงไฮ้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับจังหวะนี้แหละ

“ในมือฉันมีพิมพ์เขียว HK48 ของอิหร่านอยู่ ถ้าคุณฉลาดมากพอก็คงรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง”

ตอนนี้เครื่องบินรบที่ทันสมัยที่สุดของนานาประเทศคือ HK47 ซึ่งอยู่ในมือหัวหน้าของฉัน แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าก่อนที่ด็อกเตอร์ X51 จะตายเขาได้สร้าง HK48 เอาไว้ มันสามารถใช้งานในระดับสูงที่ซับซ้อนได้ดีกว่า มีตำแหน่งเติมน้ำมันสี่จุด แต่ละจุดสามารถใช้งานได้พร้อมกัน นอกจากนี้มันยังมีระบบนำทางที่ทันสมัยกว่าที่คุณจะจินตนาการได้ มันมีระบบระบุตำแหน่งขีปนาวุธ เรียกได้ว่าเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินกลางอากาศเลยก็ว่าได้...”

ยิ่งพูดเสียงของเสี่ยวซือก็ยิ่งเบา ทุกคนจ้องมองมาที่เธอราวกับหลุดออกมาจากหนังสืออย่างไรอย่างนั้น แม้แต่ชายสวมเสื้อแพรที่คาดเดาไม่ได้คนนั้นก็ยังขมวดคิ้ว ดวงตาทั้งสองข้างไม่ได้มีแววของความโลภปรากฏให้เห็นเหมือนที่เสี่ยวซือคาดไว้แม้แต่น้อย เรื่องแบบนี้อธิบายได้อย่างเดียวว่า คนพวกนี้ไม่รู้เลยว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่!

ไม่รู้จัก HK48 ก็พอเข้าใจ แต่ในสังคมปัจจุบัน คนที่ไม่รู้จักเรือบรรทุกเครื่องบินมันเป็นคนอย่างไรกันแน่?

ทันใดนั้นเสี่ยวซือก็ตระหนักได้ถึงเรื่องสำคัญ เธอก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว แล้วสองตาก็จับจ้องไปที่ฉู่หลี ก่อนเอ่ยถามว่า “ที่นี่คือที่ไหน?”

“บังอาจ!” องรักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างชักดาบออกมา พร้อมกับตะโกนเสียงดัง “บังอาจทำตัวไร้มารยาทต่อองค์รัชทายาท!”

“ช้าก่อน” ฉู่หลีหยุดการกระทำขององครักษ์เอาไว้ แล้วทั้งสองตาก็จ้องไปที่เสี่ยวซือ พลางตอบกลับไปว่า “ที่นี่คือหนานฉู่ ทางตะวันออกติดกับแคว้นฉี ทางเหนือติดกับต้าฉิน และห่างไกลจากซีโจวนัก เหตุใดจึงถามเช่นนี้?”

“หนานฉู่? ต้าฉิน?” เสี่ยวซือเอ่ยทวนเสียงเบา ค่อยๆ หวนนึกถึงความรู้เรื่องภูมิศาสตร์ของตน แต่แทบไม่มีร่องรอยอะไรในหัวเลย หนานฉู่ ต้าฉิน แคว้นฉี ซีโจว ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดยังมีสถานที่ที่ไม่อาจระบุได้ในทวีปต่างๆ อีกหรือ? นี่มันอะไรกัน? กำลังถ่ายเรื่องเจาะเวลาหาจิ๋นซีกันหรือยังไง?

หรือพวกเขากำลังหลอกตัวเองอยู่ แต่ก็ดูไม่เหมือน หรือว่าระหว่างทางหลบหนีเธอเกิดสับสน จนเข้ามาอยู่ในดินแดนลึกลับ?

ไม่จริง! จู่ๆ ก็มีแสงสว่างเกิดขึ้นในใจของเสี่ยวซือ เธอพลันนึกถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตได้ เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าเธอเห็นเจ้าหน้าที่นาวิกโยธินนายหนึ่งเข้ามาตัดศีรษะของเธอไป แต่ทำไมเธอไม่รู้สึกอะไรเลย แล้วการแพทย์ประเทศไหนที่ก้าวหน้าจนถึงขั้นต่อศีรษะที่ขาดไปแล้วได้?

เสี่ยวซือเงยหน้าขึ้นมา สองตาจับจ้องไปที่ดวงตาของฉู่หลี ฉู่หลีเห็นนางมองมา คิ้วที่เคยขมวดมุ่นก็คลายลง ในดวงตาสับสนจนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

เสี่ยวซือหันมองรอบตัว พลันเห็นกริชที่ตนเพิ่งทิ้งไป นางก้มลงไปหยิบใบมีดเย็นเยียบที่ส่องประกายขึ้นมา  แล้วจ่อไปหน้าของตัวเอง

“บังอาจ! มีมือสังหาร! ปกป้องรัชทายาท!” แสงของอาวุธสะท้อนเต็มโถงของตำหนักใหญ่ ทหารสวมชุดเกราะหลายนายทยอยเข้ามาด้านใน พร้อมกับชักดาบยาวออกจากฝัก แต่กลับไม่มีปืนอย่างที่เสี่ยวซือคิดเอาไว้ ทั้งยังมีธนูสีเงินนับไม่ถ้วนจ่อมาที่ศีรษะของเสี่ยวซือ แต่ชั่วขณะนั้นเธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะเกิดวิกฤตอะไรขึ้นบ้าง

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอรู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้ สองมือของเธอสั่นเทา ค่อยๆ ยกกริชในมือขึ้นมาทาบไว้ที่ใบหน้าของตน

เส้นผมดำขลับ คิ้วงาม ดวงตาสุกใส ริมฝีปากบาง อีกทั้งใบหน้าที่ขาวซีด คนในเงาสะท้อนนี้ช่างงดงามหมดจด ดูเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยน และงดงาม!

ทันใดนั้น เสี่ยวซือพลันรู้สึกว่าโลกของเธอกำลังพังทลายลง เธอยกมือขึ้นกุมศีรษะ ภาพเบื้องหน้าพลันดำมืด แล้วร่างกายก็อ่อนแรงลง

“อ้าก!” เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากปากของเสี่ยวซือ ภาพเบื้องหน้าดำมืด กริชที่เคยถืออยู่ตกลงพื้น ตามด้วยร่างกายของเธอที่ค่อยๆ ทรุดลงไป

มือของฉู่หลีเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว เขาเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่งก็สามารถโอบนางเข้ามาในอ้อมแขนได้ พลันตะโกนไปที่บรรดาองครักษ์ที่ยืนอยู่โดยไม่สนใจสายตาของผู้คนที่อยู่รอบข้าง “ยังไม่รีบไปตามหมอหลวงมาอีก!”

องครักษ์ตอบรับคำเสียงดัง แล้วส่งสัญญาณกันวุ่นวาย จากนั้นเสียงเรียกหมอหลวงดังก้องไปทั่ววังหนานฉู่!

*

ชุดเซินอี

คือเสื้อชุดยาวบนและล่างติดกัน ซึ่งสามารถปกคลุมรูปร่างได้มิดชิด