webnovel

ปั้นดินเป็นเดือน

จากดินสกปรกจะถูกปั้นให้เป็นเดือนได้จริงเหรอ? ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่? สุดท้ายแล้วคนเราก็ตัดสินกันแค่ที่หน้าตาใช่ไหม? เบญจมินทร์ หรือ เบ็น เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อสุดใจเลยว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ดูดีในแบบของตัวเอง และทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หากมีความพยายามมากพอ และด้วยความเชื่อที่ดูจะไปสะกิดต่อมความหมั่นไส้ของคู่อาฆาตนั้น ทำให้เขาถูกท้าแข่งในการประกวดทูตกิจกรรม ไม่ใช่ตัวพวกเขาเองที่จะลงแข่งหรอกนะ แต่พวกเขากำลังแข่งกันปั้นเด็กของตัวเองให้เป็นเดือนคณะให้ได้ต่างหาก ทว่า เด็กที่เบ็นต้องปั้นนั้นกลับเป็นรุ่นน้องปี 1 ที่แสนจืดจาง ใบหน้าห่างไกลจากคำว่าหล่อในยุคสมัยนี้ไปเลย แถมความมั่นใจยังอยู่ในระดับขั้นติดลบ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าเบ็นไม่ต้องแข่งก็ได้ เพราะรู้ผลตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ แต่เบ็นเชื่อในตัวน้องคนนี้ และเชื่อในกันและกัน เขาจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นดวงเดือนสีนวลบนฟ้าให้ได้! สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถพิสูจน์ให้โลกวัตถุนิยมใบนี้ยอมรับความพยายามของพวกเขาได้หรือไม่

NIMAJNEB · LGBT+
Classificações insuficientes
56 Chs

บทที่ 13.2

ใช้เวลาบินข้ามจังหวัดไม่ถึงชั่วโมงแต่ใช้เวลาเดินทางภายในกรุงเทพฯเกือบสองชั่วโมงครึ่ง

ไนน์ที่มาเที่ยวเมืองหลวงครั้งแรกดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษกับตึกสูงระฟ้าระหว่างทางที่นั่งรถ ส่วนผมหลับไปหลายรอบ ตื่นแล้วตื่นอีกก็ยังไม่ถึงสักที กว่าจะถึงหน้าบ้านได้ก็ตอนดวงอาทิตย์บอกลาฟากฟ้าไปแล้ว

"มาแล้วเหรอเบ็นคามิ้นของพ่อ" เสียงพ่อผมดังออกมาจากข้างในทันทีที่ผมพยายามเปิดรั้วหน้าบ้าน ไม่ใช่ว่านั่งรอผมอยู่หรอกใช่ไหม

พ่อผมเป็นคนชาวสวีเดน หน้าบ่งบอกได้เลยว่าไม่ใช่คนไทยแน่ ๆ แต่ก็พูดภาษาไทยได้ชัดเจน

"นี่เพื่อนลูกเหรอ"

"ครับ เอ่อ ผมเป็น...รุ่นน้องครับ"

คุณพ่อผมยิ้มน้อย ๆ ให้ไนน์ แล้วจึงหันมาทำท่าจะกอดผมที่เป็นลูกชายแท้ ๆ

"Hola hijo มาให้ papito กอดหน่อยเร็ว"

"Hola, pop." ผมผงะออกไปข้างหลังเล็กน้อยเพราะไม่ได้กอดพ่อมานานแล้วตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ผมอายกับท่าทางของตัวเองเลยรีบหันไปพูดกับไนน์แล้วเตรียมเข้าบ้านไปทันที "ปะ เข้าไปข้างในกัน"

ไนน์หันไปหันมาระหว่างผมกับคุณพ่อ ดูจะทำตัวไม่ถูก ผมเห็นไนน์ชักช้าจึงเดินเข้าไปข้างในก่อนไม่รอให้ไนน์ตัดสินใจเสร็จ

ปรากฏว่าไนน์ตัดสินใจไม่ตามผมมาแล้วยืนคุยกับพ่อที่หน้าบ้าน คุยอะไรกันก็ไม่รู้ หัวเราะแล้วกอดกันใหญ่เหมือนไนน์เป็นลูกชายตัวเองไปแล้ว

