webnovel

ปั้นดินเป็นเดือน

จากดินสกปรกจะถูกปั้นให้เป็นเดือนได้จริงเหรอ? ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่? สุดท้ายแล้วคนเราก็ตัดสินกันแค่ที่หน้าตาใช่ไหม? เบญจมินทร์ หรือ เบ็น เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อสุดใจเลยว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ดูดีในแบบของตัวเอง และทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หากมีความพยายามมากพอ และด้วยความเชื่อที่ดูจะไปสะกิดต่อมความหมั่นไส้ของคู่อาฆาตนั้น ทำให้เขาถูกท้าแข่งในการประกวดทูตกิจกรรม ไม่ใช่ตัวพวกเขาเองที่จะลงแข่งหรอกนะ แต่พวกเขากำลังแข่งกันปั้นเด็กของตัวเองให้เป็นเดือนคณะให้ได้ต่างหาก ทว่า เด็กที่เบ็นต้องปั้นนั้นกลับเป็นรุ่นน้องปี 1 ที่แสนจืดจาง ใบหน้าห่างไกลจากคำว่าหล่อในยุคสมัยนี้ไปเลย แถมความมั่นใจยังอยู่ในระดับขั้นติดลบ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าเบ็นไม่ต้องแข่งก็ได้ เพราะรู้ผลตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ แต่เบ็นเชื่อในตัวน้องคนนี้ และเชื่อในกันและกัน เขาจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นดวงเดือนสีนวลบนฟ้าให้ได้! สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถพิสูจน์ให้โลกวัตถุนิยมใบนี้ยอมรับความพยายามของพวกเขาได้หรือไม่

NIMAJNEB · LGBT+
Classificações insuficientes
56 Chs

บทที่ 2.2

"เอาละค่ะน้อง ๆ ขา พี่ ๆ เต้นกันมาก็เยอะแล้ว พี่อยากเห็นน้องเต้นบ้างอ่า จริงไหมคะ"

พิธีกรสาวสวยในร่างผู้ชายบึกบึนพาเข้าเรื่อง พร้อมถามเพื่อเรียกเสียงเชียร์จากพี่ ๆ รอบข้าง พี่ทุกคนตะโกนตอบ 'อยากค่า' บ้างละ 'อยากดูค้าบ' บ้าง 'จริงค่า' บ้าง บางคนไม่ได้ตอบด้วยคำพูดแต่ตอบด้วยเสียงกรี๊ดแหลมแทน

"อยากเห็นจังเลย เอาเพลงอะไรดีคะ" พิธีกรหญิงที่คู่กันถามน้องๆ

สิ้นเสียงพิธีกร น้อง ๆ หันหน้าเข้าหากันและส่งเสียงพึมพำระงมไปทั่วห้อง บางส่วนก้มหลบหน้าตัวเองไม่ให้สบตาพี่เพราะกลัวจะถูกยื่นไมค์ถาม

เสียงพึมพำดังอยู่สักระยะ แต่ไม่มีเสียงตอบจากน้องเลย แน่นอนว่าต้องไม่มีใครตอบ พวกผมรู้กันอยู่แล้วจากประสบการณ์ตอนเป็นน้อง ใครจะไปกล้าตอบวะ

ดังนั้นพวกผมที่เตรียมเพลงไว้แล้วแต่ถามน้องกันไว้ก่อนเผื่อน้องอยากเลือกเพลงจึงเสนอชื่อเพลงนั้นขึ้น

"ตาแดงค่า" เพื่อนนันฯ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตะโกนบอกพิธีกร

"ตาแดงหรอคะ ได้ค่า เพลงนี้เต้นง๊ายง่ายมากเลยนะ พวกพี่เต้นไปหลายรอบแล้ว น้อง ๆ คงเต้นเป็นแล้วเนอะ" พิธีกรร่างใหญ่ตอบรับข้อเสนอทันทีจนดูออกชัดเจนว่าเตรียมกันมาแล้ว

"ถ้างั้นอย่ารอช้าเลยดีกว่าค่ะพี่บอล" พิธีกรหญิงโต้ตอบรับการสนทนากับคู่ของตน "เดี๋ยวพี่จะให้พี่นันฯ เลือกน้องมาเต้นทั้งหมดสิบคนนะคะ"

