เช้าวันนี้สิปรางค์เลี้ยวรถเข้าประตูโรงงานแต่เช้าเช่นเคย แต่ก่อนจะขับรถออกมาจากที่พักหล่อนแวะเข้าไปเอากาแฟร้อนที่ห้องอาหารในรีสอร์ตของน้องสาวมาเผื่อยามผู้สูงวัยด้วย
แปลกแฮะ วันนี้ไม่สัปหงก สงสัยยังเช้าอยู่
เมื่อคำตั๋นเปิดไม้กั้นให้ หญิงสาวจึงจอดไขกระจกลง แล้วยื่นแก้วกาแฟร้อนให้
"กาแฟค่ะคำตั๋น จะได้ไม่ง่วง และจะได้ไม่หลับ และจะได้คอยเปิดไม้กั้น" หล่อนยิ้มล้อเลียน
"โอ๊ะ ขอบคุณคับคุณสิปรางค์ ใจดีแต้ๆ"
ชายชรารีบกุลีกุจอออกจากป้อมยามมารับถ้วยกาแฟจากหล่อน
"อ้าว แล้วนั่นใครคะ"
สิปรางค์มองไปทางด้านหลังของคำตั๋น บุ้ยบ้ายไปทางเด็กหญิงหน้าตามอมแมมอายุราวสี่ห้าขวบที่นั่งระบายสีอยู่ในป้อมยาม
"หลานสาวผมเองครับ ชื่อน้องนุ่น" ยามผู้ชราหันไปมองเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู
เมื่อตอนมาถึงที่เชียงใหม่ใหม่ๆ สิปรางค์แปลกใจพอสมควร ที่ผู้คนที่นี่จะเรียกเด็กผู้หญิงไปจนถึงวัยสาวว่าน้องนำหน้าชื่อ และก็ผู้หญิงเกือบทุกคนก็จะแทนตัวเองว่าน้องเสมอๆ
"ตอนนี้โฮงเฮียนปิด แม่มันไปฮับจ้างก่อสร้าง จะเอาไปฝากเขาเลี้ยงก็บ่มีสตางค์ ผมเลยเอามันมานั่งอยู่กับผม คุณวิชิตแกฮื้อแล้วคับ" ชายชราอธิบายต่อ
"แล้วนั่งตรงนี้ทั้งวัน ไม่ร้อนแย่หรือคะ ให้เข้าไปนั่งในออฟฟิศไหม"
แม้ในใจจะไม่ชอบใจนักที่โรงงานปล่อยให้มีเด็กน้อยมาเพ่นพ่าน แต่หญิงสาวก็รู้สึกเอ็นดูหญิงตัวน้อยอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะเด็กหญิงอยู่ในวัยใกล้เคียงกับชมพู่หลานสาวของหล่อน
แล้วตอนนี้ยัยชมพู่ก็ต้องปิดเทอมเหมือนกันน่ะสิ ในขณะที่หลานสาวของหล่อนมีพี่เลี้ยงคอยวิ่งตามดูแลอย่างดี แต่หนูน้อยคนนี้กลับต้องมานั่งเล่นเงียบๆในป้อมยามร้อนๆอย่างนี้
"บ่เป็นหยังคับ ฮื้อมันนั่งนี่แหละ กำเดียวมันจะไปกวนเปิ้นยะงาน"
ยามผู้ชรารู้สึกเกรงใจหญิงสาวจากสำนักงานใหญ่ตรงหน้า เท่าที่คุณวิชิตอนุญาตให้นำเด็กหญิงมานั่งอยู่ที่ป้อมยามด้วย เขาก็รู้สึกเป็นพระคุณแล้ว
"ไปนั่งในห้องกาแฟก็ได้นะคะ" หากสิปรางค์ยังคงเอื้อเฟื้อต่ด หล่อนอดไม่ได้ที่จะชวนเจ้าตัวน้อยด้วยตนเอง "ไปไหม เด็กหญิงนุ่น"
เด็กหญิงเงยหน้าจากสมุดระบายสี จ้องมองสิปรางค์เขม็งและส่ายหน้า
"จะอยู่กับตาตั๋น" แล้วเจ้าหล่อนก็ก้มหน้าก้มตาระบายสีต่อไป
