webnovel

ปั้นดินเป็นเดือน

จากดินสกปรกจะถูกปั้นให้เป็นเดือนได้จริงเหรอ? ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่? สุดท้ายแล้วคนเราก็ตัดสินกันแค่ที่หน้าตาใช่ไหม? เบญจมินทร์ หรือ เบ็น เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อสุดใจเลยว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ดูดีในแบบของตัวเอง และทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หากมีความพยายามมากพอ และด้วยความเชื่อที่ดูจะไปสะกิดต่อมความหมั่นไส้ของคู่อาฆาตนั้น ทำให้เขาถูกท้าแข่งในการประกวดทูตกิจกรรม ไม่ใช่ตัวพวกเขาเองที่จะลงแข่งหรอกนะ แต่พวกเขากำลังแข่งกันปั้นเด็กของตัวเองให้เป็นเดือนคณะให้ได้ต่างหาก ทว่า เด็กที่เบ็นต้องปั้นนั้นกลับเป็นรุ่นน้องปี 1 ที่แสนจืดจาง ใบหน้าห่างไกลจากคำว่าหล่อในยุคสมัยนี้ไปเลย แถมความมั่นใจยังอยู่ในระดับขั้นติดลบ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าเบ็นไม่ต้องแข่งก็ได้ เพราะรู้ผลตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ แต่เบ็นเชื่อในตัวน้องคนนี้ และเชื่อในกันและกัน เขาจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นดวงเดือนสีนวลบนฟ้าให้ได้! สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถพิสูจน์ให้โลกวัตถุนิยมใบนี้ยอมรับความพยายามของพวกเขาได้หรือไม่

NIMAJNEB · LGBT+
Classificações insuficientes
56 Chs

บทที่ 5.2

ผมแยกกับไนน์ตรงที่จอดรถเพราะผมมีเรียนตอนเช้า ส่วนไนน์มีเรียนเฉพาะช่วงบ่าย

ผมจะเอ่ยปากดุไป ว่าทำไมไม่บอกก่อนจะได้มารับตอนเที่ยงแทน แต่ก็ห้ามตัวเองไว้ได้ก่อน เพราะจำได้ว่าผมเองนี่แหละที่เป็นคนนัดเวลาโดยไม่ถามน้องเลย

ก่อนแยกจากกันผมถามไนน์เกี่ยวกับอาหารกลางวัน เพราะหากไม่มีเพื่อนกินข้าวด้วยจะได้ชวนมานั่งด้วยกัน ผลปรากฎว่าเจ้าหนูนั่นไม่เคยได้กินข้าวเที่ยงเลย แถมยังมีหน้ามาทำยิ้มแป้นบอก 'ปกติไนน์ก็ไม่ได้กินตอนเที่ยงอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอกครับ' อีก พร้อมทำท่าตีพุงโชว์ความแข็งแกร่งของกระเพาะอาหารให้ผมดู

ให้ตายเถอะ 'เพราะกินน้อยจนขาดสารอาหารเลยตัวเตี้ยแบบนี้ไง' ผมดุไนน์ไปแม้จะรู้ว่าส่วนสูงไม่ได้มาจากการกินมากหรือน้อยก็ตาม

แต่ทำอย่างนี้บ่อย ๆ จะติดเป็นนิสัยแล้วเสียสุขภาพเปล่า ๆ ผมจึงชวนแกมบังคับขู่เข็ญให้มาเจอกันที่โรงอาหารคณะตอนกลางวัน

เจ้าหนูนั่นปฏิเสธเสียงแข็ง แต่พอขู่ว่า 'พรุ่งนี้จะไม่มารับแล้วนะ' มันก็ยอมโอนอ่อนแต่โดยดี

ช่วงพักกลางวันมาถึง บรรยากาศภายในโรงอาหารดูแน่นขนัดด้วยผู้คนมากมาย ทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงบุคคลากรในคณะด้วย ผู้คนเดินเบียดเสียดกันแน่นเป็นปลากระป๋องไม่ต่างจากรถไฟฟ้าช่วงเวลาเลิกงานเลยสักนิด

กลิ่นของโรงอาหารที่นี่เหม็นแปลก ๆ แต่เพราะอยู่มานานร่วมปี ผมจึงชินกับกลิ่นแบบนี้ไปแล้ว

ภายในมวลอากาศตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอาหารนานาชนิด มันปนเปจนสับสนไปหมด กลิ่นกะปิเอย กลิ่นน้ำพริกเอย กลิ่นของทอดเอย บวกกับกลิ่นกายและกลิ่นน้ำหอมของผู้คนแล้ว...ถ้าเกิดมีใครเป็นลมไปกลางโรงอาหาร ผมจะไม่แปลกใจเลย

ที่นั่งหลายที่ถูกจับจองไว้หมดแล้ว เหลือเพียงบางจุดที่ยังพอให้แทรกตัวเข้าไปนั่งได้บ้าง ผมเดินมากับเพื่อนในสาขา แต่แล้วก็ขอแยกตัวออกมาเพื่อจะมานั่งกับไนน์สองคน

...ไม่ใช่เพราะผมอยากกินข้าวกับไนน์กันสองต่อสองหรอกนะ ก็แค่เป็นห่วงว่าไนน์มันจะประหม่าเวลาเจอคนแปลกหน้าก็เท่านั้นเอง

ผมชะเง้อมองหาเด็กหนุ่มตัวเล็กที่นัดเอาไว้ตอนเที่ยงตรง การจะควานหาปลาซิวตัวจ้อยท่ามกลางหมู่ฉลามใหญ่ยักษ์จำนวนมหาศาลที่กำลังแหวกว่ายไปมาอย่างหิวโหยอาหารเที่ยงนั้นเป็นสิ่งที่ยากเย็นเหลือเกิน

โชคดีที่ผมได้ยีนฝรั่งมา ตัวเลยสูงเด่นกว่าคนทั่วไป จึงทำให้ไม่เปลืองพลังงานในการเขย่งมากนัก อีกด้านหนึ่ง ฝ่ายที่จะมองหาผมก็จะหาง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะหัวของผมชี้โด่ชี้เด่เป็นจุดเด่นอยู่

ใช้เวลาสักพักกว่าจะมองหาหนุ่มแว่นตัวน้อยพบ

ไนน์มีสีหน้าเป็นกังวลชัดเจน คิ้วขมวดกันแน่น สายตากหลอกแหลกไปมาทำท่าจะหาผมให้พบ

เรายืนอยู่กันคนละฝากของโรงอาหาร ผมต้องชูมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณเพื่อให้ไนน์เห็น พอเห็นผม ไนน์ดูคลายกังวลลงไปได้บ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

คิ้วที่ขมวดอยู่ไม่มีทีท่าจะคลายออกได้ง่าย ๆ ผมเห็นไนน์ประหม่าเดินเซไปเซมาผ่านฝูงฉลามแล้วอดสงสารไม่ได้ ในที่สุด ผมก็เดินไปรับมันมานั่งด้วย

ที่นั่งของเราไม่สะอาดเท่าไหร่ โต๊ะที่สมประกอบและน่านั่งถูกจองไว้หมดแล้วด้วยกระเป๋าที่วางเรียงรายอยู่ ผมกับไนน์จึงจำใจต้องไปนั่งโต๊ะที่มีเศษขี้นกแห้งติดอยู่บนเก้าอี้

ผมใช้กระดาษทิชชู่เช็ดซากอารยธรรมสีเขียวเข้มออกแล้วอาสานั่งที่เก้าอี้ที่เปื้อนแทน

จากนั้นผมก็เดินมานั่งพร้อมข้าวมันไก่ต้มพิเศษคูณสอง บวกด้วยไข่ต้มอีกสามฟอง การเวทเทรนนิ่งนั้นจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่มากตามไปด้วยเพื่อให้กล้ามใหญ่ขึ้น การกินข้าวจานโตขนาดนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับผม ผิดกับไนน์ที่ทำตาโตร้องโอ้โหตอนเห็นจานข้าวผม

ส่วนไนน์ถือจานข้าวไข่เจียวแฟบ ๆ หนึ่งใบมาที่โต๊ะ กลิ่นไข่และซอสมะเขือเทศหอมฉุยก็จริง แต่มันดูจะน้อยเกินไป ยิ่งสำหรับผมแล้ว คงอิ่มจัดเหมือนกินลูกอมไปหนึ่งเม็ดเต็ม ๆ

เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นผมที่เปิดประเด็นพูดคุย แต่ไนน์กลับถามคำตอบคำไม่เหมือนที่คุยกันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ความมั่นใจของไนน์ดูลดต่ำลงเหมือนตอนแรกที่เจอกันตอนรับน้องไม่มีผิด

"ไนน์ เป็นไร ทำหน้าเหมือนเพิ่งโดนตัดไข่มาทอดเป็นไข่เจียวไปได้"

"..."

