webnovel

ปั้นดินเป็นเดือน

จากดินสกปรกจะถูกปั้นให้เป็นเดือนได้จริงเหรอ? ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่? สุดท้ายแล้วคนเราก็ตัดสินกันแค่ที่หน้าตาใช่ไหม? เบญจมินทร์ หรือ เบ็น เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อสุดใจเลยว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ดูดีในแบบของตัวเอง และทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หากมีความพยายามมากพอ และด้วยความเชื่อที่ดูจะไปสะกิดต่อมความหมั่นไส้ของคู่อาฆาตนั้น ทำให้เขาถูกท้าแข่งในการประกวดทูตกิจกรรม ไม่ใช่ตัวพวกเขาเองที่จะลงแข่งหรอกนะ แต่พวกเขากำลังแข่งกันปั้นเด็กของตัวเองให้เป็นเดือนคณะให้ได้ต่างหาก ทว่า เด็กที่เบ็นต้องปั้นนั้นกลับเป็นรุ่นน้องปี 1 ที่แสนจืดจาง ใบหน้าห่างไกลจากคำว่าหล่อในยุคสมัยนี้ไปเลย แถมความมั่นใจยังอยู่ในระดับขั้นติดลบ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าเบ็นไม่ต้องแข่งก็ได้ เพราะรู้ผลตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ แต่เบ็นเชื่อในตัวน้องคนนี้ และเชื่อในกันและกัน เขาจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นดวงเดือนสีนวลบนฟ้าให้ได้! สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถพิสูจน์ให้โลกวัตถุนิยมใบนี้ยอมรับความพยายามของพวกเขาได้หรือไม่

NIMAJNEB · LGBT+
Classificações insuficientes
56 Chs

บทที่ 9

ท่ามกลางความเงียบของหอสมุด ผมนั่งอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนที่ได้เรียนไปในวันนี้ระหว่างรอไนน์กลับมาจากคาบเรียนช่วงเย็นเหมือนทุกวัน แต่แล้วเสียงตึงตังของฝีเท้าใครบางคนก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ ทำลายบรรยากาศอันเงียบสงัดของมุมอ่านหนังสือไปหมดสิ้น

บุคคลที่โผล่เข้ามาคือไนน์นั่นเอง สภาพหอบหายใจแรง เหงื่อเปียกไปทั่วชุดนิสิตขาว ม่านตาขยายจนเห็นลูกตาดำได้ชัดเจน ผมหยิกสีดกดำยุ่งจนไม่เป็นทรง

นี่คงวิ่งตาลีตาเหลือกมาตั้งแต่ออกจากห้องเรียนเลยมั้งเนี่ย

"พี่เบ็น! พี่เบ็นครับ!"

"ใจเย็นไอ้เสือ" ผมเอามือจุ๊ปากให้ไนน์เบาเสียงลง "ค่อย ๆ พูด"

ไนน์สูดหายใจเข้าเต็มปอดรับอากาศเข้าไปเต็มที่ก่อนจะพูดกึ่งตะโกนออกมา

"ผมติดแล้วพี่เบ็น! ผมผ่านเข้ารอบแรกแล้วครับ!"

"เฮ้ยจริงดิ! จริงเหรอวะ!" คราวนี้เป็นผมเองที่ร้องออกมาเสียงดัง

ผมลุกขึ้นไปกอดไนน์แล้วกระโดดโลดเต้นไปมาเหมือนคนบ้า ช่วงเวลานี้ความเกรงใจที่พึงมีต่อสถานที่ที่เรียกว่าหอสมุดนั้นหายไปหมดสิ้น พวกเราหัวเราะกันเสียงดังมากจนพี่เจ้าหน้าที่หอสมุดต้องออกประกาศแจ้งเตือนมารยาทการใช้หอสมุดขึ้น

เสียงประกาศเป็นได้แค่เพียงเสียงประกอบฉากที่แว่วอยู่ไกล ๆ เท่านั้น สู้เสียงหัวเราะและเสียงใจเต้นของเราสองคนไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ช่วงเย็นของวันนี้คงเป็นช่วงที่เวลาที่ไนน์มีความสุขที่สุดตั้งแต่เข้ามหา'ลัยมาเลยก็ว่าได้ การได้รู้ว่าตัวเองผ่านการคัดเลือกให้ไปแข่งขันระดับเดือนคณะทำเอาเจ้าหนูหัวหยอยของผมยิ้มไม่หุบตลอดทางกลับหอ

เมื่อได้เห็นไอ้หนูของผมยิ้มดีใจผมเองก็มีความสุขเช่นกัน อยากให้รอยยิ้มน้อย ๆ ของมันอยู่บนใบหน้าอันไร้เดียงสานั้นตลอดไปจัง...

