webnovel

chapter 11.1

บทที่ 11

[นับหนึ่ง]

น่าอาย น่าอายสุดๆ

ผมพูดประโยคน่าอายแบบนี้ออกไปได้ยังไงเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ!

โคตรเลี่ยนเลยให้ตายสิ

หลังจากพูดออกไปแบบนี้แล้วแผ่นหลังของผมมันก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเพราะตื่นเต้นมากเกินไปเลยทำให้เหงื่ออกมามากมายจนควบคุมไม่ได้ แม้กระทั่งมือยังชื้นไปด้วยเหงื่อเลย

ยิ่งเห็นควินซ์นิ่งงันไม่ตอบโต้แบบนี้แล้วยิ่งใจแป้ว... หรือผมจะทำไม่สำเร็จ

แต่ แต่ว่าไอ้เก้าแนะนำมานะ!

มันต้องได้ผลสิ

เอ่อ แต่จะว่าไป... ไอ้เก้ามันแนะนำแค่วันนี้ให้ผมพาควินซ์มาล่องเรือชมวิวดื่มด่ำไปกับบรรยากาศโรแมนติกในค่ำคืนที่ฮ่องกง เมื่อบรรยากาศดีความรู้สึกย่อมดีตามและจากนั้นค่อยให้ผมหยอดคำหวานเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต้องพุ่งชนป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายตื่นตกใจแล้วสร้างเกราะตั้งกำแพงใส่ผม

แล้วดูสิที่ผมทำสิ... เหมาเรือให้มีแค่สองเรา ให้ดอกทิวลิป สองอย่างนี้ล้วนแต่เป็นการเล่นนอกบทของผม แต่ว่าถ้าผมไม่ทำอะไรให้ชัดเจน ควินซ์ก็จะทำเป็นไม่หือไม่อือเมินสิ่งที่ผมพยายามทำ

ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกไปทางไหนแต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร

ผมก็จะต้องยอมรับมันให้ได้

เอ่อ แต่อย่าเงียบนานขนาดนี้ได้มั้ย ใจเสียมากกว่าเดิมอีก!

"ควินซ์" ผมลองเรียกเขาดู

นัยน์ตาสีอ่อนยามแรกดูฉ่ำแววไปด้วยประกายหยดน้ำคล้ายจะร้องไห้แต่ไม่ได้ร้อง เมื่อถูกผมเรียกคล้ายจะได้สติขึ้นมาบ้างแต่ยังคงไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ผมสูดลมหายใจลึกอย่างรอคอยไม่ได้เร่งรัดอะไรไม่ได้บีบบังคับมากไป ได้แต่รอให้ควินซ์พูดออกมาเอง

"...แน่ใจแล้วเหรอที่ทำแบบนี้" เนิ่นนานเกือบห้านาทีกว่าควินซ์จะพูดออกมาได้ประโยคหนึ่ง

ผมขบริมฝีปากเล็กน้อยและพูดช้าๆ เพื่อไม่ให้น้ำเสียงตัวเองสั่น "ถ้าไม่แน่ใจแล้วจะทำแบบนี้เหรอ"

"กูต้องการคำตอบไม่ใช่คำถามย้อนกลับ" ควินซ์สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ และถามซ้ำ "มั่นใจแล้วเหรอที่ขอโอกาสจากกูแบบนี้"

"ใช่"

"โอกาสไม่ได้ให้กันง่ายๆ" ควินซ์ยังไม่รับดอกทิวลิปไปจากมือผม "ถ้าให้แล้วคงให้อีกไม่ได้"

"กูรู้" ผมตอบอย่างจริงจัง

ควินซ์มองผมอย่างหงุดหงิดและกระแทกเสียง "มึงแน่ใจในความรู้สึกกับกูแล้วเหรอ มั่นใจแล้วเหรอว่ามันใช่"

"ถ้าไม่มั่นใจ กูไม่พูดหรอก" ผมถามมันกลับอย่างไม่เข้าใจว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ "แล้วมึงหมายความว่ายังไง พูดให้มันเคลียร์ มึงจะบอกว่าไม่มั่นใจในความรู้สึกกู?"