ผมเล่นมุกหวังจะให้ไนน์หัวเราะหรือยิ้มบ้าง แต่ฝ่ายตรงข้ามยังคงนั่งนิ่งไม่คลายสีหน้าของความกังวลลงเลย

"เป็นอะไรครับ" ผมทำเสียงอ่อนโยนลงเผื่อจะทำให้ไนน์รู้สึกดีขึ้นบ้าง "บอกพี่ได้นะ"

"ไนน์...ไนน์ทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่ในที่คนเยอะ" ผมพอจะเดาคำตอบได้ก่อนแล้วแต่อยากจะรู้ลึกไปกว่านี้ว่าเพราะอะไรหรือคิดอะไรอยู่ถึงได้ประหม่าไม่สมเป็นเด็กมหา'ลัยขนาดนี้

"แล้วทำไมถึงทำตัวไม่ถูกล่ะ"

"ไนน์...ไนน์ก็ไม่รู้เหมือนกัน"

ความเงียบเข้าครอบงำเราทั้งคู่ มีแต่เสียงโวกเวกโวยวายของผู้คนรอบกาย

ฝั่งไนน์ก็ไม่มีคำตอบให้ผม ฝั่งผมก็ไม่รู้จะพูดต่อยังไงเพราะคาดเดาเหตุผลไม่ถูก เมื่อเห็นว่าเงียบกันมาสักพักใหญ่แล้ว ผมจึงพูดเปลี่ยนประเด็นไปในเรื่องที่ใกล้เคียงกัน

"ไนน์มีเพื่อนบ้างรึยัง"

"ก็พี่เบ็นไง" ไนน์ตอบทันทีโดยไม่คิด สายตาแป๋วแหววส่งมาได้ไร้เดียงสาจริง ๆ

"หมายถึงคนอื่นนอกจากพี่น่ะ มีใครอีกไหม"

"...ไม่มีครับ" กะแล้วเชียว เด็กน้อยตอบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

"งั้นเดี๋ยวพี่จะสอนวิธีเข้าหาเพื่อนให้" ไนน์เงยหน้าขึ้นมองด้วยความสนใจทันที "เริ่มจาก... อะไรดี...เริ่มจาก ใช่ การแนะนำตัว"

"การแนะนำตัว?"

"ใช่แล้ว เอานะ พูดตามพี่นะ" เด็กหนุ่มเบื้องหน้าพยักหน้ารับ "หวัดดีครับ ผมชื่อเบ็น แล้วนายชื่ออะไรครับ"

เจ้าหนูดูจะพยายามจำคำพูดของผมให้ได้แล้วพูดออกมาเป็นท่อน ๆ "หวัดดี ครับ ผ...ผม ชื่อ ไนน์ แล้วนาย ชื่อ อะไรครับ" พูดไปผงกหัวหงึก ๆ ไป ดูน่ารักน่าขำดี

"เยี่ยมมาก!" ถึงจะฟังทั้งประโยคแล้วความหมายแปล่ง ๆ ก็เถอะ แต่ก็ใช้ได้อยู่ ผมยกนิ้วโป้งยื่นไปกดไลค์ให้ "เวลาเจอใครก็เข้าไปทักทายแล้วแนะนำตัวแบบที่พี่สอนนะ"

"ครับผม"

"แล้วก็จากนี้ไป เรียกแทนตัวเองว่า ผม ได้แล้วนะ"

"ทำไมเหรอครับ"

"เรียกชื่อแทนตัวเองมันก็น่ารักดีหรอก แต่มันแสดงถึงความไม่มั่นใจไง"

"ไนน์...ผมจะพยายามครับ"

ผมก้มดูเวลาที่โทรศัพท์ ตอนนี้เวลาเกือบเที่ยงครึ่งแล้ว ผู้คนเริ่มบางตาลงไปบ้างจนดูหายใจหายคอได้สะดวกยิ่งขึ้น ผมและไนน์ก็ต้องเตรียมตัวไปเรียนแล้วเช่นกัน

"เที่ยงครึ่งแล้วแฮะ ไปเรียนกันเถอะปะ เดี๋ยวจะสาย" ผมจัดจานชามเตรียมนำไปเก็บพร้อมสอดแขนสะพายกระเป๋าขึ้น

"พี่เบ็น..." ไนน์พูดแล้วหยุดไปพักหนึ่ง "...ไปส่งไนน์ที่ห้องเรียนได้ไหม ไนน์ไม่อยากเดินไปคนเดียว นะ นะ"