แต่แล้วความสุขเหล่านั้นกลับหายไปทันทีที่ผมนึกถึงความจริงขึ้นมาได้ ความจริงที่ว่าไนน์อาจจะผ่านรอบแรกมาได้เพราะเขียนชื่อผมเป็นรุ่นพี่เดือนที่แนะนำมาสมัคร

มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะใบสมัครของไนน์ไม่ได้ดูโดดเด่นจนน่าจะสะดุดตากรรมการได้ขนาดนั้น รูปถ่ายที่ไนน์บรรจงเลือกมาใส่ประกอบการพิจารณาก็คงเทียบไม่ได้กับผู้ชายคนอื่นที่ลงสมัคร

ถ้าหากไนน์รู้เรื่องนี้ขึ้นมาผมจะทำยังไงดี ไนน์จะเสียใจไหมกับเรื่องที่ผ่านรอบแรกได้เพราะเส้นสายไม่ใช่เพราะความโดดเด่นของตัวเอง...

แต่ในเมื่อไนน์ได้รับโอกาสสำคัญขนาดนี้มาแล้ว มันไม่สำคัญอีกต่อไปว่าผ่านมาได้เพราะตัวเองหรือเพราะเส้นสาย สิ่งสำคัญคือบททดสอบด่านต่อไป และผมจะต้องส่งไนน์ขึ้นไปเป็นเดือนให้ได้

"อย่าเพิ่งรีบดีใจไป เย็นนี้มีการฝึกโหดรอเราอยู่นะ คุณว่าที่เดือน"

"เย็นนี้เลยเหรอครับ" เจ้าเด็กหัวหยอยทำหน้ากังวลใส่ผม

"แน่นอน ไปเปลี่ยนชุดเตรียมตัวรับชะตากรรมต่อจากนี้ได้เลย หึหึ" พูดจบผมก็หัวเราะชั่วร้ายเหมือนนักวิทย์ฯ สติเฟื่องที่กำลังจะพาเหยื่อไปทดลอง

              ไม่กี่ชั่วโมงผ่านไป ผมพาไนน์มายังสถานที่ฝึกโหดของเหล่าชายหนุ่มและสาวแกร่ง ภายในที่แห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่ออบอวลไปทั่วบริเวณ ร่างของชายกำยำกล้ามปูหลายคู่ทำการเซฟให้คู่ของตน ในขณะที่อีกคนออกแรงต้านเอาชนะแรงกดอันมหาศาลให้ได้

สาวเอวบางร่างน้อยหลายคนใส่หูฟังฟังเพลงพลางวิ่งอยู่กับที่บนลู่วิ่งไฟฟ้า เสียงเครื่องอุปกรณ์ดังฉึบฉับบ้าง ตึงตังบ้าง เคร้งเคร้งบ้าง ผสมผสานเข้ากับเสียงครางโอดโอยได้อย่าลงตัว เกิดเป็นบรรยากาศชวนตื่นตัวเตรียมพร้อมต่อการออกแรงเรียกเหงื่อ

"ฟิตเนส...เหรอครับ"

"ถ้าจะพูดให้ถูกต้องเรียกว่า ยิม ครับ"

ถ้าจะพูดให้ถูกตามคำนิยามของผม มันคือสนามเด็กเล่นสำหรับผู้ใหญ่

คนส่วนใหญ่อาจจะระบายความเหนื่อยล้าด้วยการไปพับบาร์ แต่สำหรับผมนี่คือสถานที่คลายเครียดที่ดีที่สุดสำหรับผม ผมมาที่นี่บ่อยจนรู้จักกับคนที่นี่หลายต่อหลายคน อาจจะนับได้ว่ามันเป็นสถานที่สิงสถิตรองจากหอสมุดเลยก็ว่าได้

"พี่เบ็น ผมเหนื่อยแล้ว"

"เดี๋ยวดิ นี่เพิ่งวอร์มเองนะ ยังไม่ได้เริ่มเลย"

"โห ผมจะตายก่อนอะดิ"

"เว่อร์" ผมยีหัวเด็กตัวผอมเล่น คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะชินกับการใช้กล้ามเนื้อหนัก ๆ