ห้องของผมยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง ที่ห้องถูกทำความสะอาดมาอย่างดีจนสังเกตได้ แต่ก็ไม่วายมีเศษฝุ่นและหยากไย่เกาะอยู่ตามหลืบมุมต่าง ๆ มันฟ้องชัดเจนว่าเจ้าของห้องไม่ได้กลับมาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว

ผมไม่ได้กลับบ้านมาเกือบจะครบหนึ่งปีแล้ว ถ้าพ่อไม่โทรมาขอให้กลับก็คงไม่มีแววจะกลับมานอนที่นี่ในตอนนี้หรอกนะ

ก็อก ๆ เสียงคนเคาะประตูจากด้านนอกทำผมสะดุ้ง

"ครับ?"

"พี่เบ็น ผมเอง เข้าไปนะครับ"

"เข้ามาเลย"

              สิ้นเสียง ไนน์ก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าเล็ก ๆ สองใบ ไนน์อ้าปากค้างกับขนาดของห้องที่ผมเคยอยู่ มันไม่ได้ใหญ่โตมากมายขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้เล็กเท่ากับหอพักของผม

หนังสือหลากหลายภาษาตั้งเรียงรายอยู่ตามชั้นหนังสือเป็นตับ ๆ กว่าสิบตู้ บนผนังมีภาพโปสเตอร์ซุปเปอร์ฮีโร่หลายตัวทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและวายร้ายปะปนไปทั่ว

หนึ่งในนั้นมีภาพที่ผมเคยวาดตอนเด็ก ๆ อยู่ด้วย มันเป็นฮีโร่ที่ผมออกแบบไว้ซึ่งได้แรงบรรดาลใจมาจากร่างโคลนของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ไอ้แมงมุมที่ผมเคยคลั่งไคล้

นามของเขาก็คือ The BOYD เด็กหนุ่มผมทองรูปงามในเสื้อแขนกุดสีเหลืองอ่อนที่มาพร้อมกับฮู๊ดสุดเท่ห์ ตรงกลางอกปักตัวอักษร B ไว้ด้วย ส่วนใบหน้าถูกปกคลุมด้วยผ้าปิดปากสีดำสนิท

เขามีพลังพิเศษที่สามารถรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นได้ผ่านการสัมผัสจากมือทั้งสองข้าง และหมัดของเขาก็มีพลังทำลายล้างมหาศาลเพื่อผดุงความยุติธรรมและมอบความรักให้แก่ทุกคน

...ว่าไปนั่น

"โห ห้องพี่สุดแจ่ม พี่ชอบซุปเปอร์ฮีโร่เหรอ ที่หอไม่เห็นมีสักรูปเลย"

"อื้ม เคยชอบ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว"

"ทำไมล่ะครับ"

"ก็มันปัญญาอ่อนไง ฮีโร่ผดุงความยุติธรรมเหรอ...ไร้สาระ"

ภาพเหล่านี้เป็นซากอารยธรรมจากตอนเด็ก ถึงผมอยากจะฉีกพวกมันทิ้งไปซะ แต่ผมก็ใจไม่แข็งพออยู่ดี ได้แต่ทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้วเลือกโปสเตอร์ที่ไม่ได้เกี่ยวกับฮีโร่ไปไว้ที่หอแทน

จะว่าไปพ่อกับแม่ก็เคยเป็นฮีโร่สองคนแรกที่ผมชอบ แม่ดูแลโลกด้วยความอ่อนโยน ส่วนพ่อปกป้องโลกด้วยจิตใจแห่งความเมตตา

เป็นแบบนี้จนกระทั่งแม่ผมตายจากโรคมะเร็ง ผมพยายามทำตามที่เคยสัญญากับแม่ไว้ ที่ว่าจะต้องช่วยเหลือคนที่อ่อนแอกว่า นี่คือหน้าที่ของฮีโร่ที่เราทำได้

