webnovel

บทนำ

กรี๊ด!!!

เสียงกรีดร้องของรับเด็กใช้คนใหม่ล่องลอยออกมาจาก 'เรือนหลังเล็ก' สถานที่ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของคุณชายอาร์เธอร์ ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลพิบูลย์พิพัฒนพงษ์ เขาคือตัวอันตรายที่เหล่าเด็กรับใช้ต่างเข็ดขยาดจนไม่อยากเข้าใกล้ ต่อให้เงินเดือนค่าตอบแทนของที่นี่จะสูงกว่าที่อื่นก็ตาม แต่ถ้าใครอยากจะลองดี...ก็ลองเยื้องย่างข้ามผ่านเขตแดนความเป็นส่วนตัวของเขาเข้ามาได้ทุกเมื่อ

"ฉันว่าไม่รอดแน่"

มดแดง หนึ่งในเด็กรับใช้ซึ่งทำงานในคฤหาสน์หลังนี้มาแรมปีแล้วกล่าวด้วยมั่นใจเพราะไม่มีใครเคยผ่านบททดสอบสุดหินนี้ไปได้แม้แต่คนเดียวรวมทั้งตัวเธอด้วย แต่การที่เธอยังสามารถอยู่ที่ได้ล้วนมาจากความสามารถพิเศษส่วนตัวในด้านการประจบประแจงเป็นหลัก คุณหญิงวรรณลภาจึงจ้างเธอไว้เพื่อเป็นหูเป็นตาให้รายงานทุกความเคลื่อนไหวภายในคฤหาสน์ให้ทราบเป็นประจำ

"เฮ้อ...ฉันละเหนื่อยใจจริง ๆ คุณหญิงก็รู้ว่ายังไงคุณชายก็ไม่ต้องการเด็กรับใช้ส่วนตัวทำไมคุณเค้ายังจะจ้างเด็กรับใช้มาที่นี่ตลอดทั้งที่คุณชายรับน้องใหม่แรงจะตาย"

'การรับน้องใหม่' ของอาร์เธอร์นั้นไม่มีเด็กรับใช้คนใหม่ที่ไหนผ่านด่านสุดหินนี้ไปได้เพราะมันทั้งน่ากลัวและสยดสยองเกินกว่าจะจินตนาการ หากไม่ถูกเรียกใช้จริง ๆ จะไม่มีใครเข้าไปรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเขาแม้แต่คนเก่าคนแก่ที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างป้าศรีและบัวตอง สองแม่ลูกที่พชรยังคงจ้างพวกเธอต่อแม้ว่าคนอื่น ๆ จะทนไม่ไหวจนต้องลาออกไปหลายต่อหลายคนแล้วก็ตาม

"แกยังไม่ชินอีกเหรอนางบัวตอง"

คำถามจากป้าศรีผู้เป็นแม่เอ่ยถามลูกสาวในขณะที่ตัวเธอกำลังกวาดใบไม้โดยมีบัวตองคอยตักเศษใบไม้ใส่ถังขยะตามในระหว่างที่ทุกคนต่างลุ้นกันว่าเด็กรับใช้คนใหม่จะผ่านด่านการทดสอบของอาร์เธอร์ไปได้หรือไม่

สายตาของสามสาวต่างวัยต่างมองเลยสวนดอกกุหลาบแดงไปยังเรือนหลังเล็กเพื่อรอคอยผลการทดสอบที่ทุกคนต่างรู้ดีว่ามันไม่ธรรมดาและคนที่อาศัยอยู่ในเรือนหลังเล็กก็ไม่ธรรมดาเอาเสียเลยเพราะเขามันร้ายแสนร้ายจนยากจะควบคุมไหว

รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากเมื่อยามที่ชายหนุ่มได้ยินเสียงกรีดร้อง ทุกพื้นที่ในเรือนหลังเล็กแห่งนี้เขาหวงแหนมันมากจนไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ โดยเฉพาะ...เด็กรับใช้ที่วรรณลภาเป็นคนจ้างเข้ามาให้ดูแลเขาเป็นกรณีพิเศษ ด้วยความพิเศษนี้จึงทำให้เขาต้องหาอะไรพิเศษเพื่อต้อนรับเด็กรับใช้คนใหม่ไม่เว้นแต่ละวัน แม้จะไม่ชอบสักเท่าไหร่...แต่ก็คลายความเบื่อหน่ายได้ไม่มากก็น้อย