ผมตั้งใจจะสอนท่าเล่นเวทให้ครบทุกทุกท่าสำหรับกล้ามเนื้อทุกสัดส่วน เผื่อวันไหนผมไม่ว่างมาเล่นกับมันมันจะได้ฝึกเองได้

ผลปรากฎว่าผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงไนน์ก็ร้องงอแงจะกลับท่าเดียว ผมจึงคิดจะยกยอดท่าที่เหลือไปสอนวันถัดไปแล้วจบบทเรียนวันนี้ด้วยท่า bench press

"เอ้า พร้อมนะ ยก!" ผมประคองบาร์เบลไว้ข้างหลังเครื่อง ส่วนไนน์นอนแผ่หลังบนเบาะ มือสั่นเกร็งพยายามยกบาร์ขึ้น

"หนึ่ง...สอง...ส...สาม...ผมไม่ไหวแล้วพี่เบ็น"

"พยายามอีกหน่อย เอ้าฮึบ! ได้สิบทีแล้วเลิกเลย พี่สัญญา"

"พี่เบ็นเอาน้ำหนักออกอีกได้ไหมครับ ผมไม่ไหวจริง ๆ"

"ไม่ได้!"

"นะพี่เบ็น"

ผมถอนหายใจพลางส่ายหัว

"ไนน์ พี่เอาออกหมดแล้ว ที่เรายกอยู่นี่บาร์เปล่านะ"

"อ่าวเหรอ แฮะ ๆ"

"ไม่ต้องมายิ้มทะเล้นเลย เอ้า อีกเจ็ดที ฮึบ!"

ในที่สุดเด็กหนุ่มร่างผอมบางก็เอาชนะใจตัวเองแล้วต้านแรงบาร์เปล่าได้ครบสิบครั้ง

"เก่งมากไอ้น้องชาย" ผมยกนิ้วโป้งกดไลค์ให้ไนน์

แม้จะผ่านมานานแล้วแต่ผมยังจำความรู้สึกครั้งแรกได้ มันทรมานมากสำหรับมือใหม่ เพราะงั้นกำลังใจของคนรอบข้างจึงสำคัญในช่วงเริ่มต้น

"เอ้านี่ เอาไปกิน"

ไนน์รับกระป๋องน้ำที่มีลูกบอลดังกึกกักอยู่ข้างใน มันเปิดฝาออกมาดมแล้วก็ทำหน้าแหย ๆ ใส่

"ผมไม่ชอบช็อกโกแลตนะ"

"พี่แบ่งของพี่มาให้เลยนะเนี่ย หรืออยากจะซื้อเอง?"

"ก็ได้ครับ" พูดจบก็ก้มลงไปดมอีกครั้ง "นมช็อกโกแลตเหรอครับ"

"เวย์โปรตีน เป็นสูตรเพิ่มน้ำหนัก กินไปจะได้บึก ๆ"

ระหว่างรอไนน์ขึ้นไปเปลี่ยนชุดที่หอในผมแอบกลับไปหอเพื่อชงเวย์โปรตีนที่ผมเคยกินสมัยต้องเพิ่มน้ำหนักมาให้ไนน์ด้วย

การเวทเทรนนิ่งเพิ่มกล้ามเนื้อนั้นต้องอาศัยวินัยในการออกกำลังกายสม่ำเสมอควบคู่ไปกับการได้รับโภชนาการที่ดีจึงจะประสบความสำเร็จได้

อันที่จริงคนเราไม่จำเป็นต้องดื่มเวย์โปรตีนก็ได้ มันเป็นเพียงทางลัดของคนที่พอมีเงินซื้อ

ไนน์กระดกขึ้นมาดื่มได้สักที "แหวะ ไม่เห็นอร่อยเลย"

"กินไป นี่อร่อยแล้วนะ จะลองกินอกไก่ปั่นไหมล่ะ"

"แหวะ แค่ได้ยินชื่อก็จะอ้วกแล้ว"

"มีแต่เด็กน้อยเท่านั้นแหละที่กินไม่ได้น่ะ"

"ไนน์ไม่ใช่เด็กน้อยแล้วซะหน่อย"

"คร้าบ พ่อหนุ่มน้อย"

"นั่นเบ็นปะน่ะ" ไม่ทันไรก็มีเสียงที่สามแทรกการสนทนาของเราขึ้น สำเนียงแบบนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากหนุ่มไกรทองจากเมืองพิจิตร "ใช่จริงด้วย วันนี้มึงมาต่อยมวยงะ"