ผมดูเป็นคนกลับกลอกไม่น่าเชื่อขนาดนั้นเลยเหรอ

พอถูกผมถามเป็นชุดแบบนี้ คนตรงหน้าได้แต่กัดริมฝีปากไม่พูดอะไรแต่มันเป็นการยอมรับกลายๆ ว่า สิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นสิ่งที่มันกำลังคิดอยู่จริงๆ

ความรู้สึกกรุ่นเคืองเกรี้ยวกราดค่อยๆ ขยายวงกว้างขึ้นพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อควบคุมอารมณ์

"มึงคิดว่า...มันไม่ใช่ความรัก?" แววตาของผมวูบไหวไปมา "ควินซ์ อย่าเงียบ"

"มึงลองมาเป็นกูมั้ย" ควินซ์เงยหน้าสบตาผมด้วยแววตาอ่อนล้าจนผมตกใจ "ใช่ กูชอบมึง กูรักมึงมาเป็นสิบๆ ปีแต่มึงไม่เคยเห็นและมึงมองข้ามมาตลอด"

"ควินซ์..." คล้ายมีมือมืดเข้ามากำหัวใจจนเจ็บไปหมด

"แล้วอยู่มาวันหนึ่งที่กูจะตัดใจ เลิกรักเลิกรอแต่มึงกลับ..." เสียงสั่นสะอื้นคล้ายคนจะร้องไห้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ "มึงกลับมาบอกว่ารักกู ขอโอกาสตามจีบกู"

"..."

"มึงว่า...มันน่าเหลือเชื่อมั้ย" ควินซ์เงยหน้าขึ้นเพื่อสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา "กูยังไม่อยากจะเชื่อเลย เอาจริงๆ"

ผมเผยยิ้มเจ็บปวดออกมาเพราะสิ่งที่ควินซ์พูดมันก็ถูกแล้ว ไม่แปลกเลยที่เขาจะไม่มั่นใจในตัวผม ควินซ์หันกลับมาสบตาผมอย่างจริงจังไม่หลบหลีก

"กูอยากให้มึงกลับไปถามตัวเอง"

ผมขมวดคิ้ว...ถามอะไร

ผมยังต้องถามอะไรอีก

ควินซ์พยายามทำตัวเข้มแข็ง "มึงกลับไปถามใจตัวเองให้ดีๆ ก่อน"

"..."

"มึงชอบกูจริงๆ หรือเพราะตอนนี้มึงไม่มีใครนอกจากกู"

คล้ายกับมีค้อนปอนด์ขนาดใหญ่ทุบลงกลางใจของผมให้มันเจ็บปวดร้าวระทมและร่วงหล่นสู่ก้นเหวลึก ผมไม่คิดเลยว่าในใจควินซ์กำลังคิดแบบนี้อยู่ แต่เขาจะคิดแบบนี้มันก็ไม่ผิด ไม่ผิดเลยจริงๆ

ผมไม่สามารถโกรธเขาได้และผมยังรู้สึกโกรธตัวเองมากกว่า

เวลามากมายสูญเสียไปอย่างไร้ค่า มองข้ามความรู้สึกของควินซ์มาตลอด ใช้คำว่าเพื่อนมาพันธนาการไว้ทั้งที่ความจริงแล้วผมนั้น...

"มึงรู้มาตลอดนับหนึ่ง"

"..."

"มึงรู้ว่ากูชอบมึง กูคิดกับมึงมากกว่าเพื่อนมาตลอด"

"..."

"และมึงพูดเองว่าระหว่างเรามันเป็นได้แค่เพื่อน"

ผมพูดอะไรไม่ออกและไม่คาดคิดว่าควินซ์จะยังจำได้

ใช่แล้ว ผมรู้ ผมรู้มาตลอดแต่ผมเลือกที่จะลืมเลือนมันไปจนผมลืมไปแล้วจริงๆ ว่าครั้งหนึ่งควินซ์เคยสารภาพรักกับผม วันนั้นเป็นงานกินเลี้ยงฉลองจบมัธยมปลายและผมไปส่งควินซ์ที่บ้าน สภาพต่างคนต่างกรึ่มแต่ยังคงรับรู้มีสติครบถ้วน

ควินซ์บอกชอบแต่ผมปฏิเสธแถมยังบอกว่าควินซ์เมามาก พูดเพ้อเจ้อ

ภาพในวันนั้นเข้ามาในหัวของผมไม่หยุดราวกับน้ำป่าไหลหลาก ใบหน้าหล่อสวยและอ่อนเยาว์เปื้อนไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดแต่ยังคงพยายามยิ้มให้ผม

'ใช่ กูคงเมาแล้ว มึงอย่าถือสาเลย'

'…'

'พรุ่งนี้ทุกอย่างจะเหมือนเดิม มึงไม่ต้องห่วง ฮึก'

ความร้อนในเบ้าตาทำให้ผมรู้สึกอึดอัดระคนเจ็บปวด ผมหันมาดึงควินซ์เข้ามาในอ้อมกอดแล้วโอบกอดเขาไว้แน่นคล้ายหวาดกลัวว่าถ้าตอนนี้ผมไม่กอดเขาไว้ อีกฝ่ายจะหายไปจากผมตลอดกาล

"ขอโทษ ขอโทษ" ผมพร่ำขอโทษคนในอ้อมกอดอย่างไร้หนทางและอับจน

ควินซ์ไม่ตอบอะไรเพียงซบหน้าลงในอ้อมอกของผมเงียบๆ เขาไม่ได้ร้องไห้แต่ตัวสั่นไม่หยุดและเนิ่นนานเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะสงบลงได้ ผมไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดีเลยกอดเขานิ่งๆ พร้อมกับหัวที่พยายามหาคำพูดดีๆ มาทำให้เขารู้สึกดี

"ไม่ต้องหาคำพูดมาปลอบใจกูหรอก" ควินซ์พูดขัดความคิดผมเหมือนอ่านใจผมออกหมดเปลือก "กูไม่เป็นไร"

"แต่มึง..." แล้วจะบอกว่าไม่เป็นอะไรได้ไง

"ไม่เป็นไร ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นแล้ว" ควินซ์ผลักผมออกเบาๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ราวกับก่อนหน้านี้คนที่ตัวสั่นงกๆ มีท่าทางอ่อนล้าอ่อนแอเมื่อกี้ไม่ใช่ตัวเอง

เล่นเอาผมมึนงงทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม

"นั่งสิ แล้วมาคุยกันต่อ" ควินซ์ตอนนี้ดูจะใจเย็นและกลับคืนสู่ความสุขุมแล้ว

"อะ อ้อ" ผมพยักหน้าแล้วเดินกลับไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างว่าง่าย "ควินซ์..."

"ไม่ต้องขอโทษแล้ว" โบกมือไปมาเพื่อตัดคำขอโทษ "กูเข้าใจมึง กูไม่โทษมึงหรอก ความรักเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ ตอนนั้นมึงไม่ชอบกูก็ไม่เป็นไร"

"อดีตไม่สำคัญ" ควินซ์หลุบตาต่ำมองช่อกุหลาบในมือ "สำคัญที่ปัจจุบันว่ามึงรู้สึกยังไงกันแน่"

"กูชอบ..."