เสียงเปียโนดังขึ้นในขณะที่เด็กรับใช้คนนั้นกำลังวิ่งหาทางออกเพราะเธอพบกับตุ๊กตาหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวที่ห้อยหัวลงมาพร้อมกับเลือดสีแดงตรงขอบตานั่น โคมไฟแชนเดอเลียร์ติด ๆ ดับ ๆ ระหว่างทางเดินจนสติของเธอกระเจิงไปหมดทั้งที่ท่องไว้ในใจว่าเพื่อเงินเดือนห้าหมื่นที่ไม่ได้จะหากันได้ง่าย ๆ ในยุคเศรษฐกิจที่ย่ำแย่แบบนี้

ตึก...ตึก...ตึก...!!!

แปะ...

ของเหลวสีแดงหยดลงบนพื้นในระหว่างที่เธอวิ่งขึ้นมายังชั้นบนได้แล้ว แต่เพียงแค่มองหาต้นเหตุของสิ่งที่หยดลงมาสายตาอันหวาดกลัวของคนที่เข้ารับการทดสอบก็ต้องพบเจอกับตุ๊กตาหน้าขาวที่ห้อยหัวลงมาแถมยังแสยะยิ้มให้เธอราวกับว่ามันมีชีวิตจริง ๆ เสียอย่างนั้น

"ฮ...ฮึก..."

สีหน้าของเด็กรับใช้คนใหม่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอพยายามตั้งสติว่าผีไม่มีอยู่จริงยังไงสิ่งที่อาร์เธอร์จัดฉากไว้มันก็แค่ตุ๊กตาแต่คราวนี้ต่อให้เธอจะตั้งสติยังไงก็คงไม่มีแล้วเพราะมือของหน้าขาวยื่นมาแตะศีรษะของคนที่แม้อยากจะร้องก็ร้องไม่ออก

"จะเข้ามาจริง ๆ เหรอ"

นอกจากมันจะเหมือนชีวิตแล้วมันยังมีน้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกสุดขั้วหัวใจพร้อมกับไฟทุกดวงที่ติด ๆ ดับ ๆ พร้อมกันทั้งเรือนหลังเล็กและเสียงเขย่าของประตูทุกบานบ่งบอกว่าที่นี่ไม่ต้องการคนที่วรรณลภาส่งมา

กรี๊ด!!!

ตึก ตึก ตึก พลั่ก...

เด็กรับใช้คนใหม่ลนลานลงจากบันไดชั้นบนเพราะไม่สามารถไปถึงหน้าห้องของอาร์เธอร์ได้อีกแล้ว ที่นี่มันเรือนผีสิงชัด ๆ แถมระหว่างทางลงยังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสยดสยองจนเธอลืมเลือนความหอมหวานของเงินจำนวนห้าหมื่นบาทไปได้เลยหากต้องเอาทั้งชีวิตมาเสี่ยงทำงานในสถานที่แบบนี้

หึ...หึ...หึ...หึ...

กรี๊ด!!!..กรี๊ด!!!

เสียงกรี๊ดดังลั่นเรือนหลังเล็ก คนที่พบเจอเหตุการณ์ที่แสนน่ากลัวพาตัวเองลงมาในสภาพที่ย่ำแย่กว่าตอนขึ้นไปราวฟ้ากับเหว เสื้อผ้า หน้า ผม พะรุงพะรังเปรอะเปื้อนคราบเลือด สองมือพยายามตะเกียกตะกายออกไปข้างนอกซึ่งมีแสงสว่างอยู่รำไรตรงประตูทางเข้า

ปัง!!!