ยามชราประจำโรงงานเดินเข้าไปลูบหัวหลานสาวด้วยความรักใคร่ สิปรางค์อดยิ้มในความเด็ดเดี่ยวของเจ้าตัวน้อยไม่ได้ ภาพคำตั๋นและเด็กหญิงนุ่นทำให้หล่อนหวนระลึกถึงตัวเองในวัยเยาว์
ในบรรดาหลานทั้งหมดสี่คน หล่อนเป็นหลานรักที่สุดของคุณปู่ อาจเป็นเพราะหล่อนเป็นเด็กที่มีนิสัยโลดโผนกล้าได้กล้าเสียและเด็ดเดี่ยวคล้ายเด็กผู้ชาย แต่ในขณะเดียวกันก็ฉลาด ขี้อ้อน และพูดเก่ง ในตอนปิดเทอมบิดาหล่อนจะเอาหล่อนและสุปราณีหรือปริมน้องสาวของหล่อนไปฝากไว้ที่บ้านใหญ่ของคุณปู่เสมอ สิปรางค์จะตามติดคุณปู่ไปทุกๆที่ที่คุณปู่ไป ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ร้านหนังสือ ที่บริษัท หรือแม้กระทั่งที่โรงงาน ในขณะที่ปริมน้องสาวของหล่อนจะอยู่เงียบๆกับคุณย่าที่บ้าน หัดทำกับข้าวหรือไม่ก็เย็บปักถักร้อย
สิปรางค์โบกมือลาเด็กหญิงพลางบอกว่า
"ไปล่ะนะ ถ้าเปลี่ยนใจ ก็เดินเข้าไปข้างในออฟฟิศนะคะคุณเด็กหญิงนุ่น"…
งานของสิปรางค์ยุ่งตั้งแต่เริ่มต้นอาทิตย์ รายงานจากแผนกต่างๆที่หล่อนขอไปในอาทิตย์ที่แล้วเริ่มทยอยเข้ามา หญิงสาวกับณัฐช่วยกันตรวจดูเอกสารต่างๆ และพบข้อผิดพลาดหลายแห่ง
"คุณสิปรางค์ครับ ช่างวินหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงแกกลับมาจากพักร้อนแล้วนะครับ จะให้เข้ามาพบเลยไหม" คุณวิชิตเข้ามาแจ้งกับหล่อนในตอนสายๆ
"ยังดีกว่าค่ะ ยังไม่มีเวลา ตอนนี้กำลังดูเอกสารของฝ่ายผลิตกันอยู่น่ะค่ะ"
สิปรางค์ตอบผู้จัดการโรงงานโดยที่ยังไม่เงยหน้าจากกองกระดาษตรงหน้า ช่วงนี้นี้ดนัยลาพักร้อน ทำให้หล่อนอาจต้องลงมือตามเอกสารหลายๆอย่างด้วยตนเอง
"เอกสารไม่ค่อยเป็นระเบียบเลยนะคะคุณวิชิต"
หล่อนอดที่จะบ่นกับผู้อาวุโสกว่าไม่ได้ ในยุคสมัยนี้ที่คอมพิวเตอร์มีบทบาทเป็นอย่างมากกับการทำงาน แต่โรงงานนี้กลับเก็บข้อมูลเป็นกระดาษเหมือนย้อนยุคไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
"ผมก็ไม่ได้จ้ำจี้จ้ำไชอะไรพนักงานเค้ามากน่ะครับ ส่วนใหญ่ก็ทำงานกันมานาน ก็ชินกันไปแล้ว"
วิชิตรู้ตัวดีว่าโรงงานของเขาหละหลวมในเรื่องของระบบการจัดเก็บข้อมูล ด้วยความที่พนักงานสนิทสนมคุ้นเคยกัน ทำงานกันเหมือนเป็นครอบครัว จึงทำให้เขาละเลยเรื่องระบบการทำงานไปอยู่มากทีเดียว
"ดิฉันเห็นทีจะต้องลงไปตามเอกสารที่ฝ่ายผลิตด้วยตัวเองแล้วล่ะค่ะ"
หญิงสาวพูดต่อไปโดยที่ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร วิชิตมองผู้หญิงสวยด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย หลานสาวของเพื่อนรักเขาคนนี้ขยันขันแข็งและตั้งอกตั้งใจทำงานมาก
หากเขาได้ร่วมงานกับหล่อนในภาวะที่ปกติกว่านี้ก็คงจะดีไม่น้อย น่าเสียดาย ที่ภารกิจที่สิปรางค์ได้รับมอบหมายมา คือการมาปิดโรงงานของเขา แทนที่จะเป็นมาพัฒนาโรงงาน…
กว่าจะออกมาจากการพูดคุยกับฝ่ายผลิตได้ก็เกือบเที่ยง สิปรางค์มุ่งหน้าเข้าออฟฟิศเพื่อเอาเอกสารไปเก็บ และกำลังคิดจะชวนณัฐไปที่โรงอาหารของโรงงาน ขณะเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง หล่อนก็ได้กลิ่นอะไรฉุนๆอบอวลไปทั้งชั้น
กลิ่นอะไรเนี่ย เหมือนกลิ่นกับข้าว แต่เป็นกลิ่นที่โหดร้ายมาก
หล่อนเดินตามกลิ่นไปเรื่อยๆ ไปหยุดอยู่ที่ห้องกาแฟ ออฟฟิศที่นี่มีลักษณะเปิดโล่ง จะมีก็แต่ห้องคุณวิชิต ห้องทำงานของหล่อน และห้องประชุมเท่านั้นที่มีประตูปิด
ภาพในห้องกาแฟเบื้องหน้าที่หล่อนเห็นคือ สาวๆจากแผนกต่างๆในออฟฟิศกำลังล้อมวงกันรับประทานอาหารกลางวัน และหนึ่งหนุ่มเดียวในนั้นก็คือณัฐเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องสุดหล่อของหล่อน
อะไรกัน กินข้าวกันที่ห้องกาแฟรึ อย่างนี้ก็ได้หรือ
"อ้าว พี่ปราง เร็วพี่ เดี๋ยวหมดก่อน"
ณัฐเงยหน้าขึ้นมาเห็นหล่อนพอดี เขาเชิญชวนหล่อนให้ร่วมวง เรื่องสมาคมสังสรรค์กับผู้อื่นนั้นหนุ่มหล่อคนนี้ไม่เคยพลาด สิปรางค์ก้าวเข้าไปหากลุ่มสาวๆในห้องกาแฟ หญิงสาวขมวดคิ้วมองบรรดาอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ
ไม่เห็นจะรู้จักสักอย่าง… อ้อ อันนั้นน่าจะส้มตำ
"กินไม่เป็นซักอย่าง" หล่อนยิ้มแหยๆ
เห็นสาวๆกำลังเอาข้าวเหนียวปั้นและจิ้มไปในส้มตำแล้วพาลรู้สึกพะอืดพะอม หล่อนไม่เคยชินกับการใช้มือรับประทานอาหาร
"อาหารเมืองทั้งนั้นค่าคุณสิปรางค์ ลองดูสิค้า" คุณแววแผนกบัญชีพยายามหว่านล้อมหญิงสาวจากกรุงเทพ
"อันนี้เค้าเรียกอะไรน้า ผักกาดจอใช่ไหมครับคุณเบลล่า" ณัฐหันไปหยอกล้อกับราณีด้วยท่าทางสนิทสนม
"เบลล่าก็ไม่ค่อยถนัดอาหารพื้นเมืองนะคะ" คนสวยประจำโรงงานตอบเอียงอาย
"อันนี้ก็อ่องออ ลาบดิบ คั่วโฮะ ข้าวจิ้น รำๆทั้งนั้นเลยค่า คุณสิปรางค์ลองหน่อยไหมค้า" คุณแววยังไม่ละความพยายาม
"อ่องออมันคือสมองหมูพี่ ต้องลอง มันเด็ดมาก" รุ่นน้องของหล่อนพูดพลางจิ้มข้าวเหนียวเข้าปาก
ณัฐเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่ายเสมอ เขาเป็นคนใช้ชีวิตสนุกสนาน และชอบลองทุกสิ่งทุกอย่าง หล่อนไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างณัฐจะจบปริญญาโทด้านการเงิน มันขัดกับบุคลิกขี้เล่นของเขาสิ้นดี
สิปรางค์ขอตัวจากทุกคนเพราะหล่อนรู้สึกวิงเวียนกับกลิ่นของอาหารที่ไม่คุ้นเคย และเมื่อกลับเข้ามาอยู่ในห้องทำงาน ก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น และเหมือนอาการเวียนหัวจะทวีคูณขึ้นอีก หญิงสาวจึงตัดสินใจเอางานกลับไปทำที่รีสอร์ต…
หลังจากที่ได้กินยาแก้ปวดหัวและนอนพักไปชั่วครู่แล้ว สิปรางค์ก็รู้สึกดีขึ้น จึงตั้งใจจะเริ่มทำงานที่เอามาจากโรงงาน
บ้านพักในรีสอร์ตของหล่อนที่ปริมจัดไว้ให้เป็นบ้านเดี่ยวยกพื้นชั้นเดียว ภายในแบ่งเป็นห้องนั่งเล่นและห้องนอนเล็กๆ ส่วนด้านนอกหลังจากขึ้นบันไดมาก็จะมีระเบียงสำหรับนั่งเล่น หญิงสาวจัดแจงลากโต๊ะเขียนหนังสือในห้องนั่งเล่นออกมาที่ระเบียง แล้วนั่งลงมือทำงาน โชคดีที่บ่ายวันนี้อากาศไม่ร้อนนัก ยังพอมีสายลมพัดอ่อนๆพอที่จะทำให้หล่อนทำงานได้อย่างเพลิดเพลิน…
กว่าหญิงสาวจะเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารบนโต๊ะเขียนหนังสืออีกทีก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว วันนี้หล่อนลืมบอกน้องสาวไปเลยว่าจะกลับมากินข้าวเย็นด้วย
ขณะที่กำลังเตรียมตัวจะเดินลงบันไดจากบ้านพักไปหาปริมที่รีสอร์ต สิปรางค์ก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ที่ในแม่น้ำ นั่นมันคุณเจ้าของสวนนี่นา ชายหนุ่มกำลังพายเรือเลียบริมน้ำใกล้บ้านพักของหล่อน ในเรือมีเด็กชายตัวอ้วนกลมและมีหมาพันธุ์ไทยตัวโตนั่งอยู่ด้วย
"คุณ! คุณวินสวนลิ้นจี่" หล่อนร้องตะโกนเรียกเขาอย่างดัง
คนตัวสูงชะงักการพายเรือและเหลียวซ้ายแลขวาหาต้นเสียง พลันเมื่อเขาหันมาเห็นหญิงสาวบนเรือนพักตะโกนโหวกเหวก ชายหนุ่มก็ทำท่ารีบจะพายเรือให้ห่างออกไป
"เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป รอก่อน"
สิปรางค์รีบวิ่งลงจากเรือนพักอย่างลุกลี้ลุกลน หล่อนยังไม่ละความพยายามที่จะหาโอกาสพูดคุยกับเขาเรื่องขอซื้อที่ดิน ภารกิจที่ผับในวันนั้นล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า วินเอาแต่คุยกับคนโน้นคนนี้และไม่ได้สนใจหล่อนอีกเลย
"อ้ายวิน ปี้คนสวยๆเปิ้นฮ้อง"
เด็กชายที่นั่งอยู่หัวเรือพยายามย้ำเตือนเขาอยู่หลายรอบ จนชายหนุ่มจึงจำต้องพายเรือเข้ามาหาหญิงสาวคนสวยที่ริมตลิ่ง
"จะไปไหนกันจ๊ะสมเพชร"
คนสวยมุ่งไปทางเจ้าตัวอ้วนกลมที่นั่งอยู่หัวเรือ หล่อนจำชื่อของเด็กชายได้จากตอนที่ลุงแปงแนะนำตัวให้แก่แขกในรีสอร์ตเมื่อตอนเข้าไปเก็บผลไม้ในสวนกับชมพู่หลานรัก
"จะไปเก็บผักหนาม จะเอาไปฮื้อป้อผัดกิ๋น" เด็กชายตัวกลมตอบกลับมา ยิ้มกว้างพร้อมกับชูผักที่กำไว้ในมือ
"ไปด้วยคนสิ" หญิงสาวพยายามจะเอื้อมมือไปดึงกราบเรือเข้ามาหาตัว
"เฮ้ย"
คราวนี้เสียงตอบกลับมาเป็นเสียงของชายหนุ่มผิวคร้ามที่ทำหน้าที่พายเรือ เขาทำท่าทางเหมือนไม่อยากจะให้หล่อนร่วมทางด้วย
"อย่าเลย ไม่สนุกหรอก"
นั่นไง เขาอ้อมแอ้มปฏิเสธกลับมา สิปรางค์จึงหันไปทำสายตาอ้อนวอนกับเจ้าตัวกลมที่หัวเรือ
"ฮื้อปี้สาวไปโตยก่ะอ้าย เปิ้นจะได้จ้วยเฮาเก็บโตย"
เด็กตัวกลมหลงกลหล่อน สิปรางค์จึงถือโอกาสยึดกราบเรือไว้แน่น แล้วก็หันหน้าไปทำสายตาอ้อนวอนเขาอีก
"ไม่อ่ะ ไม่เอา!" ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงหลง…
สายลมเอื่อยๆจากแม่น้ำยามเย็นพัดผ่านปะทะเข้ากับผิวกายขาวผ่องของสิปรางค์ หญิงสาวรู้สึกสงบและสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มเจ้าของสวนพายเรือเลียบฝั่งแม่น้ำไปช้าๆ คนตัวขาวผ่องโน้มตัวลงกับกราบเรือ เอามือราน้ำเล่นเป็นบางครั้ง แม้จะแอบกลัวผิวเสียหน่อยๆ แต่แดดยามเย็นก็ไม่ร้อนแผดเผานัก นานๆทีจะได้นั่งเรือเล่น หล่อนคงต้องยอมบ้าง
นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนได้นั่งเรือที่มีคนพายให้ก็ว่าได้ สมัยอยู่อเมริกาหญิงสาวแทบไม่เคยได้ไปทำกิจกรรมอะไรอย่างอื่นที่นอกเหนือไปจากการเรียนเลย
วินมองภาพหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ผู้หญิงผิวขาวผ่องในชุดอยู่บ้านเสื้อยืดกางเกงทรงหลวมง่ายๆ แต่ดูจากลักษณะเนื้อผ้าแล้ว วินพอจะดูออกว่าไม่น่าจะเป็นเสื้อผ้าที่ราคาย่อมเยาเป็นแน่ เสี้ยวหน้าเรียวยาวที่เขาเห็นนั้นรับกันดีกับเส้นผมอ่อนสลวยที่บัดนี้ถูกเกล้าขึ้นสูงเป็นหางม้า เผยให้เห็นต้นคอเรียวขาวผ่อง แม้หล่อนจะดูไม่ใช่สาวรุ่นแล้ว แต่ผิวขาวใสนั้นก็ยังดูเปล่งปลั่งสมบูรณ์