กล่าวจบ พวกพี่นันฯ รอบข้างทำท่าทางเล็งน้องไว้ บางคนทำมือสองข้างเป็นกล้องส่องทางไกลแนบกับตาแล้วทำทีท่าว่ากำลังส่องหาตัวแรงอยู่ บางคนฉีกยิ้มกว้างพร้อมกวาดสายตาไปมาราวกับเรดาร์ตรวจจับคลื่น

บรรยากาศแลดูไม่ต่างกับกำลังถูกครูสุ่มเรียกชื่อมาแก้โจทย์คณิตฯ หน้าชั้นนัก น้องส่วนมากหลบหน้าหลบตา มีน้อยคนนักที่จะอยากออกไปเต้นบ้า ๆ บอ ๆ ต่อหน้าคนกว่าสามร้อยคน

"ถ้าพี่ ๆ เล็งเสร็จแล้ว ขอให้ไปเชิญน้องมาเลยค่า"

สิ้นเสียงของพิธีกร พี่นันฯ รอบข้างต่างกรูเข้าไปหาน้อง แกล้งทำเป็นจะจับน้องคนนั้นคนนี้ออกมาเต้น แต่พวกเรารู้กันว่าจะให้พี่คนไหนพาน้องคนไหนออกมา น้องทั้งสิบคนที่ว่าล้วนแต่เป็นชื่อของน้อง ๆ ที่แลดูจะกล้าแสดงออกกันทั้งนั้น ไม่ต้องกังวลเรื่องน้องไม่พอใจ

ทุกอย่างถูกเตรียมมาก่อนแล้วเพื่อความรวดเร็วและไม่วุ่นวาย เพราะนี่ไม่ใช่กิจกรรมส่งเสริมความกล้าแสดงออกจริงจังใด ๆ เป็นเพียงช่วงถ่วงเวลาก่อนลีดจะเข้าโชว์ อีกอย่างขืนเล่นเลยเวลากว่าที่ประชุมกันไว้ มีหวังคงเกิดปัญหาตามมาอีก

ผมที่ไม่ได้รับมอบหมายให้พาตัวน้องคนไหนออกมาเลยจึงได้แต่ทำท่าทางหลอกน้องว่าจะนำคนนั้นคนนี้ออกมา น้องที่อยู่เบื้องหน้าต่างหลบตาผมทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยิ้มให้กันเสมอ

ผมสังเกตไปรอบ ๆ เห็นเพื่อนส่วนมากเชิญน้องออกมาได้แล้ว

...แต่เดี๋ยว...ทำไมเป็นน้องคนนั้นล่ะ

ผมเห็น สน พี่ดูแลประจำกลุ่มของไอ้หนูนั่นสะกิดเพื่อนนันฯ ที่กำลังจะเชิญน้องคนนึงออกมา มันกระซิบบางอย่างกัน และแล้วพี่นันฯ คนนั้นก็บ้าจี้เปลี่ยนเป้าหมายเป็นน้องหน้านิ่งแทน

ไอ้สนแสยะยิ้มออกมา มันคงคึกคะนองใจที่จะได้เห็นไอ้นิ่งที่มันหมั่นไส้นักหนาเสียหน้าจากการเต้น ทุเรศฉิบหาย

ผมจะเข้าไปห้าม แต่ไม่ทัน น้องลุกขึ้นมาแล้ว

น้องลุกเดินตามพี่ที่เชิญตัวออกมาอย่างเชื่องช้า เขาไม่ขัดขืนหรือบอกปัดเลยสักคำ สายตาของน้องหลบลงข้างล่างส่งผลให้หน้าก้มลงมองพื้นไปด้วย ส่วนเพื่อนร่วมรุ่นมองตามด้วยความสนใจใคร่รู้

สายตาของเขาชำเลืองมองซ้ายขวาไปยังคนรอบข้างแล้วชำเลืองกลับไปที่พื้น เป็นอย่างนี้ตลอดช่วงที่เดินจนถึงหน้าห้องโถง

ทั้งที่ตกลงกันแล้วว่าจะเชิญน้องคนไหนออกมาบ้าง ซึ่งชื่อไอ้หนูนั่นไม่ได้อยู่ในรายการเลย ประชุมปิดงานของวันนี้ต้องจัดหนักกันหน่อยแล้ว