แต่แสงสว่างนั้นได้ลาลับไปเมื่อประตูเรือนหลังเล็กปิดเองด้วยเสียงที่ดังมากจนคนที่อยู่บริเวณเรือนหลังใหญ่ต่างได้ยินทุกสิ่งแต่คงไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเพราะไม่อย่างนั้นอาจจะโดนหางเลขไปด้วย

"ไม่เอาแล้วห้าหมื่น ฮือ...ปล่อยฉันออกไป"

เด็กรับใช้คนใหม่เดินขาสั่นไปเกาะประตูเรือนหลังเล็ก น้ำตาไหลพรากพลางเขย่าประตูเรือนหลังเล็กเพื่อจะออกไปข้างนอกให้ได้ในขณะที่หลอดไฟในเรือนหลังเล็กค่อย ๆ ดับไล่หลังเธอมาทีละดวงจนใกล้ตัวเธอเข้ามาเรื่อย ๆ

"ไม่เอาแล้ว ช่วยด้วย!!!"

พลั่ก!!!

ร่างทั้งร่างดันประตูเรือนหลังเล็กออกมาได้สำเร็จ ภายนอกช่างปกติสุขดีทุกอย่างแถมยังเป็นตอนกลางวันแตกต่างจากด้านในซึ่งมืดมิดราวกับตอนกลางคืนไม่มีผิดเพี้ยนเพราะแทบจะไม่เปิดหน้าต่างแม้แต่บานเดียว

"ฮึก...ฮึก...ฮือ"

คนที่หมายปองว่าจะได้รับเงินเดือนมหาศาลต้องพาร่างของตัวเองออกมาให้ห่างจากเรือนหลังเล็ก แค่ขาของเธอพาตัวเองออกมาได้ประตูเรือนก็ปิดเสียงดังอีกครั้งจนฉี่ของเธอแทบจะเล็ดออกมา

ปัง!!!

"ฮื้อ...ช่วยด้วย"

ร่างของเด็กรับใช้คนใหม่พยายามลุกขึ้นและวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเด็กรับใช้ทั้งสามคนที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ ต่างคนต่างดูออกว่าเด็กรับใช้คนนี้ต้องไม่ผ่านการรับน้องใหม่แน่นอนแถมสภาพก็ยังดูไม่ได้เลยสักนิด

"เป็นไงล่ะนางแจ๋ว"

ป้าศรีเอ่ยถามเด็กรับใช้คนใหม่ที่แทบจะล้มทั้งยืน เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวจนถึงที่สุด เธอกำลังถอดผ้าคาดผมออกพลางถอดผ้ากันเปื้อนสีขาวออกหลงเหลือเพียงชุดกระโปรงสีดำที่เธอยังสวมใส่อยู่ส่วนทุกอย่างที่เป็นสีขาวบัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจนต้องโยนทิ้งลงถังขยะซึ่งเต็มไปด้วยเศษใบไม้

"ฉันขอลาออกนะป้า ฮือ..."

เสียงร้องไห้ของเด็กรับใช้ชื่อแจ๋วเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ต่อให้มีเงินห้าหมื่นมากองตรงหน้าแต่มันจะมีค่าอะไรหากเธอต้องเจอเรื่องน่ากลัวอย่างนี้ สู้กลับไปทำงานที่โรงงานเย็บผ้ายังมีความสุขกว่านี้เสียอีก

"แกไม่เอาแล้วเหรอเงินห้าหมื่นเชียวนะนางแจ๋ว"

"ไม่เอาแล้วป้า ถ้าฉันยังต้องทำงานอยู่ที่นี่ฉันคงเป็นประสาทตายก่อนวัยอันควรพอดี ฮือ...นี่มันบ้านคนรวยหรือว่าบ้านผีสิงกัน น่ากลัวชะมัด"

แจ๋วไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรมาก เธอรีบกลับห้องพักไปเก็บกระเป๋าของตัวเอง พอกันทีกับความน่ากลัวชวนขนหัวลุก ยิ่งเมื่อยามนึกถึงตุ๊กตาหน้าขาวตัวนั้น...