...แต่ตอนที่ฮีโร่มีปัญหาไม่เห็นมีหมาตัวไหนมาช่วยสักตัว

ส่วนพ่อก็เสียใจมากและขังตัวเองอยู่ในบ้าน ส่วนผมก็ต้องเผชิญหน้ากับความเศร้าด้วยตัวเอง ตอนนั้นผมเกลียดพ่อมาก มากยิ่งกว่าบุคคลใดในโลก

พ่อในตอนนั้นไม่ได้เป็นคนที่ผมอยากเรียกว่าพ่อเลยด้วยซ้ำ พอหายเศร้าได้ก็หนีไปหาผู้หญิงใหม่ คบแล้วเลิก คบแล้วเลิกอยู่อย่างนั้น ทั้งที่ปากบอกว่ารักแม่นักหนา แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้ตัณหานำพาลึงค์เน่า ๆ ของตัวเองไปหาผู้หญิงใหม่

ผมถูกเพื่อนในโรงเรียนกลั่นแกล้ง พ่อผมไม่เคยออกมาปกป้อง ไม่เคยหาเวลามาคุยกับผม ไม่เคยกอดผม ไม่เคยแม้แต่จะพูดให้กำลังใจ ทั้งที่ตอนนั้นผมเหลือพ่อเพียงคนเดียวในชีวิตที่ผมพอจะพึ่งได้ แต่เขาไม่เคยหันกลับมามองผมเลย

จนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว...

ผมคิดจะฆ่าตัวตาย

ผมคิดแล้วคิดอีกอยู่หลายเดือน แต่เมื่อชีวิตมันต่ำตมจนสุดจะทน ผมคว้ากระปุกยาเม็ดสีขาวกระดกลงคอเพื่อดับกระหายความอยากตาย

แน่นอนว่ามันไม่สำเร็จหรอก ไม่งั้นเรื่องราวทั้งหมดนี้คงเป็นแค่ภาพมโนก่อนตายของผม

ความรู้สึกในตอนนั้นยังจำได้ฝังใจ มันแสบร้อนข้างในไปหมด ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ผมอ้วกหนักมากและเสียงดังเกินไปหน่อยจนได้ยินไปถึงหูพ่อ

ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่แม่ตายที่พ่อกลายเป็นพ่อของผมจริง ๆ แม้จะไม่ได้มีสติอยู่กับตัวเองครบถ้วน แต่ผมสัมผัสอ้อมกอดของพ่อได้

พ่ออุ้มตัวผมส่งเข้าสถานที่ที่เดียวกันกับที่ผมเกิด โชคดีที่มันยังไม่ใช่ที่เดียวกับที่ผมจะตาย

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือความเจ็บปวดในหัวใจของพ่อ พ่อหันมาดูแลผมมากขึ้น

ผมพ้นขีดอันตรายไปได้ อาจจะมีตับที่ทำงานผิดพลาดไปบ้างจนทำผมท้องเสียบ่อย ๆ แต่โดยรวมแล้วอวัยวะภายในไม่ได้เสียหายไปมากเท่าไหร่

หลังจากนั้นมา ถึงหัวใจที่มีหน้าที่สูบฉีดเลือดยังคงทำงานอยู่ แต่หัวใจที่ทำหน้าที่กักเก็บความรู้สึกนั้นแตกสลายไปแล้ว ไม่ว่าพ่อจะพยายามทากาวหรือเชื่อมต่อมันยังไง ความรู้สึกของผมก็ไม่เคยกลับมาเป็นเหมือนเดิม

หลังจากนั้นไม่นานพ่อก็ได้พบรักกับผู้หญิงคนใหม่ สุดท้ายทั้งคู่ก็ลงเอยกันด้วยการแต่งงาน

น้าพลอยดูท่าทางเป็นคนดีและดูแลผมประดุจลูกชายคนหนึ่ง

พ่อกับน้าพลอยพยายามปรับตัวเข้าหาผมเสมอ รู้ทั้งรู้ว่าพวกเขาพยายามขนาดไหนแต่ผมกลับทำตัวออกห่างออกมาให้ได้มากที่สุด หัวใจที่เปราะบางเป็นแก้วนั้นถูกโยนแตกไปแล้วไม่สามารถนำกลับมาต่อได้อีก

