หลังจากกินข้าวกลางวันที่โรงอาหารเสร็จ พวกเราแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง ช่วงบ่ายของวันนี้ ผมและกุ้งไม่มีคาบเรียน เนตรต้องเข้าแลปกายวิภาคของพืช ส่วนไนน์โชคดีที่อาจารย์ติดธุระจึงไม่มีเรียนเหมือนผม
"ไนน์แน่ใจแล้วใช่ไหม"
ไนน์ดูลังเลเล็กน้อย แต่แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจ
"อื้ม"
ไนน์ยื่นใบสมัครทูตกิจกรรมให้ผมตรวจก่อนส่ง ผมใช้เวลาอ่านอยู่พอสมควร ลายมือของไนน์ที่ดูน่ารักน่าอ่านแบบตัวอักษรมน ๆ สมกับเด็กสาขาญี่ปุ่นนี้ไม่ใช่ปัญหาของผม ปัญหามันอยู่ที่เนื้อความข้างในที่หมอนี่เขียนลงไปต่างหาก
ผมตรวจทานสิ่งที่ไนน์เขียนลงไปอยู่หลายรอบ แม้บางจุดจะขัดใจผมไปบ้าง เช่น คุณคิดว่าส่วนใดของร่างกายที่คุณชอบมมากที่สุด ไอ้หนูนี่ตอบว่า ไม่มี หรือ คุณคิดว่าอะไรคือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของทูตกิจกรรม มันตอบ รูปร่างหน้าตา
ผมอ่านไปก็หนักใจไปกับความใสซื่อตรงไปตรงมาเกินเหตุของมัน แต่ผมต้องเคารพในความคิดของน้อง
ส่วนสำคัญที่สุดอยู่ที่ ไนน์ต้องเขียนชื่อผมในช่องรุ่นพี่ที่ชวนมาสมัครด้วย และไนน์เขียนไปแล้วเรียบร้อย
ในใบสมัครของทุกคนจะมีช่องให้ใส่ชื่อรุ่นพี่ที่เข้าแข่งขันทูตกิจกรรมปีก่อน ๆ ด้วย หากใครถูกทาบทามจากรุ่นพี่คนใดก็เขียนชื่อเขาหรือเธอลงช่องนี้ ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องเขียน ในวงเล็บระบุไว้ชัดเจนว่าไม่มีผลต่อการพิจารณาใด ๆ แต่ถ้าไม่มีผลจริง ๆ แล้วจะให้ใส่เพื่ออะไร
แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่ผมก็ยื่นมันกลับส่งไปให้ไนน์ เพื่อเอาไปหย่อนลงตะกร้าขนาดเอสี่ที่ใช้ใส่ใบสมัครทูตกิจกรรมซึ่งวางอยู่หน้าห้องกิจการนักเรียน เอกสารที่อยู่ภายในตะกร้ากองทับกันสูงจนเกือบจะล้นตะกร้าออกมาเลย
อาจเพราะตะกร้านั้นไม่ได้ลึกมากและใบสมัครก็มีถึงห้าหน้า ผมคำนวนดูจากความสูงของกองและช่องนูนของลวดเย็บกระดาษระหว่างแต่ละฉบับ คงมีคนมาสมัครประมาณ 30 คน ซึ่งถือว่าเยอะพอสมควร
ปกติแล้วคณะผมจะจัดแข่งประเภทละสี่คน โดยแบ่งเป็น ดาว เดือน และดาวเทียม รวมเป็นสิบสองคนถ้วน ปีนี้ก็คงเป็นแบบเดียวกัน
ย้อนกลับไปเมื่อวานตอนที่เรานั่งเล่นกันอยู่ที่หน้าหอใน ผมตัดสินใจชวนไนน์มาสมัครเดือนแต่ไนน์เองดูจะลังเลเล็กน้อย ปากเอาแต่บ่นว่าไนน์ไม่เหมาะ ไนน์เป็นไม่ได้หรอก แต่ก็เพ้อให้ผมฟังว่าถ้าเป็นได้ก็คงดีเนอะ ถ้าผมเปลี่ยนไนน์ให้เป็นเดือนได้จริงก็คงสุดยอดไปเลย
ผมจึงให้ไนน์กลับไปคิดทบทวนการตัดสินใจของตัวเองให้ดีก่อนแล้วเช้าวันนี้ค่อยมาบอกว่าอยากเป็นหรือไม่
คำตอบของไนน์เมื่อเช้าแฝงไปด้วยความไม่มั่นใจในการตัดสินใจของตัวเองนัก แต่ในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นที่มีต่อผม
ไนน์บอกผมว่า ตอนแรกเขาคิดว่าเขาเป็นไม่ได้หรอก แต่เขาเชื่อว่าถ้ามีผมอยู่ด้วยเขาอาจจะทำได้ก็ได้
...ก็หวังว่าผมจะไม่ทำให้น้องชายของผมผิดหวังหรอกนะ
ในเมื่อไนน์ตัดสินใจจะลงแข่งเดือน คราวนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องเปลี่ยนแปลงน้องไนน์อย่างจริงจังแล้ว
ผมร่างแผนการคร่าว ๆ โดยลิสต์รายการที่จะต้องฝึกและของที่ต้องซื้อให้ไนน์อยู่ทั้งคืน ถ้าเป็นเด็กหนุ่มทั่วไปก็คงแค่พาไปร้านเสื้อผ้า สอนแต่งตัวให้เป็น พาไปซื้อของดูแลตัวเองบ้าง แต่กับบุคคลที่ชื่อไนน์นี้ คงต้องสอนละเอียดยิบเหมือนเด็กอนุบาลเริ่มหัดท่องเอบีซี
บางครั้งผมก็คิดเล่น ๆ ว่า ไอ้หมอนี่มันผ่านช่วงวัยรุ่นมาได้ยังไงกันนะ
ผมนัดไนน์ไปเดินห้างด้วยกันในวันเสาร์ คงต้องใช้เวลาทั้งวันเพื่อพาเด็กน้อยไปแปลงโฉมให้เป็นหนุ่มตัวน้อย เผลอ ๆ อาจจะต้องพ่วงไปวันอาทิตย์อีกวันด้วยซ้ำ
แทนที่ผมจะรู้สึกเหนื่อยใจเพราะปกติไม่ค่อยออกไปเที่ยวไหนเท่าไหร่ ยิ่งต้องขับรถออกไปตากแดดร้อน ๆ ละก็ ผมจะต้องหงุดหงิดแน่นอน แต่ผมกลับตื่นเต้นที่จะได้พาไนน์ไปเปิดโลกกว้าง อารมณ์เหมือนพาน้องชาย ไม่สิ ลูกชาย ไปเที่ยวสวนสัตว์เลย
ถึงเวลานัดตอนเก้าโมงเช้า ผมบึ่งไอ้ชมพูไปหา ไนน์เดินออกมารอผมอยู่ที่หน้าหอในแล้ว เจ้าหนูนี่มารอก่อนเวลาเสมอ ทำเอาผมไม่กล้ามาสายเลยสักครั้งเพราะกลัวไนน์จะต้องรอนาน
การแต่งตัวของไนน์เป็นเหมือนทุก ๆ วัน คือบรมโคตรเชยและไม่เหมาะกับคนวัยมหา'ลัยอย่างยิ่ง
ไนน์ใส่เสื้อยืดคอกลมสีเขียวอ่อนปักลายกระรอกขนาดเท่าควายที่ด้านหน้า เสื้อแบบนี้ผมก็มีนะ แต่เอาไว้ใส่นอน ผมไม่กล้าเอามาใส่เดินออกมาให้ใครเห็นหรอก
ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงขาสั้นสามส่วนสีน้ำตาลแก่ ดูยังไงก็ไม่เข้ากับเสื้อเลยสักนิดเดียว เท้าคีบแตะแบบที่ผู้คนมักใส่กันปกติ หมายถึงปกติสำหรับคนจะเอาไปเข้าค่ายลูกเสือนะ ไม่ได้ปกติสำหรับใส่ไปห้างเลย
งานหนักแน่ ๆ วันนี้ ไอ้เบ็นเอ้ย
"ผมพร้อมแล้วครับพี่เบ็น" ไอ้หมอนี่ยิ้มแฉ่งทักทายตามปกติ
"เอาเสื้อคลุมไปด้วยดิ ซ้อนมอเตอร์ไซค์ตากแดดแรงขนาดนี้เดี๋ยวผิวจะเสียนะ"
"ผมไม่มีเสื้อคลุมเลย..."