"จบเกมเสียที"

คนที่นั่งไขว่ห้างอยู่ภายในห้องที่แสนมืดมิดรับรู้ได้ว่าเรือนหลังเล็กกลับมาเป็นปกติสุขเสียที มือของเขาเอื้อมไปหยิบไวน์แดงขึ้นมาจิบพลางดื่มด่ำรสสัมผัสของมันเพื่อเฉลิมฉลองให้กับเกมที่เขาเป็นฝ่ายชนะอีกครั้ง

ครืน...

เสียงสั่นจากมือถือทำลายบรรยากาศอันรื่นรมย์ แต่ปลายสายที่โทรเข้ามาก็ทำให้เขาอดแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ร้อยวันพันปีคนคนนี้จะยอมโทรหาเขา...ทั้งที่เหมือนอยู่กันคนละโลกมานานแสนนาน

"ครับ"

อาร์เธอร์รับสายพชรผู้เป็นพ่อของเขาภายใต้เงามืดในห้องยังพอมีแสงสว่างจากขอบหน้าต่างสะท้อนมายังใบหน้าซึ่งเห็นเพียงริมฝีปากของเขาเท่านั้น ดวงตาอันแสนดุดันในความมืดมิดไม่แสดงออกว่าเขารู้สึกยังไงกับคนที่ทิ้งเขาไว้ให้ใช้ชีวิตเพียงลำพังมาโดยตลอด

"วันนี้ลูกว่างไหม พ่อมีเรื่องอยากจะรบกวนสักหน่อย"

"พ่อก็รู้ว่าถ้าผมไม่ออกไปก่อเรื่องข้างนอกก็คงจะอยู่แต่ในเรือนหลังเล็ก"

"อาร์เธอร์ฟังนะ วันนี้ตอนหกโมงเย็นหลานสาวของคุณวรรณจะถึงไทย พ่ออยากวานให้ลูกไปรับเธอให้หน่อย เพราะตอนนี้คุณวรรณเธอไม่สบาย"

การสนทนาของผู้เป็นพ่อไม่มีคำไหนที่จะถามอาร์เธอร์เลยว่าเขาเป็นยังไงบ้างและเขาควรจะชินชากับเรื่องพวกนี้เพราะพชรจะสนใจภรรยาคนใหม่มากกว่าเขาที่เพียงลูกชายของภรรยาคนเก่าเท่านั้น

"คุณวรรณอาการร้ายแรงจนถึงขั้นแอดมิทแล้วเหรอครับ"

"อาร์เธอร์ อย่าพูดถึงคุณวรรณอย่างนั้น ยังไงพ่อฝากลูกด้วย เธอชื่อชนัญชิดา มาจากอังกฤษ รุ่นราวคราวเดียวก็น่าจะใกล้เคียงกับลูก ช่วยไปรับเธอที่สุวรรณภูมิตอนหกโมงเย็น"

อาร์เธอร์ไม่ได้อยากฟังเรื่องที่พชรกำลังพูดเลยสักนิด ยิ่งได้ยินว่าคนที่ให้ไปรับเป็นหลานสาวของวรรณลภา เขาก็ยิ่งไม่ควรให้ความช่วยเหลือใด ๆ เพราะในสายตาของอาร์เธอร์แล้ววรรณลภาก็ไม่ต่างจากแม่มดใจร้ายและความสัมพันธ์ของเขากับวรรณลภาก็ไม่ได้ลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ซึ่งพชรเองก็รับรู้เรื่องนี้ดีแต่ทำไมยังมาขอให้เขาทำอะไรในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ

"หมดธุระรึยังครับ"

"แค่นี้ก่อนนะลูก พ่อต้องเข้าประชุมก่อน"

ปลายสายกดตัดสายไปแล้วเพราะเหตุผลเดิม ๆ คือภาระงานและตัวพชรเองก็ไม่ต้องการมีปากเสียงกับลูกชายมากเกินความจำเป็น

"ชนัญชิดา หลานสาวยัยแม่มดวรรณลภา...เธอมีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน"

อาร์เธอร์จับแก้วไวน์แน่น แค่เป็นหลานสาวของวรรณลภาเขาก็ไม่อยากจะรับรู้และรับฟังอะไรอีกต่อไปแล้วนอกเสียจากการกระดกดื่มไวน์แดงในมือให้หมดแก้วเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเองเอาไว้