by Harmonica
อนาสเตเซียนั่งคอยอยู่ในห้องนั่งเล่นส่วนตัวทางหลังบ้าน ขณะที่นิโคลาโยสกำลังนั่งคุยกับสารวัตร ดราโก้ ลาซารอสและผู้หมวดไอวาน อลองโซ่อยู่ในห้องทำงาน
ทั้งคู่มาขอสอบปากคำเธอและสามีเพิ่มเติมที่บ้านบนเกาะปาโรส
หญิงสาวนั่งจิบกาแฟที่อีเนียสพ่อบ้านยกมาให้พลางมองดูจูเลี่ยนลูกชายวัยสี่ขวบวิ่งเล่นอยู่ในสนามหลังบ้านกับดิโน่สุนัขพันธุ์เวสท์ไฮแลนด์ไวท์เทอเรีย หรือเวสตี้สีขาวเพศผู้วัยสี่เดือนที่แสนร่าเริงน่ารัก
นิโคลาโยสเป็นคนซื้อเจ้าดิโน่มาให้เป็นเพื่อนเล่นของจูเลี่ยน ประหนึ่งของขวัญปลอบใจและเป็นการต้อนรับกลับบ้านเมื่อสองเดือนก่อน ครั้งที่จูเลี่ยนกลับมาบ้านได้อย่างปลอดภัยหลังจากถูกจับไปเรียกค่าไถ่อยู่นานเกือบวันเต็ม ๆ อนาสเตเซียยังคงใจหายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น จำได้ว่ามันเกือบทำให้เธอคลั่งเมื่อนึกถึงครั้งที่ตัวเองกับมารดาถูกลักพาตัวไปขังไว้ที่ถ้ำริมหน้าผา และจบลงด้วยความตายอย่างน่าเวทนาของมารดาและน้องชายที่ยังไม่มีโอกาสลืมตาดูโลก
น่าแปลกที่นิโคลาโยสซึ่งไม่ค่อยเคยใส่ใจซื้อของอะไรให้ลูกชายนัก กลับมีแก่ใจไปหาซื้อลูกหมาน่ารักแบบนี้มาให้ เธอมองลูกหมาตัวนี้แล้วก็ขมวดคิ้ว เจ้าดิโน่ทำให้เธออดคิดถึงเจ้าแคสซี่สุนัขพันธุ์เดียวกันที่เพิ่งตกลูกมาสามตัวเมื่อไม่นานนี้ไม่ได้ ลูกๆ ของมันอายุน่าจะไล่เลี่ยกับเจ้าดิโน่ เธอเห็นลูกหมาครอกนั้นเมื่อครั้งสุดท้ายที่ไปเยี่ยมตาเฒ่าฟาริส คาคาราสกับภรรยานาเดียที่บ้านไร่ริมทะเลเมื่อสามเดือนก่อน ยังเคยคิดว่าถ้าอายุครบสองเดือนจะมาขอซื้อไปเลี้ยงสักตัว
ตาเฒ่าฟาริสชาวไร่ที่ปลูกไร่มะกอกอยู่บนเชิงเขาไม่ไกลจากฝั่งทะเลบนเกาะนักซอสเคยช่วยชีวิตเธอไว้เมื่อสิบสองปีก่อน หลังจากนั้นตาเฒ่ายังอุตส่าห์ไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลในเอเธนส์ซึ่งเธอเข้ารับการรักษาตัวจากโรคปอดบวมและอาการช็อคอยู่นานกว่าหนึ่งเดือนและยังไปร่วมในพิธีศพอแนสซ่าที่เกาะแอนติปาโรสด้วย แทบไม่มีใครรู้ว่าอนาสเตเซียกับฟาริสยังคงติดต่อเยี่ยมเยียนกันอยู่เป็นระยะหลังจากเวลาผ่านมานานถึงสิบสองปี
อนาสเตเซียรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของฟาริส เขาและภรรยาอุตส่าห์ตามไปเยี่ยมเธอที่เกาะซีโรสสามสี่ครั้งในช่วงหนึ่งปีหลังการตายของอแนสซ่า จนเมื่ออนาสเตเซียออกจากประเทศกรีซเพื่อกลับไปศึกษาต่อที่สวิสเซอร์แลนด์เป็นเวลาห้าปี จึงขาดการติดต่อกับสองสามีภรรยาไป