"หืม?"
เจ้าหนูนี่ไม่มีเสื้อใส่คลุมกันแดดกันหนาวบ้างเลยหรือไงนะ หรือที่บ้านจะมีฐานะจำกัดจริง ๆ
จะว่าไป ผมลืมคิดถึงเรื่องงบค่าใช้จ่ายที่ไนน์ต้องใช้ไปซะสนิทเลย ถ้าขืนมีงบไม่มากพอก็คงทำอะไรมากไม่ได้แน่
"ผมมีแต่เสื้อกันหนาว" พระเจ้าช่วยกล้วยปิ้ง
"มันก็เหมือนกันไหมล่ะ!" ไนน์ทำหน้าอ๋อเหรอตอบผมมา
แต่ก่อนที่ไนน์จะได้หันกลับไปเอาเสื้อคลุมจากหอ ผมชิงถามคำถามสำคัญไปก่อนที่จะลืม "เรามีเงินให้พี่เท่าไหร่"
"...พี่คิดเงินค่าสอนด้วยเหรอครับ"
"ไอ้เด็กบ๊อง พี่หมายถึงเงินที่จะซื้อของวันนี้ไง มีเท่าไหร่"
"ห้าร้อยบาทครับ" อึก! เสียงกลืนน้ำเหนียวลงคอดังอยู่ในหูผม
ห้าร้อยบาทดูเหมือนจะเยอะก็จริงนะ แต่สำหรับของบำรุงและเสื้อผ้าต่าง ๆ แล้ว คงจะละลายหายไปได้ในพริบตาเดียว
"เรา..." การจะดูดีได้นั้นบางครั้งก็ต้องลงทุน และทุนที่จะต้องเสียไปก็มากซะด้วยสิ ดูทรงแล้วห้าร้อยบาทคงไม่พอแน่ ๆ "...มีแค่นี้เหรอ"
"ครับ ไม่พอเหรอ"
"ถ้าว่ากันตามตรงก็ใช่ ไม่พอหรอก แค่ห้าร้อยบาท ซื้อเสื้อดี ๆ สักตัวยังไม่ได้เลย"
"แต่...ผมมีเท่านี้จริง ๆ" ไนน์ทำหน้าเศร้าจนเกือบจะร้องไห้ได้เลย
สีหน้าตอนนี้เหมือนเด็กที่พ่อเพิ่งซื้อไอติมให้แล้วทำหล่นลงพื้นโดยที่ยังไม่ได้ลองเลียเลยสักครั้งเดียว รับรองว่าคนเป็นพ่อเห็นลูกทำหน้าหงอยแบบนี้คงต้องควักตังค์ซื้อแท่งใหม่ให้ลูกแน่นอน
...ให้ตายเถอะเบ็น อย่าคิดเชียวนะ
"งั้นเดี๋ยวพี่ออกให้ก่อน แล้วค่อยว่ากัน" ไม่ทันแล้ว ปากผมดันทำตามหัวใจมากกว่าสมอง
"ไม่เอาพี่เบ็น ไนน์ไม่อยากรบกวนพี่ เราซื้อแค่เท่าที่ซื้อได้ก็ได้ครับ เอาแบบถูก ๆ ก็ได้ครับ"
ครอบครัวของผมไม่ได้ขัดสนอะไร จะเรียกได้ว่าเป็นเศรษฐีเลยก็ว่าได้ แค่เงินสองสามพันไม่ได้ทำให้ผมลำบากอะไรมากนัก
โลกนี้ไม่เคยมีคำว่ายุติธรรม ก็แค่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ความพยายามอย่างเดียวคงไม่พอสินะ คงต้องอาศัยเงินด้วย