กุ้งสวมเสื้อออกกำลังกายแขนกุดสีแดงโชว์กล้ามแขนล่ำ ๆ ของมัน มันแบกเป้ไว้ข้างหลังตามความเคยชินมาด้วย

"กูพาคุณน้องเล็กมาฝึกเล่นเวท"

"ไหนวะ" กุ้งทำท่าชะเง้อมองหาไนน์ทั้ง ๆ ที่มันยืนอยู่ตรงหน้า ใช้เวลาหลายช่วงหายใจถึงจะสังเกตเจอ "เฮ้ย นี่ไนน์แงะ แถบจำไม่ได้ ตัดผมแล้วหล่อขึ้นเป็นกองเลยวุ้ย"

"ขอบคุณครับพี่กุ้ง พี่เบ็นพาไปทำผมมา" ผมเขินนิดหน่อยที่ไนน์ไม่ลืมผม

"พี่เบ็นสุดยอดไปเลยครับ" กุ้งพุ่งเข้ามาทำท่าจะกอดผมแต่ผมยันหัวมันออกไปได้ก่อน

"แน่อยู่แล้วเนอะ จะปั้นดินสกปรก ๆ ทั้งทีก็ต้องพยายามกันหน่อย"

บุคคลที่สี่ปรากฎตัวขึ้น ผมแยกเคี้ยวใส่ทันทีเหมือนกับหมาที่ขู่ใส่ผู้บุกรุกบ้านอันสงบสุข

ใบหน้าช่างเหยียดของมัน น้ำเสียงเย้ยหยันของมัน ไหนจะคำพูดที่มันด่าไนน์เป็นดินสกปรกอีก โคตรเกลียดคนที่ชื่อสนเลยไอ้สัตว์

"หมายความว่าไง ดินสกปรก" ผมเชิดหน้าถามไอ้สนไป แต่แล้วก็รู้สึกผิดทันทีที่ห้ามปากตัวเองไม่ทัน เพราะคำอธิบายของมันคงทำร้ายจิตใจไนน์ไม่น้อย

"ก็เห็นอยู่ว่าอะไรสกปรก" สนเบนสายตาไปหาไนน์ ไนน์หลุบตามองพื้นทันที หน้าเบ้เตรียมจะร้องไห้อยู่แล้ว

ผมไม่ได้เห็นไนน์ร้องไห้มาหลายวันแล้ว พอได้เห็นอีกทีก็ทำผมใจสลายไปเลย เพราะแม่ง เลยทำน้องกูน้ำตาร่วงอีกจนได้

"ว่าง ๆ ไปพบจิตแพทย์ เอ้ย จักษุแพทย์บ้างนะ ตาถั่วขนาดนี้" ผมคว้ามือของไนน์เดินออกไป ไม่อยู่รอให้มันด่าสวน "พวกกูไปก่อนนะกุ้ง"

"ยินดีด้วยนะที่ผ่านรอบแรก แล้วเจอกันรอบจริง" สนพูดไล่หลังพวกเรามา ส่วนผมตอบกลับมันไปด้วยนิ้วกลาง

เราออกมาเดินเล่นรับลมที่นอกยิมด้วยกันสักพัก ต่างคนต่างไม่พูดไม่จาเดินไปตามทางเดินอย่างไร้จุดหมาย

ตั้งแต่เมื่อกี้จนถึงตอนนี้ไนน์สะอื้นไม่หยุด แม้จะไม่ได้ร่ำไห้หนักอะไรแต่ก็ทำหัวใจผมปวดร้าวไปได้มากทีเดียว

"ไม่เอาน่า เราไม่ได้เป็นแบบที่มันพูดซะหน่อย"

"ผมเป็นแค่ดินสกปรกใช่ไหมพี่เบ็น..."

"เฮ้ย นี่ผ่านไปไม่กี่วันเอง มันต้องใช้เวลา คนนะไม่ใช่อุลตร้าแมนที่จะแปลงร่างได้ทันที"

ไนน์หัวเราะเบา ๆ ให้กับมุกที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะเล่น แล้วสักพักก็หยุดร้องได้

"สักวันนึง...สักวัน..." ไนน์หยุดเดินแล้วเอามือปาดน้ำตาออก

"หืม?"

"สักวันนึงผมจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น" เสียงสูดหายใจดังขึ้น "ว่าผมทำได้"

"นี่สิ น้องชายพี่" ผมประคองหัวน้อย ๆ ของไนน์มากอดไว้ในอ้อมแขนอาบแสงสีนวลจากดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้า

แสงของมันดูจะริบหรี่จนน่าใจหาย พอเหลือบมองขึ้นไปก็พบว่ามันปรากฎร่างเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งเท่านั้นเอง

ใช้เวลาอีกไม่นานมากหรอก เดี๋ยวก็ถึงวันเพ็ญแล้ว

จะว่าไปแล้วตอนที่ด่าไอ้สน ผมพูดถึงจักษุแพทย์ไป ผมเลยนึกออกว่าผมลืมซื้อของอย่างนึงให้ไนน์

สายตาของไนน์ดูจะสั้นมากจนต้องใส่แว่นตลอดเวลา การใส่แว่นก็ทำให้ดูดีไปอีกแบบก็จริง แต่ก็ต้องหัดใส่คอนแทคเลนส์ไว้ด้วย

ค่ำคืนนั้นผมแวะพาไนน์ไปซื้อคอนแทคเลนส์รายวันและน้ำตาเทียมพร้อมสอนขั้นตอนการใส่อย่างละเอียดและกำชับชัดเจนว่าไม่ให้ใส่ข้ามวัน ตอนจะนอนต้องถอดออกก่อน ห้ามใส่นอนเด็ดขาด

เมื่อไอ้เด็กแว่นรับปากว่าจะใส่อย่างระมัดระวังผมก็สบายใจ ผมพาไนน์กลับหอในแล้วพาตัวเองกลับหอ อาบน้ำ แล้วเข้านอนในทันที

สองสามวันที่ผ่านมาสูบพลังงานของผมไปมากพอสมควร แต่ถึงจะเหนื่อยยังไงกลับสุขใจทุกครั้งที่นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาเหล่านั้น เด็กน้อยของผมค่อย ๆ เติบโตขึ้นทุกวัน ๆ

แต่แล้วค่ำคืนอันเงียบสงัดก็ถูกขัดจังหวะขึ้นด้วยเสียงเรียกเข้าสายหนึ่ง

ผมงัวเงียตื่นขึ้นมารับสายโทรศัพท์ตอนประมาณเที่ยงคืนกว่า ใครกันนะโทรมาดึกดื่นป่านนี้

"พี่เบ็น! ช่วยด้วย! ช่วยผมด้วย!" เสียงในสายร้องเสียงหลงแสดงความตื่นตระหนกที่มี

"ไนน์ ไนน์ ว่าไง! เกิดอะไรขึ้น!" ความง่วงหายไปในทันทีกลายเป็นความตกใจระคนเป็นห่วง

น้ำเสียงสั่นเครือของไนน์นั่น... หรือว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ผมจินตนาการเตลิดไปต่าง ๆ นานา

"พี่เบ็น! ช่วยผมด้วย!"

ไนน์โดนรุมกระทืบเหรอ มีขโมยแอบย่องเข้าหอในเหรอ เพื่อนเมทไม่สบาย? ไนน์หกล้มหัวฟาดคางแตก?...

"ผมถอดคอนแทคเลนส์ไม่ได้"

...

ไอ้เราก็คิดไปไกล น้ำเสียงตื่นตระหนกขนาดนั้น เป็นห่วงมันแทบแย่ ให้ตายเถอะ

"แค่เนี้ย! ทำพี่ตกใจหมด"

"ผมกลัวอะ แสบตาด้วย ผมลองใส่แล้วเอาไม่ออก ตาผมแดงก่ำเลย พี่เบ็นมาช่วยเอาออกให้หน่อย!"

"...ตาจะบอดไหมน่ะ..."

สิ้นเสียงพูดของผมก็ตามด้วยเสียงร้องโหยหวนของไนน์ทันที

"ห๊ะ! ตาบอดเลยเหรอพี่เบ็น! ไม่เอา! ไม่เอา! ผมจะทำไงดี พี่เบ็นรีบมานะ นะ! ผมยังไม่อยากตาบอด มันอันตรายถึงขั้นตาบอดเลยเหรอพี่เบ็น ไม่เอานะ! พี่รีบมาช่วยผมที..."

"อ่า ๆ เดี๋ยวออกไปหาเดี๋ยวนี้แหละ"

เด็กน้อยก็ยังคงเป็นเด็กน้อยวันยันค่ำล่ะน้า