อนาสเตเซียไม่มีความกล้าหาญพอที่จะกลับไปเกาะนักซอสอีกครั้งเพื่อเยี่ยมสองสามีภรรยาคาคาราซ ความกลัวที่จะหวนรำลึกถึงอดีตที่โหดร้ายเกี่ยวกับการตายของอแนสซ่าทำให้เธอกลัวที่จะกลับไปยังบ้านไร่บริเวณนั้น จนเมื่อเธอแต่งงานมีครอบครัวและบุตรชายอายุครบสามขวบ หญิงสาวจึงมีความอบอุ่นมั่นคงในใจพอที่จะเผชิญหน้ากับอดีต และกลับไปเยี่ยมตาเฒ่ากับภรรยาที่เกาะนักซอสได้ เธอรู้สึกผูกพันกับตาเฒ่าฟาริสอย่างประหลาด อาจเพราะเขาเป็นเหมือนที่พักพิงในยามวิกฤตและเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในนาทีชีวิตของเธอกับอแนสซ่า
เสียงเคาะประตูปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากภวังค์ความคิด เธอหันกลับไปมองและพบสารวัตรลาซารอสยืนอยู่ที่กรอบประตูซึ่งเปิดอยู่ อนาสเตเซียหันไปสั่นกระดิ่งเรียกเมลานีแม่บ้านให้ไปคอยนั่งเฝ้าจูเลียนแทน นับแต่ลูกชายถูกจับเรียกค่าไถ่ เธอไม่เคยไว้ใจให้เขาคลาดสายตาอีกเลย และก็ไม่ไว้ใจให้ซอนญ่าพี่เลี้ยงของจูเลี่ยนที่เคยทำเขาหายดูแลลูกชายแต่เพียงลำพัง คงอีกนานกว่าเธอจะยอมไว้ใจให้เขาคลาดสายตาได้ หญิงสาวสั่งเมลานีเสร็จก็หันมาเชิญสารวัตรลาซารอสให้ลงนั่งดื่มกาแฟกับเธอแต่เขาปฏิเสธ
"ผมดื่มมาแล้วกับคุณวาลลาซ เชิญมาดามตามสบายเถอะครับ" เขาบอกพร้อมกับปิดประตูห้องตามหลัง ก่อนจะลงนั่งตามคำเชิญ
"คุยกับนิกกี้เสร็จแล้วหรือคะ" อนาสเตเซียถามอย่างแปลกใจ
"ครับ แต่ผู้หมวอลองโซ่ยังขอคุยกับสามีคุณเพิ่มเติมอยู่ ในส่วนผมไม่มีอะไรแล้ว เลยขอแยกมาคุยกับคุณ"
"มีอะไรอยากถามฉันหรือคะ" อนาสเตเซียเปิดประเด็น
"ไม่ทราบว่าคุณเห็นมาดามคิริยาคอส.." เขาหยุดพูดและเปลี่ยนคำพูดใหม่เมื่อเห็นแววเศร้าล้ำลึกปรากฏในดวงตาคู่สีฟ้าใสของอนาสเตเซียยามที่เอ่ยถึงคำว่ามาดามคิริยาคอส "ขอโทษครับ ผมเรียกคุณลีย่า คิริยาคอสแล้วกัน ไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณคิดถึงคุณอแนสซ่าคุณแม่ของคุณ ผมอยากทราบว่าคุณเห็นคุณลีย่าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่"
"ไม่เป็นไรค่ะ ลีย่าเป็นมาดามคิริยาคอสมา เก้าปีแล้ว ฉันน่าจะชินแล้วล่ะค่ะ ส่วนเรื่องการหายตัวของเธอ ฉันไม่ทราบเหมือนกัน เพราะฉันเจอเธอทุกวันที่งานศพคุณพ่อเมื่อหกสัปดาห์ก่อน ครั้งสุดท้ายที่คาดว่าจะเห็นลีย่าคือเมื่อวานนี้ที่พิธีฝังศพ แต่เธอไม่ได้มาร่วมงาน และฉันก็เพิ่งรู้เองว่าเธอหายตัวไปได้สองสามวันแล้ว"
"คุณไม่ได้รับแจ้งจากทางบ้านพ่อคุณหรือครับ"
"ไม่ทราบค่ะ ได้ยินแต่ว่าทางบ้านโน้นเขาตามหาตัวลีย่ากัน เพราะเธอท้องแก่และหายตัวไป พ่อบ้านกับพยาบาลส่วนตัวเขาโทรมาถามว่าเธอมาที่นี่หรือเปล่า ฉันไม่ทันได้คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่"
"ทำไมคุณถึงไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ครับ" สารวัตรถามขึ้นอย่างจับสังเกต
อนาสเตเซียลังเลนิดหนึ่งก่อนตอบ "ลีย่าไปไหนมาไหนไม่ค่อยอยู่ติดบ้านสักเท่าไหร่มาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ ตั้งแต่สมัยเป็นกึ่งพี่เลี้ยงกึ่งแช็ปเพอโรน*ของฉันเมื่อตอนเด็ก ตอนหลังที่เธอท้องนี่พฤติกรรมเธอเปลี่ยนไปหรือเปล่าฉันก็ไม่ทราบ เพราะฉันย้ายออกจากบ้านที่แอนติปาโรสมาสิบกว่าปีแล้ว แต่เท่าที่รู้จักเธอ ฉันเลยไม่ทันได้แปลกใจที่เห็นเธอหายไปเพียงสองสามวัน"
"คุณพอจะทราบไหมว่าในตอนนั้นปกติเธอชอบไปไหน" สารวัตรถามต่อ
"เธอไม่เคยบอกใครหรอกค่ะ เสียใจด้วย ฉันไม่เคยทราบ"
"แต่เธอเป็นพี่เลี้ยงคุณมาตั้งแต่อายุสิบสอง คุณกับเธอไม่ค่อยสนิทสนมกันงั้นหรือ"
อนาสเตเซียนิ่งคิดทบทวนอดีต ภาพเหตุการณ์ในคืนหนึ่งเมื่อตอนเธออายุสิบสองขวบผุดขึ้นมาในความทรงจำ ชายหนุ่มชุดดำที่แอบลอบปีนขึ้นมาบนระเบียงนอกห้องนอนของลีย่า ซึ่งเป็นกึ่งพี่เลี้ยงกึ่งแช็ปเพอโรนของเธอในขณะนั้น ทั้งสองกอดจูบกันก่อนที่จะดึงกันเข้าไปในห้องนอนที่ติดประตูกระจกยาว เด็กหญิงยืนมองผ่านหน้าต่างระเบียงในห้องถัดไป แต่พวกเขาไม่สังเกตเห็นเธอ อนาสเตเซียเหลือบตาขึ้นมองสบสายตาสารวัตรหนุ่มใหญ่ เธอตัดสินใจไม่พูดเรื่องที่เคยเห็น เพราะมันผ่านมานานมากแล้วและอาจไม่เกี่ยวข้องกัน อีกทั้งเป็นเรื่องส่วนตัวของลีย่าก่อนจะแต่งงานกับบิดาของเธอ ซึ่งเธอไม่ต้องการไปก้าวก่าย
"ค่ะ เธอดูแลฉันหลังจากที่ไอรีน พี่เลี้ยงฉันแต่แรกเกิดลาออกไปแต่งงาน ลีย่าเป็นพี่เลี้ยงของฉันตอนโตแล้ว งานหลักของเธอจึงเหมือนคอยช่วยดูเรื่องการบ้าน ตารางเวลา การแต่งตัว กิจกรรมต่าง ๆ และเป็นแช็ปเพอโรนมากกว่า"
อนาสเตเซียอธิบายยาว เธอหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
"เราเรียกไม่ได้ว่าสนิทแต่ก็คุ้นเคยกันตามสมควร ลีย่าพักอยู่ในบ้านด้วยเว้นแต่วันหยุดของเธอที่เธอจะไปค้างที่อื่น ฉันไม่เคยไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของลีย่า เธอมีโลกส่วนตัวของเธอเองที่เธอทำในวันหยุด มีกลุ่มเพื่อนที่พบปะสังสรรค์เป็นประจำ เธอไม่เคยพาฉันไปรู้จักเพื่อน ๆ ของเธอ ขอโทษที่ฉันให้ข้อมูลอะไรสารวัตรไม่ได้มากไปกว่านี้"
หญิงสาวเลี่ยงไม่เล่าถึงอดีตที่ลีย่ามักไปเยี่ยมเธอที่สถานบำบัดจิตบนเกาะซีโรสอยู่เป็นประจำเดือนละครั้งตลอดเวลาหนึ่งปี เธอไม่เคยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลีย่าอย่างแจ่มชัด มันเหมือนใกล้แต่ไกล ทั้งที่ลีย่าหมั่นมาเยี่ยมเธอทุกเดือน แต่เธอไม่เคยรู้สึกว่าได้สัมผัสถึงความจริงใจของอดีตพี่เลี้ยงที่กลายมาเป็นแม่เลี้ยงของเธอเลย เธออดรู้สึกไม่ได้อยู่บ่อย ๆ ว่าลีย่ามาเยี่ยมเพื่อสังเกตพฤติกรรมและความคืบหน้าเกี่ยวกับอาการของเธอมากกว่าที่จะมาด้วยต้องการสร้างความอบอุ่นใจให้กับเธอ
"ได้ยินว่าลูกชายคุณถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่เมื่อประมาณสองเดือนก่อนหรือครับ" สารวัตรจู่โจมด้วยคำถามใหม่หลังจากเห็นอนาสเตเซียเงียบไป
การเปลี่ยนคำถามอย่างกระทันหันทำให้หญิงสาวต้องตวัดสายตาขึ้นมองอย่างหวาดระแวง
"สารวัตรทราบได้อย่างไรคะ"
"ผมสอบปากคำทุกคนในบ้านครับ ตั้งแต่คราวที่คุณคิโรสเกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ไม่มีใครพูดเรื่องจูเลียนถูกลักพาตัว คราวนี้แม่เลี้ยงคุณหายตัวไป จึงมีคนพาดพิงถึงเหตุการณ์คราวก่อน ที่เกิดเรื่องคล้าย ๆ กัน" สารวัตรอธิบายพร้อมตั้งคำถามกลับ "ทำไมคุณจึงไม่ปริปากเรื่องนี้ครับ คุณน่าจะทราบว่ามันมีผลต่อรูปคดีของคุณลีย่า"
อนาสเตเซียยกกาแฟขึ้นจิบ เธอหลบสายตาก่อนตอบอย่างหวาดระแวง
"ฉันไม่ต้องการให้มีการพาดพิงถึงเรื่องทำนองนี้ เพราะไม่ต้องการให้กระทบจิตใจจูเลี่ยนค่ะ" หญิงสาวนิ่งไปนิดหนึ่ง เธอเหลือบมองดวงตาสีน้ำตาลคมซึ่งจับจ้องเธออย่างใจเย็นของสารวัตรแล้วจึงถอนหายใจอย่างยอมจำนน
"ก็ได้ค่ะ จูเลี่ยนถูกจับไปเรียกค่าไถ่ แต่ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว เราจ่ายค่าไถ่ไป และไม่ได้แจ้งตำรวจ"
"คุณคิดว่าคุณทำถูกแล้วหรือครับ" ใบหน้าคมสันที่แม้จะดูร่วงโรยไปจากความเครียดและการไม่ค่อยดูแลตัวเอง เผยชัดถึงความไม่เห็นด้วยต่อการกระทำของอนาสเตเซีย
"ค่ะ ฉันได้ลูกชายของฉันคืนมาครบสามสิบสองประการในเวลาไม่ถึงวัน และลูกสบายและปกติดีแทบไม่มีอาการหวาดกลัวใด ๆ เลย"
"คุณไม่คิดว่ากำลังทำให้คนร้ายได้ใจและคิดกลับมาเอาเงินคุณหรือคนอื่นด้วยวิธีแบบเดียวกันนี่เรื่อย ๆ หรือครับ"
"ฉัน.." อนาสเตเซียหยุดคิด ถูกของนายตำรวจผู้นี้ คนในบ้านนี้กลายเป็นเหยื่อเรียกค่าไถ่บ่อยจนเกินไป มันไม่ควรเกิดซ้ำในครอบครัวเดียวกันถึงสองครั้งในเวลาไม่ถึงสิบห้าปีไม่ใช่หรือ และนี่ยังมีลีย่ากับลูกในท้องอีก
แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ความกลัวจนจับขั้วหัวใจในวันที่หาจูเลี่ยนไม่เจอมันทำให้เธอไม่อาจคิดถึงอะไรอื่นได้มากกว่าการยอมจำนน เพื่อให้ได้ลูกชายคืนมาอย่างปลอดภัยโดยเร็ว
"ฉันทำอย่างที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ควรทำ เพื่อให้ลูกมีชีวิตรอด อย่างที่พ่อฉันน่าจะทำเมื่อ สิบสองปีที่แล้ว เพื่อให้แม่กับน้องฉันรอด"
"คุณพูดอะไรของคุณ" สารวัตรลาซารอสขัดขึ้น
หญิงสาวลุกขึ้นเดินหนีไปยืนมองออกไปนอกหน้าต่างหันหลังให้กับสารวัตร สายตาพร่ามัวจนไม่อาจมองเห็นวิวภายนอกได้ การพูดถึงเหตุการณ์ทำนองนี้มักเป็นการกระตุ้นความทรงจำอันโหดร้ายในครั้งก่อนของเธอเสมอ
"เรื่องมันผ่านมานานแล้ว ฉันไม่ต้องการพูดถึงมันอีก"
ดราโก้ ลาซารอสเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่ากำลังใช้ความคิด เขาย้อนถามอนาสเตเซียอีก
"แต่เมื่อกี้คุณบอกว่าพ่อคุณน่าจะทำอะไรเมื่อสิบสองปีก่อนเพื่อช่วยรักษาชีวิตแม่กับน้องคุณ"
หญิงสาวหันกลับมาจ้องหน้าสารวัตรลาซารอส ดวงตาสีฟ้าใสนั้นเข้มขึ้นด้วยอารมณ์โกรธแค้นเก่า ๆ ที่เจ้าตัวเคยเก็บซ่อนไว้ภายในอย่างมิดชิด
"คุณพ่อฉันปล่อยให้แม่ฉันตาย คุณไม่รู้หรอกหรือคะสารวัตร" เสียงพูดนั้นสั่นเครือด้วยแรงอารมณ์ที่เก็บกลั้นไว้นาน "คุณพ่อปล่อยให้แม่กับฉันตาย เพราะท่านไม่ยอมจ่ายเงินค่าไถ่"
"คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ" สารวัตรลาซารอสกล่าวแย้งด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ยังคงสุขุมแม้จะรู้สึกตกใจกับความเข้าใจผิดของอนาสเตเซีย
"ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณจะเข้าใจอะไรผิด ๆ มานานขนาดนี้ คุณคิโรสจ่ายเงินค่าไถ่ผมทราบดี แต่พวกโจรหักหลังรับเงินไปแต่ไม่ยอมปล่อยพวกคุณ มันเป็นอย่างนี้เสมอ ผมจะบอกอะไรให้คุณทราบ ตลอดชีวิตการเป็นตำรวจ ผมแทบไม่เคยเห็นเหยื่อลักพาตัวรายไหนมีชีวิตรอดกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย แทบทุกรายจะถูกฆ่าปิดปากและนำศพไปทิ้งไปฝังกันกลางป่าหรือกลางทะเลทั้งนั้น คุณโชคดีที่หนีเอาชีวิตรอดมาได้ แม้ว่า.."
"สารวัตรทราบได้อย่างไรคะว่าพ่อฉันยอมจ่ายค่าไถ่" หญิงสาวขัดขึ้นด้วยอารมณ์ที่เริ่มเดือด
"ทราบสิครับ เพราะผมเป็นคนทำคดีนั้นเอง" เขาชี้แจงต่อเมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงความไม่เชื่อถือ "พ่อคุณโทรแจ้งความให้ตำรวจช่วยตอนที่คุณกับแม่ถูกจับตัวไป แต่ท่านไม่เชื่อคำแนะนำของเราเรื่องค่าไถ่ ท่านจ่ายค่าไถ่ให้ แต่ไม่เคยได้ตัวพวกคุณกลับมา ท่านถูกพวกมันหักหลัง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทางตำรวจและผู้บังคับบัญชาของผมในตอนนั้นคาดเดาไว้แต่แรก และได้พยายามเตือนท่านแล้ว.."
"จนพ่อฉันตายไปแล้ว สารวัตรยังจะมาปิดบังให้ท่านเพื่ออะไร"
หญิงสาวกล่าวน้ำตารื้นขึ้นมากลบดวงตาสีฟ้าใสที่จ้องสบดวงตาเฉียบคมและฉลาดเฉลียวของสารวัตรอย่างร้าวรานใจ
"อนาสเตเซีย ผมจะหลอกคุณเพื่ออะไร ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้เลย พ่อของคุณจ่ายเงินค่าไถ่ โดยไม่ยอมเชื่อคำแนะนำของตำรวจ ท่านเสียเงินไปฟรี ๆ โดยไม่ได้เบาะแสใด ๆ เกี่ยวกับพวกคุณเลย" ดราโก้อธิบาย
"สารวัตรแน่ใจหรือคะ" อนาสเตเซียย้ำอีก "สารวัตรจะบอกว่าตลอดเวลาสิบสองปีนี่ ฉันเข้าใจคุณพ่อผิดมาตลอดอย่างนั้นหรือคะ"
"คุณเข้าใจว่ายังไงล่ะครับ" เขาถาม
หญิงสาวเงียบไม่ตอบ น้ำตาไหลรินลงอาบแก้มช้า ๆ ดวงตาซึ่งหลุบลงต่ำนั้นทั้งสับสนและร้าวรานเหมือนกำลังอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง
"มาดามวาลลาซครับ" สารวัตรเรียกเธอเบา ๆ
อนาสเตเซียสงบใจหยุดความคิดที่พลุ่งพล่านภายในจิตใจและดึงตัวเองกลับมายังการสนทนาตรงหน้า หญิงสาวหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาเงียบ ๆ และเงยหน้าขึ้นมองสารวัตรลาซารอสด้วยแววตาที่สงบนิ่งเหมือนเคย
"คุณคิดว่าแม่เลี้ยงของฉันถูกจับไปเรียกค่าไถ่เช่นกันหรือเปล่าคะ" อนาสเตเซียตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องกลับมายังประเด็นที่น่าจะเร่งด่วนกว่า
"มันก็น่าคิด" ดราโก้ ลาซารอสพูดพร้อมกับถอนใจ เขาตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องตามเมื่อเห็นว่าหัวข้อสนทนาเดิมดูจะมีผลกระทบต่อจิตใจของอนาสเตเซียมากจนเกินไป "แต่ถ้าหากเป็นการเรียกค่าไถ่ พวกมันน่าจะต้องพยายามติดต่อมาหาพวกคุณแล้ว อีกอย่างแม่เลี้ยงคุณน่าจะมีค่ากับคุณคิริยาคอสมากกว่าต่อพวกคุณ ถ้าจะเรียกค่าไถ่ มันก็น่าจะทำตอนที่พ่อคุณยังมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นผมไม่คิดว่ามันจะเป็นการเรียกค่าไถ่หรอกครับ"
อนาสเตเซียหวนคิดถึงคราวที่ตัวเองและแม่ถูกลักพาตัวไปกักขังไว้ในถ้ำที่อับชื้นและน่ากลัวนั้น พลันเธอก็นึกเวทนาลีย่าขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้มีความผูกพันใกล้ชิดกันมากมาย
"ฉันหวังว่าลีย่าจะปลอดภัย สิ่งที่เกิดกับแม่และตัวฉันนั้น ฉันไม่ต้องการเห็นมันเกิดกับใครอีก โดยเฉพาะสภาพของลีย่าในตอนนี้ ช่างไม่ต่างจาก …จาก .." หญิงสาวกลั้นสะอื้นที่จุกขึ้นมาที่คอจนไม่อาจเอ่ยคำใดได้
"มาดามอแนสซ่า คิริยาคอสในตอนนั้น" สารวัตรต่อให้อย่างเข้าใจในขณะที่อนาสเตเซียพยักหน้าเงียบ ๆ
"ครับ เหยื่อที่ถูกลักพาตัวนั้นไม่ค่อยสุขสบายนักหรอก บางคนก็ถูกทำร้ายรุนแรง" เขาหยุดนิดหนึ่ง ตัดสินใจไม่พูดถึงเหยื่อหลายรายที่ถูกตัดอวัยวะและชิ้นส่วนในร่างกายเพื่อส่งมาข่มขู่ครอบครัวประกอบการเรียกร้องค่าไถ่ตัว
"และส่วนใหญ่ไม่มีชีวิตรอดกลับมา ตัวคุณเองก็สาหัสไม่น้อยตอนที่รอดกลับมาได้ โชคดีจริงๆ ที่ลูกชายคุณไม่เป็นอะไรเลย" ดราโก้พูดแล้วก็เหมือนนึกแปลกใจอะไรขึ้นมา "คุณบอกว่าลูกชายคุณปลอดภัยกลับมา ตัวเขามีร่องรอยบาดแผลจากการโดนทำร้ายบ้างหรือเปล่าครับ"
อนาสเตเซียมองหน้าสารวัตรอย่างประหลาดใจ "ไม่มีค่ะ จริงสินะฉันมัวแต่ดีใจจนลืมคิดไป จูเลียนมีอาการตกใจนิดหน่อยเท่านั้น อย่างอื่นก็ปรกติดี ฉันเองยังดีใจที่แกไม่เป็นอะไรเลย ไม่มีแม้แต่รอยช้ำหรือขีดข่วน ทำไมหรือคะ"
"แล้วคนร้ายติดต่อกับคุณยังไงครับ" สารวัตรไม่ตอบแต่ย้อนถามอีก
"โทรศัพท์ค่ะ"
"คุณมีบันทึกอะไรเก็บไว้ ที่พอจะใช้ตรวจสอบได้บ้างไหม"
อนาสเตเซียนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนตอบ "ไม่มีค่ะ"
"ค่าไถ่ล่ะครับ คุณจ่ายมันยังไง"
"มันสั่งให้ฉันนำไปทิ้งไว้ที่ถังขยะในตรอกๆ หนึ่งในปาริเกียค่ะ"
"แล้วคุณได้ตัวจูเลี่ยนคืนมาได้ยังไงครับ"
อนาสเตเซียหลับตาหวนรำลึกถึงช่วงเวลานั้น เป็นเวลาตีสอง ของคืนวันจันทร์ในตรอกย่านใจกลางปาริเกีย ซึ่งนับเป็นเมืองหลวงขนาดย่อมของเกาะใหญ่แต่ค่อนข้างเงียบอย่างปาโรส แม้ถนนรอบนอกจะยังมีรถราจักรยานยนต์และผู้คนสัญจร แต่ภายในตรอกมืด ๆ นั้นค่อนข้างเปลี่ยว และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่พากันกลับแล้วเนื่องจากเป็นคืนวันจันทร์
"มันสั่งให้ฉันทิ้งเงินไว้ในถังขยะค่ะ แล้วจากนั้นก็ให้ฉันเดินต่อไปที่อีกตรอกหนึ่งซึ่งอยู่อีกฟากของถนน เยื้องไปประมาณสองบล็อก จากนั้นก็โทรศัพท์มาให้ฉันหยิบกุญแจที่วางไว้ใต้กระถางต้นไม้ริมบันไดทางขึ้นอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง ให้ฉันเปิดตู้จดหมายตู้หนึ่ง จำได้ว่าเป็นเลขที่ห้อง 4B ข้างในมีแผนที่ ๆ มันเอาตัวจูเลี่ยนไปขังไว้ค่ะ"
"แล้วคุณตามไปพบแกที่ไหนครับ"
อนาสเตเซียทบทวนความจำ "ฉันขับรถไปคนเดียวไปทางเลฟเคส บ้านหลังนั้นซ่อนอยู่หลังแนวต้นมะกอกที่ขึ้นอยู่ตามแนวภูเขา มองจากถนนไปจะไม่เห็น มันเป็นบ้านปูนขาวที่ดูร้าง โทรม ตั้งอยู่โดดเดี่ยว รอบๆ เป็นป่าไม้พุ่มรกร้างไร้ผู้คน ดูคล้ายโรงบ่มไวน์เก่าๆ พอฉันเข้าไปด้านล่างเงียบไม่มีใครเต็มไปด้วยหยากไย่ ฉันขึ้นไปชั้นบนแล้วลองเอากุญแจที่ใส่ไว้ในซองแผนที่ไขประตูห้องแรกที่มองเห็นแสงไฟลอดออกมา พอเปิดเข้าไปก็เจอจูเลียนนอนหลับอยู่ค่ะ"
"แกไม่ตกใจกลัวเลยหรือครับ" สารวัตรแปลกใจ
"ไม่เลยค่ะ แกเพียงแต่ดีใจที่เจอฉัน แต่ไม่มีท่าทางหวาดกลัวอะไร หน้าต่างห้องปิดหมดจนแกมองไม่เห็นด้านนอก ในห้องตกแต่งดูอบอุ่นน่ารัก น่าสบาย มีเกม มีทีวี มีของเล่นให้แกเล่นมากมาย อีกทั้งยังมีตู้เย็น นั่นคือเท่าที่ฉันเห็นนะคะ เพราะฉันมัวแต่อยากจะรีบพาแกออกจากที่นั่นจึงไม่ได้ไปตรวจค้นดูสถานที่มากมายนัก แต่จูเลียนเล่าว่า แกมีของกินมีขนมมากมายในตู้เย็น"