"ยังไม่ต้องรีบตอบ" เบรกผมอีกแล้วจนผมเริ่มนิ่วหน้าอึดอัดที่ไม่ได้พูดออกไป

เมื่อผมถูกสั่งให้เงียบเป็นนัยๆ เลยไม่ได้พูดอะไรอีกเพียงรอฟังควินซ์พูด แต่ผ่านไปเกือบสามนาทีได้ ควินซ์ถึงพูดต่อเหมือนว่าเมื่อกี้ที่เงียบไปกำลังจัดระเบียบความคิดอันวุ่นวายอยู่

"มึงต้องเข้าใจก่อนนะ หนึ่ง" ควินซ์เม้มปากแน่นและลังเลแต่ก็พูดออกมา "ความรู้สึกมึงมันปุ๊บปั๊บ คิดจะรักก็รัก มันทำให้เชื่อยากและกูไม่มั่นใจ"

"กูเข้าใจ" ผมกำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะ "มันคงทำให้มึงตั้งตัวไม่ทันจริงๆ นั่นแหละ"

"กูไม่ได้ดูถูกความรู้สึกมึงแต่กูแค่อยากมั่นใจ" ควินซ์ยิ้มบางแล้วลูบมือไปมา "มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้กำลังฝันไป"

"..."

"กูรอมึงมาขนาดนี้แล้ว"

"..."

"มึงรอกูบ้างได้มั้ย นับหนึ่ง"

น่าแปลกที่ผมฟังแล้วกลับรู้สึกยินดีมากถึงมากที่สุด

"มึง มึงกำลังให้โอกาสกูเหรอ" ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ถามเสียงไม่มั่นคงนัก มือไม้สั่นไปหมด

ควินซ์หน้าบึ้ง "หรือมึงจะไม่เอา?"

"เอา!" ผมรีบตอบเพราะกลัวว่าควินซ์จะเปลี่ยนใจ

"ฮึ" เขาย่นจมูกคล้ายหมั่นไส้ผมแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทางก่อนจะหันกลับมาหาผมแล้วยื่นมือมาตรงหน้าผม "เอามาสิ"

"หา" ผมทำหน้าเอ๋อ

"ทิวลิปน่ะ จะให้มั้ย!" แล้วทำไมต้องทำเสียงโหดด้วยเล่า

เมื่อควินซ์พูดมาแบบนั้นแล้วผมก็รีบยื่นดอกทิวลิปให้ทันที เห็นเขายอมรับดอกไม้แล้วก็ยิ่งโล่งอก แปลว่าเขาให้โอกาสผมแล้วจริงๆ สินะ ขอแค่เขาให้โอกาสผมได้พิสูจน์ตัวเอง ผมจะแสดงให้เขาเห็นถึงความรักความมั่นคงที่ผมมีให้อย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ ให้เขารับรู้ว่าผมรักเขาจริงๆ ไม่ใช่เพียงเพราะผมเหงาไม่มีใครหรือแค่หวงเขาไม่อยากปล่อยให้เขามีคนอื่น

"กินข้าวกันเถอะ"

จริงๆ ยังมีหลายอย่างที่ผมอยากพูดออกไปแต่คิดไปคิดมาแล้วอย่าเพิ่งพูดอะไรจะดีกว่า บรรยากาศแย่ๆ มันกำลังดีขึ้น ผมอย่าไปทำให้มันเสียบรรยากาศเลย

ควินซ์พยักหน้าแล้วเอาแต่ดูดอกทิวลิปในมือ ผมไม่ได้รบกวน ปล่อยให้เขาอยู่เงียบๆ จัดระเบียบความคิดสักพัก

ไม่นานนักอาหารมื้อค่ำที่ผมสั่งเตรียมไว้ก็ถูกนำมาเสิร์ฟ มีทั้งของโปรดควินซ์และผม หลังจากได้กินอาหารของโปรดแล้วดูเหมือนควินซ์จะมีสีหน้าดีขึ้นตามลำดับ

หลังจากกินอาหารที่นี่เสร็จแล้วผมชวนควินซ์ไปเดินเล่นต่อแถวย่านการค้าดัง คิดว่าในยามค่ำคืนแบบนี้คงคึกคักน่าดู

"ก็ได้ แต่คงเดินเล่นได้ไม่นานนะ" ควินซ์เอ่ยเตือน "เราเพิ่งเดิน ควรกลับไปพักแล้วไหนจะมีบินไปปักกิ่งอีก"

"รู้แล้ว" ผมคิดว่าไหนๆ ก็มาทั้งที่ก็เที่ยวให้คุ้มสักหน่อย

เมื่อมาถึงย่านการค้าแล้วเห็นร้านรวงขายอาหารข้างทางน่าสนใจเลยชักชวนควินซ์ให้ลองกินดู แต่อีกฝ่ายส่ายหน้าบอกว่ายังจุกท้องอยู่ ไม่กิน

ผมเลยกินคนเดียวแต่ว่ากินคนเดียวดูจะเหงาไปเลยสั่งให้ผู้ติดตามที่เดินเป็นขบวนตามหลังไปซื้อมากินด้วย ควินซ์เห็นผมทำแบบนี้แล้วก็หัวเราะขำๆ

"ของทอดอย่ากินเยอะ" ควินซ์เตือน "ของทอดๆ มันๆ ไม่ดี"

"แต่มันอร่อย"

"สุขภาพ"

"ครับ"

ไม่เถียงก็ได้

เลือกซื้อขนมอีกนิดหน่อยแล้วก็กลับบ้านกัน กว่าจะมาถึงบ้านก็เกือบห้าทุ่มเล่นเอาหมดแรงเลยจริงๆ แต่ถึงยังงั้นแล้วผมยังต้องเคลียร์งานต่อ อันที่ทำค้างไว้เมื่อบ่ายแก่ๆ นั่นแหละ

เป็นงานด่วนที่ต้องประชุมตอนเช้าของวันจันทร์นี้เลย พรุ่งนี้ก็วันอาทิตย์แล้ว เพิ่งเคลียร์เสร็จไปได้ครึ่งหนึ่งเอง

"อาบน้ำก่อนเดี๋ยวค่อยลงมาทำ" ผมหันไปบอกควินซ์ "หรือมึงจะนอนก่อนก็ได้"

"เจ้านายยังทำงาน ไหนเลยเลขาฯจะกล้าพัก" พูดติดตลกแล้วควงแขนลากผมเดินขึ้นไปชั้นสอง

แน่นอนว่าผมต้องอึ้งไปกับการใกล้ชิดแบบนี้ แต่ตื่นตระหนกได้ไม่นานพลันสงบใจได้และคิดว่ามันก็ไม่มีอะไรผิดเพราะเราสองคนได้เข้าสู่ช่วงทดลองเรียนรู้กระชับความสัมพันธ์กันแล้ว

ใกล้ชิดสนิทสนมแบบนี้สิ ถูกต้องที่สุด!

ผมเดินหน้าบานไปส่งควินซ์ที่หน้าห้องนอนก่อนตัวเองจะหมุนตัวเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี อาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าเรียบร้อยแล้วค่อยลงมาข้างล่าง คิดว่าตัวเองอาบน้ำเร็วแล้วนะ แต่ดูเหมือนควินซ์จะไวกว่า

เขาอยู่ในชุดนอนเรียบง่ายและกำลังนั่งจัดเรียงลำดับความสำคัญของแฟ้มงานอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ บรรยากาศรอบตัวที่อบอุ่นชวนสบายตายิ่งทำให้ประกายอ่อนโยนในดวงตาของผมฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ

"อันไหนต้องจัดการก่อน" ผมถามพลางทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างเขา

"สองอันนี้" นิ้วเรียวยาวสวยเคาะไปที่แฟ้มสีน้ำเงินเข้มสองอัน "เป็นแผนงานต่างๆ แล้วก็งบประมาณการลงทุน รายชื่อนักลงทุน ลองดู"

สีหน้าของผมเปลี่ยนเป็นจริงจังและเคร่งขรึมขึ้นหลังจากได้ยิน จากท่าทางเอื่อยเฉื่อยเป็นไปทันควัน กลับมาเป็นบอสหนุ่มผู้เด็ดขาด ผมพลิกอ่านเอกสารอย่างละเอียดพบว่ามันค่อนข้างแปลกในบางจุดจึงยื่นให้ควินซ์ดูอีกครั้ง

"ปัญหาอยู่ที่ตรงนี้" ควินซ์ชี้ให้ดู "งบประมาณสูงไป ไม่น่าจะขนาดนี้"

ผมพยักหน้าเข้าใจแล้วแยกแฟ้มไปอีกทาง คิดว่าปัญหานี้คงต้องมีการประชุมไต่สวนกันสักหน่อย ทำงานไปจนเวลาล่วงเลยไปตีสามก็ยังไม่เสร็จแต่ความง่วงเริ่มจู่โจม

หันจะบอกควินซ์ว่าเช้าค่อยทำต่อแต่ภาพที่เห็นทำเอาผมไม่รู้จะพูดยังไง เลขาฯของผมหลับไปแล้วแต่มือยังไม่ยอมปล่อยแฟ้มไปอีก ส่ายหัวเบาๆ แล้ววางมือจากงานก่อนจะหยิบแฟ้มออกจากมือควินซ์อย่างเบามือจากนั้นค่อยช้อนตัวคนร่างบางขึ้นมาในท่าเจ้าสาวแล้วเดินกลับขึ้นชั้นสอง

เนบิวล่าเดินตามหลังมาเงียบๆ อย่างรู้หน้าที่ เขามาเปิดประตูห้องนอนของควินซ์ให้เสร็จก็จากไป

วันนี้ผมอุ้มควินซ์สองรอบแล้วจึงได้รู้ว่าคนในอ้อมกอดนั้นตัวบางมากกว่าที่คิดเยอะมาก น้ำหนักตัวน้อยแถมผอมแห้งอีก ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองใช้งานเลาขาฯคนนี้หนักเกินไปหรือเป็นอีกฝ่ายที่กินน้อย

"ต้องขุนให้อ้วนแล้ว" จะได้จับถลัดมือหน่อย

ใช่ๆ สะโพกกับก้นดูไม่เต็มไม้เต็มมือเท่าไร... เฮ้ย เดี๋ยวสิ ผมกำลังคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!

.ใบหน้าหล่อเหลาแดงซ่านขึ้นมากะทันหันอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมรีบวางร่างของควินซ์ลงแล้วห่มผ้าเปิดแอร์ให้เขาอย่างเร่งรีบและรีบจากไปอย่างเร่งร้อน

ทันทีที่ผมปิดไฟประตูห้อง คนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้วกลับลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด…

...

...

...

นัยน์ตาขยับไปมองทางประตูห้องเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมาจากนั้นพลิกตัวไปอีกด้าน หน้าต่างห้องของเขาไม่ได้ปิดม่านทำให้แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาเลยทำให้เห็นอะไรๆ รอบกายชัดขึ้นมาบ้าง

บนตู้เตี้ยๆ ข้างเตียงมีแจกันดอกไม้วางอยู่และดอกไม้ที่ปักอยู่ในแจกกันก็คือดอกทิวลิปที่ได้มาจากนับหนึ่งในวันนี้

มุมปากค่อยๆ ยกขึ้นอีกนิดก่อนจะปิดเปลือกตาลงจมดิ่งสู่ห้วงความฝันแสนหวาน...

"โอ๊ยย เมื่อยๆ เมื่อยไปหมด!"

ผมร้องโวยวายทันทีหลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแต่ภายในสนามบินยังเต็มไปด้วยผู้คน ผมมองคนข้างกายที่เดินถือกระเป๋าถือแก้วนมร้อนท่าทางดูปกติสดชื่นไม่เหมือนผมที่ล้าไปทั้งตัว

"แก่แล้วนะมึง" ควินซ์เหล่มองแล้วยักคิ้วให้ "คนแก่จะเมื่อยบ่อยก็ไม่แปลก"

"มึงว่าใครแก่" ผมฉุนกึกเลย "มึงแก่กว่ากูห้าเดือน!"

"อ้อ งั้นเหรอ" ทำหน้าประมาณว่าแล้วไงให้ผม เห็นแล้วอยากจะถีบสักเปรี้ยงด้วยความหมั่นไส้จริงๆ "รีบกลับบ้านนอนกันดีกว่า พรุ่งนี้ประชุมแต่เช้า"

พอได้ยินเรื่องงานแล้วยิ่งห่อเหี่ยวไปทั้งใจเลยจริงๆ ผมเดินคอตกตามควินซ์ไปยังลานจอดรถ ข้างหน้าควินซ์มีบอดี้การ์ดเดินนำอยู่สี่คน ข้างหลังและรอบๆ ตัวพวกเราอีกแปดคน เป็นการปรากฏตัวที่โอเว่อร์จริงๆ

เนบิวล่ากดโทรศัพท์ยิกๆ อยู่ข้างผมราวกับกำลังทะเลาะกับใครอยู่

"หน้าตาเครียดเชียว เป็นอะไร" ผมถามอย่างไม่ตั้งใจ

"ไม่มีอะไรครับ" เนบิวล่าปิดโทรศัพท์เก็บไปแต่สีหน้ายังบึ้งตึง "แค่คนงี่เง่าคนหนึ่ง"

"แฟน?" เหมือนจะเคยพูดถึงอยู่ "ทะเลาะกัน? จะไปง้อมั้ย?"

ผมรู้สึกว่าตอนนี้ผมก็มีผู้ติดตามมีบอดี้การ์ดเยอะแล้วนะ ถ้าเนบิวล่าจะกลับไปสักคนก็ไม่มีอะไรเสียหาย

"เขาอยู่ที่เมืองนี้" เด็กหนุ่มถอนหายใจพลางล้วงกระเป๋ากางเกง "อยากให้ผมกลับไปนอนพักที่บ้านเขาแต่ผมบอกว่าทำงาน ไปไม่ได้เลย..." ยักไหล่ไม่พูดต่อแต่ก็รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น

"เลิกงานก็ไปนอนบ้านแฟนก็ได้นี่" ผมเองก็มาปักกิ่งหลายเดือนแล้ว แน่นอนว่าคฤหาสน์ของพี่ออสตินนั่นมีคนดูแลแทบทุกตารางเมตรในบ้าน ขาดเนบิวล่าไปหนึ่งคนก็ไม่เป็นไร

"ไม่ได้ๆ ผมรับเงินจากบอสมาเยอะ" เนบิวล่าส่ายหัวหน้าซีด "ขืนเขารู้ว่าผมทำงานไม่เต็มที่คงเจ็บหนักแน่"

เขาเอาพี่ผมมาอ้างแบบนี้แล้วก็พูดอะไรไม่ได้อีก ผมไหวไหล่เป็นเชิงว่าตามใจแล้วกันแต่ผมยังโน้มน้าวว่าสามารถไปเจอแฟนได้นะ เขาฟังแล้วดูลังเลนิดหน่อยแต่ไม่ได้รับปากอะไร

สรุปเมื่อเนบิวล่าไม่ยอมไปหา แฟนหนุ่มของเด็กนี่มันบุกมาถึงบริษัทผมเลยครับ

"ไปกินอะไรมื้อดึกหน่อยเถอะ" ควินซ์ชวนเมื่อเราขึ้นมาบนรถแล้ว

"ได้" ผมคิดเล็กน้อยก่อนจะสั่งให้คนขับรถไปหาพวกร้านข้าวต้มร้านโจ๊กอะไรเทือกๆ นั้น ถ้าเป็นที่เมืองไทย เวลานี้คงไปหาพวกร้านข้าวต้มโต้รุ่ง จะว่าไปอยากกินข้าวต้มกับยำไข่เค็มขึ้นมาซะงั้น