ผมรู้ตัวดีว่ามันดูไร้สาระที่จะออกเงินส่วนตัวให้รุ่นน้องคนหนึ่งขนาดนี้ แต่พอเห็นหน้าเศร้าปานจะร้องไห้ของไนน์แล้วผมก็อดนึกสงสารไม่ได้
ไม่ ไนน์ไม่ใช่แค่รุ่นน้องของผม ตอนนี้ไนน์คือน้องชายของผมแล้ว และผมก็สัญญาแล้วด้วยว่าจะดูแลให้ดีที่สุด
"ไว้ได้เป็นเดือนแล้วเอามาคืนพี่ก็ได้นะ" ผมพูดขำ ๆ ไป รางวัลชนะเลิศก็ได้เงินเยอะอยู่พอควร แต่ผมไม่ได้จะจดบัญชีชำระหนี้จริงจังหรอกนะ แค่อยากให้ไนน์มันสบายใจก็เท่านั้น
"นั่นเงินพี่นะ ไม่เอาหรอก ไนน์...ไนน์..." เจ้าเด็กขี้เกรงใจนี่พยายามปฏิเสธทุกวิถีทาง สักพักน้ำตาเอ่อล้นออกมา ทำผมใจหายหมด
"เฮ้ย ร้องไห้ทำไมเนี่ย" เจ้านั่นร้องไห้ไม่หยุดส่วนผมได้แต่ลูบหัวปลอบโยน
"...พี่เบ็น..." แหกปากร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก มีแต่เด็กร้องไห้งอแงเพราะอยากให้พ่อแม่ซื้อของเล่นให้ แต่เด็กนี่โวยวายไม่ให้ซื้อให้
"เป็นน้องชายพี่แล้ว จำไม่ได้เหรอ" ผมเอื้อมมือคว้าหัวของไนน์มาซุกไว้ใต้วงแขน "ไม่ต้องคิดมากหรอก คิดซะว่ามีพี่ชายพาไปเที่ยวห้างฯก็พอ โอเคไหมครับ"
กว่าจะเกลี้ยกล่อมได้ กว่าจะทำให้หยุดร้องไห้ และกว่าไนน์จะย้อนไปหยิบเสื้อคลุมอีกก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
พอเดินออกมา เสื้อกันหนาวที่ว่านั่นก็ดันไม่มีฮู๊ด ผมสงสารกลัวไนน์จะร้อนเลยให้ใส่เสื้อคลุมมีฮู๊ดของผมแทนแล้วสวมหมวกกันน็อคทับฮู๊ดที่คลุมหัวอยู่ไว้อีกที ผมทำแบบนี้ประจำเพื่อกันรังสียูวีที่จะมาทำร้ายผิวคอของผม
เราออกเดินทางกันด้วยมอเตอร์ไซค์ ไม่มีเครื่องปรับอากาศเหมือนรถยนต์ สายลมร้อนระอุพัดผ่านเข้ามาไม่ได้ช่วยให้รู้สึกเย็นขึ้นเลย
ไอน้ำตามถนนข้างหน้าหลอกตาทำให้ทางบิดเบี้ยวไป ไฟที่ร้อนแรงจากดวงอาทิตย์แผดเผาลงมาสู่โลก ประเทศไทยเราเข้าใกล้คำว่าทะเลทรายเข้าไปทุกวัน
อู้งานบ้างก็ได้นะโว้ยคุณดวงอาทิตย์ ผมบ่นในใจตลอดเวลาที่ต้องจอดรอไฟแดง