จะว่าหล่อนเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขาก็ใช่ เขาเพิ่งเจอหล่อนไม่กี่ครั้ง และไม่เคยคุยกับหล่อนอย่างจริงจัง ชายหนุ่มรู้คร่าวๆจากลุงแปงว่าหล่อนเป็นพี่สาวของเจ้าของรีสอร์ตข้างๆ มาจากกรุงเทพและจะมาพักที่นี่ระยะหนึ่ง ก็แค่นั้น แต่ทุกครั้งที่เขาเจอหล่อน เขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับหญิงสาวอย่างบอกไม่ถูก หล่อนดูเป็นพูดจาคนตรงไปตรงมา และแววตากลมโตคู่นั้นดูจะมีแววมุ่งมั่นอยู่เสมอ จนบางครั้งเขาก็แอบนึกกลัวความเอาจริงเอาจังในทุกเรื่องของหล่อน
แต่ขณะนี้ หญิงสาวผู้กำลังนั่งอยู่ในเรือของเขากลับดูเป็นอีกคน คนผิวสวยดูผ่อนคลายสบายอกสบายใจ ยามเล่นกับสมเพชรก็ดูสนุกสนานเหมือนกับเด็กหญิงตัวน้อยๆ วินสัมผัสได้ถึงความไร้จริตของหญิงสาวตรงหน้า แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้ง เมื่อเจ้าของต้นคอเรียวสวยนั้นอยู่ๆก็หันขวับมาทางเขา
สิปรางค์รู้สึกแปลกๆกับนัยน์ตายาวรีที่แอบมองหล่อนคู่นั้น เขาดูเก้อไปเมื่อหญิงสาวหันมาเห็นเขากำลังจ้องมองหล่อนอยู่พอดี คนตัวสูงชะงักแล้วเสมองไปทางอื่น แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนเช่นเคย
แต่คนสวยไม่ได้คิดจะใส่ใจเขาไปมากกว่านี้ หล่อนกำลังสนุกสนานไปกับเด็กชายตัวอ้วนกลม สมเพชรสอนให้หล่อนเก็บผักหนาม มันเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่สิปรางค์ไม่เคยทำมาก่อน…
เจ้าของสวนลิ้นจี่ยังคงพายเรือเลียบริมแม่น้ำต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ปล่อยให้หล่อนและสมเพชรเก็บผักหนามไปเรื่อยๆ จนทั้งหญิงสาวและสมเพชรมีผักหนามเต็มอ้อมแขน
"ป๊ะ ไปกินข้าวกัน" เจ้าตัวกลมชวนหล่อนอย่างง่ายๆ
"เฮ้ย!" ชายหนุ่มอุทานขึ้นมาอีกครั้ง
"ดีเลยจ้าสมเพชร พี่กำลังหิวอยู่พอดี"
ช่างสมใจสิปรางค์ยิ่งนัก หญิงสาวกำลังอยากเข้าใกล้คุณสวนลิ้นจี่ยิ่งกว่านี้ เดี๋ยวตอนมื้อเย็นหล่อนจะหาโอกาสพูดกับเขาเรื่องที่ดินให้ได้ ตอนพายเรือกันมาก็มัวแต่เพลิดเพลินกับบรรยากาศการเก็บผักหนาม ทำให้หล่อนลืมที่จะเอ่ยปากจนได้…
"ป้อ ป้อ ปี้คนงามเขาจะมากินผัดผักหนามโตยเฮา"
เด็กชายตัวกลมร้องตะโกนมาแต่ไกล สมเพชรเดินนำสิปรางค์และชายหนุ่มไปที่บ้านหลังเล็กของตาเขาที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางดงลิ้นจี่
เรือนไม้ยกพื้นชั้นเดียวหลังนั้นตั้งอยู่ชิดขอบริมรั้วด้านข้างของสวนด้านตรงข้ามกับรีสอร์ต เมื่อหล่อนก้าวขึ้นบันไดไปก็พบกับส่วนของนอกชานซึ่งมีเสื่อปูอยู่กับพื้นและมีสำรับกับข้าวบางอย่างตั้งรออยู่แล้ว ด้านซ้ายมือของหล่อนถูกกั้นแบ่งเป็นอีกหนึ่งห้อง ซึ่งหญิงสาวคาดเดาเอาว่าน่าจะเป็นห้องนอน ส่วนด้านขวาของเรือนถูกจัดเป็นส่วนของครัวยาวไปจนถึงหลังบ้าน
ลุงแปงออกมาต้อนรับหล่อนด้วยสีหน้าแปลกใจ แต่ก็ดูเต็มใจ พร้อมกับรับผักหนามจากหล่อนเข้าครัวไปโดยไม่ได้ถามอะไรให้ยืดยาวต่อ
บ้านนี้พูดน้อยกันทั้งบ้าน มื้อเย็นนี้เราจะรอดไหมเนี่ย…
ในระหว่างอาหารมื้อเย็น ดูเหมือนจะเป็นเด็กชายสมเพชรที่เป็นฝ่ายนำบทสนทนาในวง เล่าเรื่องโน้นนี้ให้ผู้เป็นตาฟัง เด็กชายนั่งตัวติดกับสิปรางค์และถามหญิงสาวในทุกๆเรื่อง ส่วนเจ้าของบ้านและเจ้าของสวนต่างเป็นฝ่ายนั่งกินข้าวกันเงียบๆ นานๆทีก็จะได้ยินเสียงผู้เป็นตาปรามหลานชายเมื่อเห็นว่าเด็กชายชักจะพยายามตีสนิทกับหญิงสาวเกินเหตุ
สิปรางค์แอบมองชายหนุ่มผิวคร้ามแดดที่นั่งตรงกันข้ามเป็นพักๆ เขาดูท่าทางสบายๆเหมือนเคย หัวเราะหรือยิ้มน้อยๆไปกับเด็กชายตัวกลมบ้าง ความร่าเริงของสมเพชรทำให้วงอาหารเย็นไม่เงียบเหงาอย่างที่สิปรางค์นึกหวั่นก่อนหน้านี้…
หลังเสร็จสิ้นอาหารเย็น ลุงแปงและสมเพชรช่วยกันเก็บสำรับกับข้าวเข้าไปล้างในครัว ส่วนวินก็ถอยไปนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของชานเรือน เขาจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ สิปรางค์นั่งพิงเสาด้านตรงข้ามกับชายหนุ่ม หล่อนกำลังสนอกสนใจมองดวงดาวบนท้องฟ้า
คืนนี้ท้องฟ้าโปร่งจนเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า หญิงสาวรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เห็นตรงหน้าจนทำให้หล่อนลืมที่จะถามชายหนุ่มเรื่องซื้อที่ดินไปเสียสนิท
"ชั้นไม่เคยนั่งดูดาวในบ้านสวนอย่างนี้มาก่อน มันสวยจังเลย" หล่อนพูดโดยไม่หันมามองเขา
"แล้วคุณมะปรางเคยดูดาวที่ไหนมาบ้างล่ะครับ"
จู่ๆชายหนุ่มก็นึกอยากจะรู้เรื่องของคนสวยตรงหน้าขึ้นมาบ้าง
สิปรางค์หันขวับมามองคนตัวสูงอย่างแปลกใจ เขาเรียกชื่อเล่นหล่อนแบบเต็มๆ ไปได้ยินมาจากไหนกันนะ
"ก็เคยดูที่หอดูดาวของนาซ่านะ ตอนนั้นมหาวิทยาลัยพาไป นานมากแล้ว" หญิงสาวพยายามจะนึกย้อนไปถึงสมัยเรียน
"โอ้ว!" ชายหนุ่มกลั้นยิ้ม ทำตาโต
"แล้วเห็นดาวสวยไหมครับ"
"ก็ไม่เห็นจะสวยนะ ดาวมันเป็นกลมๆ ไม่ระยิบระยับแบบนี้"
ภาพคนตัวเล็กตรงหน้าที่ทำท่าผิดหวังกับดวงดาวที่เห็นที่หอดูดาว ทำเอาวินกลั้นหัวเราะไม่อยู่ บทหล่อนจะซื่อก็ซื่อซะจนเขาอดขำไม่ได้
"ขำอะไรน่ะ"
แต่หญิงสาวไม่ขำไปด้วย บางทีหล่อนก็นึกรำคาญสีหน้ายิ้มๆกับแววตายิ้มๆของเขา คนอย่างเขาเคยจริงจังกับเรื่องอะไรบ้างไหมนะ
คนอะไร นัยน์ตายิ้มได้ ยิ้มแทบจะตลอดเวลาเสียด้วย
"ปี้สาวคร้าบ ป้อเปิ้นจะเป่าขลุ่ยฮื้อฟัง"
สมเพชรวิ่งออกมาจากในครัว ตรงเข้ามานั่งกระแซะข้างๆหล่อน แล้วยิ้มตาหยีแก้มตุ่ยออดอ้อนกับหญิงสาว "ปี้สาวเคยฟังขลุ่ยก่อ"
"อ้าว ไอ่เพชร ป่ะเดียวนี่เปลี่ยนคนอ้อนแล้วกา"
วินเย้าเด็กชายตัวกลม แต่หากได้รับความสนใจจากเด็กชายไม่ ชายหนุ่มชูบุหรี่ให้เด็กชายดู แล้วก็บุ้ยใบ้ถามหาที่เขี่ยบุหรี่ แต่เจ้าตัวกลมก็เหมือนกับจะยังคงสนใจอยู่แต่กับสิปรางค์
"เอ๊อ บ่สนกั๋นเลยเน่อ"
คนผิวคร้ามพึมพำ เหลียวหาที่เขี่ยบุหรี่เพื่อมาดับเจ้ามวนที่อยู่ในมือเขา แล้วก็หันมานั่งกอดเข่าหลวมๆ สายตามองไปที่หญิงสาวคนสวยกับเด็กชายอ้วนกลมที่กำลังคุยอะไรกันจิ๊จ๊ะ
ความรู้สึกแปลกๆกำลังก่อตัวขึ้นในใจของเขา…
เสียงกังวานของขลุ่ยไทยที่มาจากลุงแปงทำเอาสิปรางค์ตะลึงไปกับความหวานไหวไพเราะจับใจ หญิงสาวจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่หล่อนได้ยินเสียงขลุ่ยไทยมันคือเมื่อไหร่กัน
ตอนอยู่ที่อเมริกา หล่อนได้ไปฟังคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิคที่มีการแสดงฟลุ้ทอยู่บ้าง แม้จะยอมรับว่าเสียงเครื่องดนตรีฝรั่งชนิดนั้นมีความไพเราะอยู่มาก แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับความหวานซึ้งของเสียงขลุ่ยที่หล่อนกำลังได้ยินในตอนนี้
บรรยากาศที่อ้อยส้อยนุ่มนวลท่ามกลางเสียงขลุ่ยนั้นทำเอาสิปรางค์ตกอยู่ในภวังค์ คนสวยนั่งมองความระยิบระยับของแสงดาวบนฟ้าเจือไปกับเสียงขลุ่ยครวญด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก มันเป็นอารมณ์อ่อนหวานซึ่งเจือไปด้วยความเหงา… แต่ทว่าอบอุ่น
หล่อนไม่เคยอยู่ในห้วงอารมณ์อย่างนี้มาก่อนเลย นี่สินะ… ที่เค้าเรียกว่าบรรยากาศพาไป
สิปรางค์อดที่จะหันไปมองยังชายหนุ่มเจ้าของสวนไม่ได้ เพื่อที่จะพบว่าเขาเองก็กำลังมองตรงมาที่หล่อนอยู่ก่อนแล้ว หากแต่ว่าครั้งนี้.. เขาไม่ได้หลบตาหรือเสมองไปทางอื่นเหมือนอย่าง แม้ใบหน้าเรียวคร้ามแดดนั้นจะดูนิ่งๆ หากดวงตาคู่นั้นมีความหวานซึ้งอย่างที่หล่อนไม่เคยเห็นมาก่อน
ทำไมสายตาของพ่อหนุ่มชาวสวนคนนี้ทำเอาใจหล่อนเต้นแรงขนาดนี้นะ…