สีหน้าและน้ำเสียงของไนน์ดูอ้อนวอนผิดปกติ นี่คงเป็นครั้งแรกที่เจ้าหนูนี่อ้อนขออะไรจากผม สายตาส่องเป็นประกายออกมาว่า 'อย่าทิ้งผมไปนะ'

แม้ตึกเรียนของผมจะอยู่คนละฝากจากตึกเรียนของหมอนี่เลยก็ตาม แต่ผมก็ทิ้งเด็กตาดำ ๆ ให้เดินคนเดียวไม่ได้เช่นกัน

"อื้ม ได้ เดี๋ยวพี่ไปส่ง"

"ขอบคุณครับพี่เบ็น" ไนน์ฉีกยิ้มกว้างสดใสทันทีที่อ้อนผมสำเร็จ ใบหน้าอมทุกข์เมื่อครู่จางหายไปได้เกือบหมดในทันทีทันใด

หลังจากเก็บจานชามและภาชนะเสร็จ ผมก็พาไนน์ไปที่ตึกเรียน นี่ถ้าให้เดินจับมือด้วยนี่ชัดเลยนะ พ่อพาลูกชายมาส่งที่โรงเรียนชัด ๆ คิดแล้วก็อยากมีลูกชายน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้สักคน

จะว่าไปแล้ว ตอนผมยังเด็ก พ่อก็เคยจูงมือพาผมไปเที่ยวบ่อย ๆ เหมือนกัน...

ผมเดินสวนกับเนตรและกุ้งโดยบังเอิญ สองคนนั้นคงมากินข้าวด้วยกันแล้วกำลังจะเดินขึ้นไปเรียนที่ตึกคณะ ผมทักทายสองคนนั้นตามปกติ

แต่แล้วก็หันกลับมาทันทีเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้

ถ้าจะปล่อยไปทักทายด้วยตัวเองตั้งแต่ครั้งแรกอาจจะทำอะไรเปิ่น ๆ จนคนไม่กล้าเข้าใกล้ไปเลยก็ได้ เมื่อคิดได้จึงเรียกขอให้กุ้งกับเนตรหยุดก่อน ให้ทั้งคู่เป็นหนูทดลองคู่แรกแล้วกัน

"แนะนำตัวเหรอ เอ่อ จะว่าไปยังไม่รู้จักชื่อเราเลยนะ" กุ้งทักขึ้น ผมก็ลืมเล่าให้กุ้งฟังเลย

เนตรยิ้มขยิบตาให้ไนน์หวังจะให้เขาประหม่าน้อยลง "จัดมาค่ะที่รัก" แต่กลับทำไนน์กลัวจนวิ่งมาหลบข้างหลังผม

"จ...จะต่อยไหม" ไนน์กระซิบถามผมแต่ก็ดังพอที่เนตรจะได้ยิน

"เหรอ...จะต่อยให้น่วมเลยคอยดู" เนตรพูดยิ้ม ๆ แต่มือกำลังหักข้อนิ้วตัวเองเตรียมออกหมัดแล้ว

เนตรส่งสายตาอาฆาตใส่ไนน์จนกลัวหัวหด กุ้งไม่ได้ห้ามแฟนตัวเองเพราะรู้ว่าเนตรไม่ได้โกรธจริงจังแต่อย่างใด มันกลับหัวเราะร่าจนเนตรหันไปด่าด้วยซ้ำ

ผมหันไปมองไนน์ จ้องเข้าไปในดวงตาดำแป๋วนั้น ส่งกำลังใจให้ผ่านสายตาแล้วพยักหน้าเป็นเชิงรู้กันว่าให้เริ่มแนะนำตัวได้

ไนน์พยักหน้ารับ แล้วสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะพูดออกมาอย่างรวดเร็วเป็นท่อน ๆ เหมือนทหารท่องคำปฏิญาณยังไงยังงั้น

"หวัดดีครับ! ไนน์ชื่อไนน์! นายชื่อไร!" เกือบดีแล้ว แค่ต้องหันหน้าไปหาสองคนนั้น ไม่ใช่ให้มองผมแบบนี้

"หันไปทางโน้นต่างหากไอ้เด็กบ๊อง" ผมถอนหายใจแล้วหมุนหัวไนน์เบา ๆ ให้หันหน้าไปหาทั้งสองคนนั้น