หลังจากหาอะไรกินแล้วจนเดินทางมาถึงคฤหาสน์หรูบ้านในปักกิ่งก็ปาไปตีสองกว่าได้ พรุ่งนี้มีประชุมเก้าโมง

"ให้เลื่อนประชุมมั้ย" ควินซ์ถามความเห็นผมเมื่อเราเข้ามาในบ้านแล้ว

"ไม่ต้อง" ผมมองไปรอบๆ บ้านแม้ว่าจะไม่ได้มาอยู่หนึ่งเดือนก็ยังคงสะอาดไม่มีไรฝุ่น "ทำตามกำหนดเดิมเถอะ"

ควินซ์พยักหน้ารับแล้วเดินแยกไปห้องนอนของตัวเอง ผมมองตามแผ่นหลังบางไปแล้วครุ่นคิดอยู่ว่าพรุ่งนี้มีเวลาว่างตอนเที่ยง ควรชวนควินซ์ไปร้านอาหารเปิดใหม่ดีมั้ยนะ

วันนี้ตอนเช้าที่เรายังอยู่ฮ่องกงเพราะงานยังไม่เสร็จเลยต้องทำต่อจนบ่ายถึงจะเสร็จเรียบร้อย ช่วงบ่ายช่วงเย็นเราไปพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซแล้วก็ไปเดินหาอะไรกินตามสตรีทฟู้ดของฮ่องกง

เที่ยวเล่นดื่มกินจนหนำใจแล้วก็บินมาปักกิ่ง บางทีผมก็รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมันรวดเร็วจนไม่รู้จักคำว่าพักผ่อนเลย ทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมด เช้าอยู่ที่หนึ่ง เย็นอยู่อีกที่

เมื่อก่อนสมัยทำงานแรกๆ ก็ไฟแรงสูงบินไปนั่นไปนี่บ่อย ทำงานหกวันต่อสัปดาห์ก็ยังไม่รู้สึกอะไร

พอตอนนี้เริ่มรับรู้แล้วว่าการใช้ชีวิตที่ผ่านมามันเหนื่อยขนาดไหน

หรือสงสัยผมเริ่มแก่?

ไม่สิ เพิ่งสามสิบเอ็ดใกล้สามสิบสองจะรีบเอาอะไรมาแก่

น่าจะเป็นเพราะผมกำลังจะสร้างครอบครัวและกำลังจะแบ่งเวลาไปใช้ชีวิตให้มากกว่า

"นั่นสินะ เราจะเบาเรื่องงานบ้างแล้ว" พี่ออสตินเขาก็เบาเรื่องงานลงไปแล้ว ทำตัวเป็นประธานลึกลับเป็นมังกรเห็นหัวไม่เห็นหางไปแล้ว กุมอำนาจทำงานหลังม่านอย่างสบายๆ

แล้วสักแป๊บก็คิดถึงคำพูดนับสองขึ้นมาได้

'หาเงินได้เยอะไปแล้วไม่ใช้ซื้อความสุขให้ตัวเองแล้วจะหาเงินไปทำไม'

'ไม่รีบใช้ชีวิต ระวังแก่ไปแล้วจะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ไหวนะ'

ผมขบคิดตามคำพูดน้องแล้วพบว่ามันก็ถูกทุกอย่าง ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินคิดแผนการในอนาคตของตัวเอง หลังจากตัดสินใจได้แล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาผู้ช่วยชาวจีนคนหนึ่ง

'ปรับตารางงานใหม่ ฉันไม่ทำงานวันเสาร์แล้ว'

เริ่มต้นจากเพิ่มวันหยุดให้ตัวเอง

คิดว่าพรุ่งนี้คงมีคนตกใจจำนวนมากแล้วก็อารมณ์ดี

"พรุ่งนี้ควินซ์จะทำหน้ายังไง อยากรู้จัง"

คงต้องตกใจแล้วดีใจแน่ๆ เลย