webnovel

Chapter 3.3

"มึงสติดีอยู่ปะเนี่ย"

ผมเงียบไปเกือบนาทีแล้วหันมาจ้องหน้าของนับหนึ่งราวกับจะค้นหาความผิดปกติบนหน้ามันแต่สีหน้าของนับหนึ่งก็นิ่งเกินไปซะจนผมเดาอะไรไม่ออก

"สติกูครบ ไม่ได้เมา" นับหนึ่งตอบแล้วเลิกคิ้ว "ว่าไง จะให้กอดมั้ย หรือมึงไม่กล้า?"

คิ้วกระตุกเลยสิครับ "คนที่ไม่กล้าน่ะคือมึงมากกว่า" บ่นแล้วขยับตัวนั่งดีๆ เพราะเมื่อกึ้ล้มนั่งบนตักไอ้เพื่อนตัวดี "กลัวผีก็พูดมา"

จะมาอ้างขอกอด

เพราะกลัวสินะ หึ ไอ้อ่อนเอ๊ย

"ไม่ได้กลัว!" นับหนึ่งเถียง

"ไม่กลัวผีก็ไม่ต้องกอด"

"เออ กูกลัวผี"

"..." ผม

อะไรของมึงวะเนี่ย

"สรุปคือจะกอดกูให้ได้" ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"เออ" นับหนึ่งพยักหน้าแล้วดึงผมล้มเข้าไปในอ้อมกอดมันอีกรอบ "ก็มึงบอกกอดได้"

กูล้อเล่นมั้ย ไอ้เหี้ย

ผมแค่พูดเล่นและมันก็กำลังเล่นผมกลับอยู่สินะ

งั้นได้... อยากกอดผมนักใช่มั้ย

"เมื่อกี้มึงบอกจะจ่ายให้กูห้าแสนใช่มั้ยไอ้ป๋า" ผมหยุดความคิดที่จะต่อต้านมันและเปลี่ยนมาหาผลประโยชน์ใส่ตัวเองแทน "มึงโอนเงินมาก่อน"

นับหนึ่งหน้าบึ้ง "ทำไม? กลัวกูเบี้ยวไม่จ่ายรึไง"

ก็เออน่ะสิ ขี้งกจะตาย

เปย์อยู่แค่น้องชายสุดที่รักกับพวกคู่ขาคู่ควง

เป็นเพื่อนกันมายี่สิบปี ไม่เคยจะได้แอ้มเงินมันเลยนอกจากเงินเดือนกับโบนัส

ไม่รู้เพราะสีหน้าผมมันฟ้องอยู่รึเปล่าเลยยิ่งทำให้เด็กชายนับหนึ่งผู้แสนเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจยิ่งหงุดหงิดงอง้ำกว่าเดิมจากนั้นมันก็ผลักผมออกและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

กดสามสี่จึกก็ยื่นให้ผมดู...

"มึง..."

สลิปโอนเงินจำนวนห้าแสนบาทและบัญชีผู้รับก็เป็นชื่อของผมเอง เชี่ย โอนไวไปแล้วมึง

"โอนแล้ว กอดได้ยัง" นับหนึ่งว่าหน้าตายก่อนจะโยนโทรศัพท์ไปอีกด้านและพูดกับผม "ถ้ามึงเบี้ยว มึงต้องโอนคืนกูมาหกแสนนะ"

"เชี่ย! หกแสนอะไรของมึง" ผมตาถลน

"เงินกูหกแสนและอีกหนึ่งแสนค่าทำขวัญจิตใจแสนบอบช้ำของกู" มันว่าหน้าตายสนิท

ค่าทำขวัญจิตใจบอบช้ำ? เดี๋ยวได้เจอตีนผมนี่แหละ

แน่นอนว่าผมจะไม่ยอมเสียเงินให้มันและไม่คืนเงินแน่ๆ เลยจำใจเอนตัวไปพิงไหล่มันก่อน แต่ไอ้เหี้ยนับหนึ่งมันกลับดึงผมเข้าไปนั่งเกยตักแล้วกอดเอวผมแน่น

ผมเหล่มองมันแล้วระบายลมหายใจอย่างหงุดหงิดก่อนจะกดรีโมทเริ่มเล่นหนัง... เมื่อหนังเริ่มแล้วก็รู้สึกว่าคนที่กำลังกอดผมตัวเกร็งขึ้นมา

หึ ไอ้คนกลัวผีเอ๊ย

กลัวแล้วยังจะเสือกดูหนังผีอีก

เมื่อหนังเริ่มแล้ว ผมก็ค่อยๆ จมไปกับเรื่องราวแต่ไอ้คนด้านหลังดูจะไม่ได้สนใจหนังสักเท่าไร

"ทำไมเงียบ"

ผมขบเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วพูดกับมันแต่ว่าตายังจับจ้องที่จอหนังอยู่ "กำลังคิดอะไรนิดหน่อย" อืม ก็มีเรื่องให้คิดจริงๆ นั่นแหละ

"แล้วคิดอะไร" เสือกนะมึงเนี่ย

"แค่ตกใจนิดหน่อย" ก็ไม่นิดนะ ค่อนข้างเยอะเลย "อยู่ๆ ก็ได้เงินมาแบบไม่ต้องลงแรงอะไร"

มันเป็นอารมณ์แบบมึนๆ งงๆ น่ะครับ แค่ปล่อยให้กอดสองชั่วโมงก็ได้เงินมาห้าแสนแล้ว แถมเงินห้าแสนนี่เทียบเท่ากับเงินเดือนผมหนึ่งเดือนเลยนะ ใช่ ไอ้เพื่อนโคตรรวยคนนี้มันให้เงินเดือนผมห้าแสนต่อเดือน ได้เงินเยอะแต่งานก็หนักโคตรๆ

พอได้เงินห้าแสนมาง่ายๆ แบบนี้มันก็มึนๆ งงๆ แอบหดหู่นิดหน่อย

ลาออกจากงานแล้วมาปล่อยให้มันกอดวันละสองชั่วโมงแทนได้มั้ย จะได้ไม่เหนื่อย เฮ้อ

"โดนกูเปย์แคนี้ ช็อกเลยเหรอ" ไอ้คนที่กำลังกอดผมดูหนังผีอยู่ถามขำๆ

"เออ หัวใจจะวายเลยเนี่ย" ผมงึมงำแล้วมองจอโปรเจกเตอร์ไปด้วย "แต่ก็ดี มีเงินช้อปปิ้งเพิ่มขึ้น"

ผมเป็นคนที่ค่อนข้างใช้เงินเยอะ เยอะมาก และบ้าการช้อปปิ้งสุด เสื้อผ้าของใช้เป็นแบรนด์เนมทั้งหมด แต่ผมก็ไม่ได้ใช้เกินตัวนะ อืม แต่เดือนนี้มีค่าช้อปปิ้งเพิ่มมาห้าแสนแล้ว เอาไปซื้ออะไรดี

น้ำหอมตัวใหม่ก็กำลังจะออกแล้วไม่ใช่เหรอ มีเงินซื้อพอดีเลย

"อยากมีเงินช้อปปิ้งเพิ่มมั้ย"

"อยาก"

"ลองอ้อนกูสิ"