"ว...หวัดดีครับ ไนน์ชื่อไนน์ แล้วนายชื่ออะไร"

ทั้งกุ้งและเนตรขมวดคิ้วทันที พร้อมพูดทวนสิ่งที่ไนน์พูดไป

"นายชื่อนาย...แล้วนายชื่ออะไร??" เมื่อยอมแพ้ กุ้งกับเนตรหันมามองผมเพื่อขอคำตอบ

ผมไม่ยอมง่าย ๆ หรอก ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกศิษย์ครูเบ็นทั้งคน ต้องทำให้ได้

ผมจับไหล่ไนน์แล้วบีบนวดเบา ๆ เหมือนไนน์กำลังจะออกศึกมวยครั้งสำคัญ

"หวัดดีครับ ไนน์…" ไนน์ชำเหลืองตามามองผม ผมทำปากเป็นคำว่า ผม ให้ไนน์ดู "ผ... ผม ชื่อไนน์ แล้วนายชื่ออะไร...ครับ" สำเร็จ แม้จะต้องเปลี่ยนเป็น พี่ชื่ออะไร แทน

"อ่า หวัดดี ชื่อไนน์ใช่ไหม ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ พี่ชื่อกุ้ง" กุ้งยิ้มและแนะนำตัวกลับโดยไม่ถือสาที่ถูกเรียกว่า นาย แทนคำว่า พี่

"หวัดดีจ๊ะ พี่ชื่อเนตรนะคะ เห็นแบบนี้พี่เป็นราพันเซล สาวสวยแสนหวานที่เรียบ..."

"ปะ เราไปเรียนกันเถอะ สายแล้ว" ผมพูดตัดบทแกล้งเนตรมันเล่น ปั้นหน้านิ่ง พร้อมคว้ามือไปหนีบหัวไนน์มาซุกใต้วงแขนแล้วทำท่าจะเดินออกไป

"เดี๋ยวก่อนซิยะ ฟังกูพูดให้จบก่อน มึงก็ด้วยไอ้กุ้ง" เนตรแยกเขี้ยวใส่ มันดึงหูลากผมกลับมาจนผมร้องโอดโอยทั้งที่หัวเราะร่าอยู่ กุ้งปล่อยเสียงก๊ากไม่ต่างจากผมจนโดนเนตรดุไปด้วย

"หิหิ" ในที่สุดไนน์ก็หัวเราะคิกคักออกมาเบา ๆ แต่ก็ทำเอาเราสามคนหยุดมองสักพัก

เป็นครั้งแรกที่ได้ยินไนน์หัวเราะ พอได้ยินได้เห็นก็ทำเอาผมยิ้มแก้มปริไปด้วยความเอ็นดู โลกดูสดใสขึ้นมากเมื่อเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ทำสายตาหม่นหมองเหมือนที่ปกติชอบทำ

แต่ไม่นานไนน์ก็หุบยิ้มลงไปแล้วพูดขอโทษพวกผมทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด

"หัวเราะออกมาเถอะ ไม่เห็นต้องกลั้นเอาไว้เลย"

"ครับพี่กุ้ง" ไนน์ฉีกยิ้มน่าเอ็นดูให้กุ้งที่กำลังลูบหัวไนน์อยู่

ระหว่างทางเดินไปส่งไนน์ที่ห้องเรียน ผมหยุดทักทายเพื่อน รุ่นพี่ และรุ่นน้องที่รู้จักหลายคน และเมื่อได้หยุดทักทายคนรู้จักก็ไม่วายฉวยโอกาสให้ไนน์ลองแนะนำตัวตัวเองด้วย

แรก ๆ ก็ยังแข็งทื่อดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่พอผ่านคนที่สองคนที่สามไปแล้วก็เริ่มมั่นใจขึ้น พูดไม่ค่อยติดขัดแล้ว และคนฟังก็เข้าใจได้ตั้งแต่ครั้งแรก

การฝึกแนะนำตัวผ่านไปได้ด้วยดี อีกอย่างตอนนี้ไนน์ดูภูมิใจและมั่นใจในตัวเองขึ้นมานิดนึง ผมสัมผัสได้ว่าไนน์ดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อครู่มาก มุมปากยกขึ้น อมยิ้มไว้ไม่หุบเลย

ขนาดดวงจันทร์ยังต้องใช้เวลาเกือบสามสิบวันเลย กว่าที่มันจะได้แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา นับประสาอะไรกับมนุษย์โลกอย่างเรา

"ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย เห็นไหม"

"อื้ม"