พิธีกรทั้งสองที่เห็นน้องหน้านิ่งคนนั้นออกมาก็แสดงอาการตกใจเช่นเดียวกับผม พิธีกรร่างใหญ่ลังเลอย่างเห็นได้ชัดที่จะให้น้องเดินไปอยู่ข้างหน้าเพื่อน แต่จะให้น้องเดินกลับไปก็คงไม่ได้แล้ว

ในเมื่อไม่มีทางเลือกพวกเขาก็ต้องดำเนินช่วงต่อไป อีกอย่างเวลากระชั้นชิดเข้ามาทุกที ๆ

"เอาละค่ะ ในเมื่อครบสิบคนแล้วนั้น..." พิธีกรสาวกล่าวพร้อมโหนเสียงยาวท้ายประโยคเป็นเชิงเรียกเสียงเชียร์

"นั้น!!..." เสียงสะท้อนจากเพื่อนนันฯรอบข้างตะโกนตอบรับพิธีกรสาว

"ตาแดง สาม สี่"

สิ้นเสียงของพิธีทั้งคู่ กลองเริ่มบรรเลงสนั่นไปทั่วห้องโถงเป็นจังหวะให้กับการร้องเพลงและการเต้น หน้าต่างสั่นไหวส่งเสียงหึ่ง ๆ เสียงกรี๊ดกรีดแทงเข้าไปในแก้วหูของทุกคน

ทุกอย่างครึกครึ้นไปหมด ทั้งพี่นันฯ คนตีกลอง น้องในแถว น้องที่เต้นอยู่ข้างหน้า ทุกคนมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่มากน้อยบ้างแล้วแต่คนไป

ทุกคน...ยกเว้นเจ้านั่น

ท่าทางประดักประเดิดของเขาทำเอาผมฝืนยิ้มต่อไปไม่ได้ เขายืนค้างอยู่กับที่ไม่ได้เต้นท่าทางตามใด ๆ ทั้งสิ้น ทว่าร่างกายของเขาสั่นแรงจนผมสังเกตได้ ถึงจะมองมาจากที่ไกลก็เห็นได้ชัดเจนว่าทั้งขาและแขนผอมบางนั้นกระตุกเกร็งไปหมด สายตาเอาแต่จ้องค้างไปที่พื้นห้อง

ในที่สุด น้ำใส ๆ ก็เล็ดออกมาจากดวงตาของเขา

น้องร้องไห้แล้ว!

ไม่ใช่แค่ผมที่สังเกตเห็น เกือบทุกคนเห็นแล้วแต่ก็ยังคงดำเนินกิจกรรมต่อไป

ใบหน้านั้นสะกิดต่อมปมด้อยวัยเด็กของผม สวิตช์เครื่องฉายแสดงภาพอดีตถูกเปิดขึ้น ภาพที่ผมถูกเพื่อนทั้งห้องล้อเลียน คนหนึ่งขยำกระดาษเป็นก้อนแล้วขว้างปาใส่ผม ไม่นานทั้งห้องก็ทำตาม เกิดเป็นลูกเห็บกระดาษในที่สุด

เมื่อโดนถูกผิว มันไม่ทำให้รู้สึกเจ็บเลยสักนิด แต่มันสร้างรอยกรีดลึกเข้าไปถึงจิตใจอันบอบช้ำได้แสบมาก การเมินเฉยของครูประจำชั้นยิ่งทำบาดแผลนั้นเน่าเฟะเข้าไปอีก 'เธอจะมาฟ้องครูทำไม เรื่องแค่นี้ก็จัดการเองสิจ๊ะ'

ตอนนั้นไม่มีใครช่วยผมได้เลย เหมือนตกนรกทั้งเป็นทุกครั้งที่ต้องกลับไปเรียนในวันรุ่งขึ้น ผมจำความรู้สึกตอนนั้นได้ มันเลวร้ายและอ้างว้างเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ

'เพราะงั้นโลกเราถึงต้องมีฮีโร่ไง' ประโยคนี้ดังวนไปมาอยู่ในหัวของผม

ผมไม่อยากเห็นใครต้องโดนแกล้งอีก ไม่อยากให้ใครมารู้สึกและกลายเป็นแบบผม ไม่เอาอีกแล้ว ถึงตอนนั้นจะไม่มีใครช่วยผมได้ แต่เด็กคนนี้ต้องมีคนช่วย และคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผมเอง

ผมรีบวิ่งอ้อมไปหาเขา โอบไหล่ที่สั่นเทาของน้องเอาไว้แล้วพาออกมาจากนรกบนดินตรงนั้นเงียบ ๆ ไม่ให้เป็นที่สังเกตมากนัก

เมื่อพาออกมาจากห้องโถงได้ ผมตั้งใจจะพาน้องไปยังห้องน้ำซึ่งเป็นที่ที่สงบที่สุด หวังที่จะให้น้องอยู่ในที่เงียบ ๆ สักพัก

พวกเราเดินตัดผ่านเหล่าเชียร์ลีดเดอร์ที่กำลังจัดแถวรอเตรียมพร้อมกับการแสดงอยู่ หลายคนหันมองตามด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น สองสามคนส่งสายตามองจิกผมที่พาน้องออกมาเข้าห้องน้ำตอนนี้ ตอนที่กำลังจะเริ่มการแสดงของพวกเขา

ผมสบตากับ กุ้ง โดยบังเอิญระหว่างที่มันกำลังจัดการกับเนคไทของตัวเองอยู่ มันเงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้วพร้อมกับอ้าปากขณะมองตาม จากนั้นจึงเลิกคิ้วสูง ย่นจมูก แล้วยื่นหน้ามาเพื่อส่งสายตาสื่อเป็นนัยว่า 'เกิดอะไรขึ้น'

ผมพยักหน้าตอบรับเป็นการบอกว่า 'ไม่มีอะไรหรอก มึงเตรียมตัวของมึงไป' แล้วผมกับน้องก็เดินตรงไปยังห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด

ผมกับกุ้งสนิทกันมากเหมือนพี่ชายน้องชาย ไม่ต้องพูดออกมา แค่อ่านสายตาก็เข้าใจกันแล้ว

เมื่อถึงห้องน้ำ เสียงสะอื้นและเสียงสูดน้ำมูกนั้นเบาลงไปบ้าง แต่ไหล่บางที่ผมโอบอยู่นั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสั่นแต่อย่างใด

น้องค่อย ๆ ผละตัวเองออกมาจากอ้อมแขนของผมอย่างอ่อนล้าแล้วถอดแว่นตัวเองออก เขากำมือทั้งสองข้างขึ้นมาขยี้ตาที่แดงก่ำไปมา

"น้อง...โอเคไหม" ผมถาม เนื่องจากไม่รู้ชื่อของน้อง ผมจึงไม่รู้ว่าควรเรียกน้องเขาว่าอะไรดี

ขณะที่ถามก็ชำเลืองสายตาไปมองที่ป้ายชื่อ แต่ก็ต้องเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ เพราะที่ป้ายชื่อไม่ได้ถูกเขียนข้อความใด ๆ ไว้เลย

เมื่อผมละสายตาจากป้ายมามองน้อง เขาจ้องกลับ ดวงตาสีเข้มยังคงเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา เขาพยักหน้าเบา ๆ เพื่อตอบคำถามเมื่อครู่

"ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็ได้กลับแล้ว ถ้ายังไม่โอเคก็อยู่ตรงนี้กันก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อน" ผมพูดยิ้ม ๆ พยายามให้น้องเขารู้สึกสบายใจที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผมเกือบจะยื่นมือไปลูกหัวสีดำขลับของน้องเขาตามนิสัยที่เคยชิน แต่ก็รู้สึกตัวได้ก่อน ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกดีเวลามีใครมาเล่นหรือลูบหัวตัวเอง เรายังไม่รู้จักกันเท่าไหร่ผมจึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าน้องเขาต้องการหรือไม่

"...เข้าไป" เด็กน้อยพูดกับผม แต่น้ำเสียงเบาและเนิบมากจนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นการพึมพำกับตัวเอง

"หืม?"

"...จะเข้าไป...ครับ"

"เข้าไป... เข้าไปในห้องหรอ ได้สิ เราดีขึ้นแล้วใช่ไหม"

"อื้อ" เขาครางรับพร้อมพยักหน้าน้อย ๆ ทั้งที่สีหน้ายังไม่สู้ดีนัก