"คุณถามแกหรือเปล่าว่ามีใครอยู่กับแกบ้าง จึงทำให้แกไม่กลัว" สารวัตรซักต่อ
"ถามค่ะ แกบอกว่าบาร์นี่ย์*มาอยู่เป็นเพื่อนแก นั่งเล่านิทานและเล่นกับแกค่ะ ฉันเลยถามว่าแล้วบาร์นี่ย์ไปไหนเสียล่ะ แกก็ว่าบาร์นี่ย์เล่านิทานก่อนนอนให้แกฟังจนหลับ พอตื่นมาก็เจอฉันมาเรียกหานี่ล่ะค่ะ"
"มีอะไรที่ผิดสังเกตอีกนอกเหนือจากที่เล่ามานี่ไหมครับ"
อนาสเตเซียนิ่งคิด "จริง ๆ ก็มีนะคะ ห้องที่ขังแกไว้ติดวอลล์เปเปอร์ ผ้าม่าน และผ้าปูเตียงลายเดียวกับที่ห้องนอนของแกที่บ้านนี่เลยค่ะ จริง ๆ แล้ว เตียงยังแบบเดียวกันด้วย"
"คุณว่าเตียงแบบเดียวกันแต่งห้องแบบเดียวกันงั้นหรือครับ"
"ใช่ค่ะ" หญิงสาวรับ "มีอะไรหรือคะสารวัตร"
"เปล่าครับ" ดราโก้ ลาซารอสเก็บความสงสัยไว้กับตัวเอง "ยังไงผมก็ขอแนะนำอะไรคุณอย่างหนึ่ง คุณควรระวังคนใกล้ชิดไว้ให้มาก เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวคุณ ดูจะมีเงื่อนงำน่าสงสัย ทุก ๆ อย่างมันบังเอิญมากเกินไป ทั้งเรื่องอุบัติเหตุของคุณพ่อคุณ แล้วยังแม่เลี้ยงของคุณ ลูกคุณ แล้วยังตัวคุณกับแม่คุณอีก"
"สารวัตรคิดว่ามีคนคิดร้ายต่อครอบครัวเรางั้นหรือคะ" หญิงสาวเอ่ยถามหลังจากนิ่งคิดตาม
"ผมไม่กล้าสรุปอะไร นอกจากขอให้คุณระวังตัวและครอบครัวให้มาก ตัวคุณน่าจะต้องรู้ดีที่สุดว่ามีใครบ้างรอบ ๆ ตัวคุณที่น่าสงสัย แต่จากที่คุณเล่าเรื่องลูกของคุณนี้ ผมไม่คิดว่าคนร้ายจะเป็นคนไกลตัวที่คอยแอบสังเกตคนในบ้าน แต่น่าจะเป็นคนในที่ใกล้ชิดกับบ้านคุณเป็นอย่างมาก และก็อนาสเตเซีย .."
สารวัตรกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง "ผมยังไม่รู้ว่าใครคือคนที่ต้องรับผิดชอบต่อการหายตัวไปของแม่เลี้ยงคุณ แต่ในสายตาตำรวจและบุคคลภายนอกทั่ว ๆ ไป คุณเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่ง เนื่องจากคุณคือผู้ได้รับผลประโยชน์เพียงคนเดียวจากเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ถ้าผมเป็นคุณผมจะระวังตัวให้มาก เพราะนอกจากจะโดนตำรวจเพ่งเล็งแล้ว คุณยังอาจตกเป็นเป้าหมายของใครบางคนที่ไม่หวังดีต่อครอบครัวคุณอยู่ก็เป็นได้ ผมเตือนคุณได้เท่านี้ในฐานะอดีตนายตำรวจจบใหม่ที่ครั้งหนึ่งเคยทำคดีของคุณตั้งแต่เมื่อสิบสองปีก่อน หวังว่าคุณจะเชื่อในความหวังดีของผม"
*
1.chaperone ผู้ติดตามผู้หญิงที่คอยดูแลเด็กหญิงวัยรุ่นหรือหญิงสาวผู้ดีที่ยังไม่แต่งงานในการออกไปพบปะคนในสังคม ในอดีตยังติดตามออกไปเวลาออกนัดกับชายหนุ่มด้วย เพื่อป้องกันการเกิดเรื่องไม่เหมาะสมรวมถึงคำครหานินทา / chaperon เพศชายทำหน้าที่แบบเดียวกันแต่สำหรับผู้ชายซึ่งไม่นิยมมากนัก
2. บาร์นี่ ตัวละครไดโนเสาร์ยอดนิยมของเด็กๆ มีทั้งที่เป็นตัวละครในการ์ตูน และที่เป็นคนสวมชุดบาร์นี่ย์ออกมาชวนเด็กๆ ร้องรำทำเพลง