              แต่ว่า ช่วงที่ได้อยู่กับไนน์นั้นทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของพ่อมากขึ้น ผมรับรู้ความรู้สึกวังเวงหัวใจเวลาคนที่เรารักเราทะนุทนอมมาตั้งแต่เป็นเด็กน้อยจนกลายเป็นหนุ่มแล้วเขากลับทำตัวห่างออกไปเรื่อย ๆ มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน

ถ้าพ่อรักผมเหมือนที่ผมรักไนน์ ความเจ็บปวดหัวใจของพ่อคงไม่ต่างอะไรกับที่ผมรู้สึกก่อนหน้านี้เลย

"พี่เบ็นรักพ่อไหม" อยู่ ๆ ไอ้หมอนี่ก็โพล่งถามขึ้นมา

"ก็รัก...มั้ง"

"...ถ้าพี่รักใครละก็ อย่ารอให้สายเกินไปที่จะแสดงความรักกับเขานะ"

"..."

"ผมเคยพลาดทำคนที่ผมรักเสียไปแล้วครั้งนึง แล้วก็เกือบจะเสียคนที่รักที่สุดไปอีกคนนึงแล้ว เพราะงั้นพี่ก็อย่าพลาดเหมือนกับผมนะครับ"

"รับทราบครับ คุณลุง" หมอนี่ชักจะรู้มากเกินไปแล้ว

"เบ็น ไนน์ มากินข้าวเย็นกันได้แล้วลูก!" เสียงผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนดังมาจากข้างล่าง เป็นเสียงของน้าพลอยแน่นอน

"ครับ!" ไนน์ตะโกนตอบรับเสียงนั้นผิดกับผมที่ยืนนิ่งไม่ตอบโต้ใด ๆ

บรรยากาศการกินข้าวเย็นเป็นไปอย่างประดักประเดิก แม้คู่สามีภรรยาคู่นั้นจะพยายามชวนคุยเท่าไหร่ผมก็ตอบไปไม่กี่คำ มีแต่ไนน์ที่ดูจะยิ้มสดใสร่าเริงพูดจ้อไม่หยุด

ดูไนน์จะเข้ากับครอบครัวนี้มากกว่าผมซะอีก นี่ถ้าเรียกไนน์ว่าลูกด้วยก็คงใช่เลย

"แล้วไนน์อยากเป็นครูด้วยเหรอลูก" ลูก?

"ไม่ครับ ผมอยากเป็นสจ๊วตนะ"

"เฮ้ย ดีนี่ไอ้หนู พ่อสนับสนุน" พ่อ?

"ขอให้ได้นะจ๊ะ"

"ครับน้าพลอย"

"แหม เรียกแม่ก็ได้จ้ะ" แม่?

"นี่ไปเป็นพ่อแม่ลูกกันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย" ผมห้ามปากตัวเองให้ถามออกไปไม่ได้

"ไนน์ลูก มีคนน้อยใจว่ะ" พูดจบพ่อผมก็ระเบิดหัวเราะใส่เฉยเลย

"ไม่ได้น้อยใจสักหน่อย...มองอะไร" ไอ้ตัวแสบหรี่ตามองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

"เปล่าครับ เนอะคุณพ่อ"

"เนอะ hijo"

"ก็แหม ไม่เห็นแปลกเลยนี่จ๊ะ เดี๋ยวก็ได้เป็นครอบครัวเดียวก..."

น้าพลอยยังไม่ทันพูดจบประโยคก็ถูกพ่อผมกระทุ้งศอกใส่เบา ๆ ก่อน แล้วขยับหัวไปกระซิบกระซาบกัน ซุบซิบไปมองหน้าผมไป ต้องมีความลับอะไรแน่ ๆ

"อะไรพ่อ อะไรน้าพลอย บอกมานะ"

"ไม่บอก!" พ่อและน้าพลอยพูดออกมาพร้อมกันแล้วหัวเราะคิกคักกันสองคน ปล่อยผมให้งงอยู่คนเดียว พอหันไปหาไนน์มันก็เอาแต่ก้มหน้าแดง ๆ ลง อะไรของพวกเขาวะเนี่ย