webnovel

บทที่ 1 ผู้หลบซ่อนจากกาลเวลา

เทมส์นั่งมองพระอาทิตย์เคลื่อนผ่านกลุ่มเมฆปุกปุยแล้วผุบหายไปหลังเส้นขอบฟ้าสีเทา แสงสุดท้ายฉาบนภาให้กลายเป็นทะเลเพลิงก่อนจะปราชัยให้ความมืดและพระจันทร์

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสะท้อนกับดวงไฟที่ถูกจุดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ท้ายที่สุดพื้นโลกก็ถูกแต่งแต้มด้วยแสงนีออนจนสุกสกาวยิ่งกว่าพระจันทร์คืนนี้

เขตชานเมืองค่ำเร็วกว่าพื้นที่ชุมชนเป็นเท่าตัว ไม่ต้องพูดถึงจุดชมวิวเรียบหน้าผาอันห่างไกล ความมืดมิดปิดกั้นสายตาผู้คนจนมองเห็นแค่ไฟจากตีนเขา เสียงแกรกกร๊ากของกิ่งไม้และกลุ่มจิ้งหรีดเรไรที่กระซิบกระซาบกันหลังดงหญ้าสร้างบรรยากาศน่าสะพรึงให้กับคนขวัญอ่อน แต่ไม่ใช่กับเด็กหนุ่มบนม้านั่งอย่างเทมส์

ความมืดไม่ทำให้เขาอึดอัด กลับกันเทมส์ใช้ชีวิตกับโลกเบื้องหลังแสงอาทิตย์มานับสิบปี มันเป็นทั้งมิตรและครูที่มอบโอกาศให้เขา

ที่เขาเกลียดชนิดทนไม่ไหวคือความเงียบต่างหาก

เพราะความเงียบเท่ากับความตาย

โลกของเทมส์ไม่เหมือนกับโลกนี้ ไม่มีทั้งไฟฟ้าหรือรถราอุ่นหนาฝาคลั่ง ไม่มีเพื่อนบ้านใจดีที่ค่อยนินทาลับหลัง ไม่มีความผาสุขที่ซุกซ่อนด้วยความฟ้อนเฟะของเหล่าผู้มีอำนาจ

ซอมบี้ ผู้มีพลังจิต สัตว์กลายพันธุ์ หรือแม้แต่พืชกินคน มีให้เห็นทั่วไปบนโลกของเขา 'วันสิ้นโลก' ผู้เหลือรอดแสนน้อยนิดท่ามกลางทะเลศพนองมหาสมุทรเรียกโลกหลังยุคโลกาวินาศเช่นนั้น

ผู้คนซ่อนตัวจากความป่าเถื่อนที่ถาโถมเข้ามาจากข้างนอกกำแพง แม้จะมีผู้มีพลังจิตเป็นดั่งฮีโร่ปกป้องฐานที่มั่นสุดท้ายเพื่อความอยู่รอด ท้ายที่สุดพลังที่มนุษยชาติคิดว่ายิ่งใหญ่หนักหนาก็ต้องสยบต่อชะตากรรมที่ใครบางคนกำหนดไว้

มนุษย์ถูกฆ่าจนหมดสิ้น อวสานเผ่าพันธุ์แสนโลภมากและแทนที่ด้วยสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่

เทมส์ก็เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งจากคนจำนวนเจ็ดพันล้านที่เสียชีวิต เขาคิดว่าตนน่าจะตายหลังจากโหมโรงของซอมบี้แต่เมื่อลืมตาอีกครั้งก็พบว่ามาอยู่ในโลกใหม่

กรุ๊ง กริ๊ง

โลกที่ไร้กลิ่นคาวเลือด โลกอันไร้สงครามข้ามสายพันธุ์ โลกซึ่งมีคนเกิดและคนตาย เป็นโลกที่เหมือนกับโลกของเขาสมัยยังไม่เกิดโลกาวินาศ

"ฟู่ว" ลมหายใจยาวๆ ผ่อนออกมา ไหล่เมื่อยขบขยับซ้ายทีขวาทีเพื่อคลายเส้น คล้ายก้อนตะกั่วที่แบกมานานหลุดจากบ่า แขนเรียวเป็นกระบอกไม้ไผ่เท้ากับพนักพิงเย็นเฉียบพลางทอดสายตามองแสงวิบวับ

ไม่มีคลื่นอารมณ์ในแววตาสีเปลือกไม้ ไม่มีความยินดียินร้ายหรือสุขใจที่หลุดพ้นจากนรกนั่นเสียที นัยน์ตาว่างเปล่าเคลื่อนจากด้านหนึ่งไปอีกด้าน ภาพความทรงจำแปลกปลอมแล่นฉิวขึ้นมาในหัว ใช้เวลาไม่เกินอึดใจความทรงจำเก่าและใหม่ก็แยกตัวออกจากกันโดยสมบูรณ์

เขาหลุบตามือมองฝ่ามือซีดชาของตน ลมฤดูร้อนที่ซ่อนไอฝนไม่ทำให้ร่างเล็กสั่นสะท้านแต่อย่างใด และตรงกลางฝ่ามือมีหิ้งห้อยนอนนิ่ง ไม่ขยับหรือเปล่งแสงอย่างที่ควรทำ

ที่นี่ เทมส์คิดขณะมองแมลงตัวจ้อย ที่นี่…ก็แค่นรกแห่งใหม่เท่านั้น

"ฟู่ว" ปลายนิ้วเรียวขึ้นสีม่วงนิดๆ ก่อนจะตัดสินใจลุกยืนแล้วจากเก้าอี้ชมวิว ทิ้งหิ่งห้อยไว้ เมื่อเทมส์หันกลับมามองอีกครั้งเจ้าแมลงเรืองแสงก็เผ่นผิวไปตามกระแสลม ตีปีกไปให้ไกลจากจุดชมวิวโดยไม่หันกลับมาคล้ายปฏิญาณกับตนว่าที่นี่คือที่สุดท้ายที่จะบินมาอีก

ก็แค่แมลงตัวเดียว เทมส์เดินลงบันใดแล้วตรงกลับบ้าน

กรุ๊ง กริ๊ง