webnovel

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

จินเฟยเหยาคิดว่าตนเองเป็นคนที่เอาใจใส่ที่สุด ใจกว้างที่สุด และจิตใจบริสุทธิ์ที่สุดในโลกนี้ นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเพราะเหตุใดคนในโลกนี้จึงชอบรังแกนาง... คิดไม่ถึงว่าน้องชายที่นางดูแลมาจนโตจะทรยศนางเพื่ออนาคตของตัวเอง คิดจะส่งนางไปเป็นเตาหลอมมนุษย์ บังคับให้นางต้องทรยศและเป็นศัตรูกับทั้งตระกูลเพื่อปกป้องชีวิตน้อยๆ ของตน นางเข้าสู่สำนักเซียนอย่างยากลำบาก ทว่าเพราะมีพลังบำเพ็ญต่ำต้อย จึงมักจะถูกคนเอาเปรียบ ถึงแม้โชคร้ายจะกลายเป็นดี ได้ตำราลับบำเพ็ญเซียนพิเศษเฉพาะมาก็ตาม เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเซียนยังอีกยาวไกล ก่อนที่จะเดินสู่จุดสูงสุดต้องป้องกันตนเองให้ได้ก่อน! เซียนไม่ล่วงเกินนาง นางไม่ล่วงเกินเซียน หากเซียนล่วงเกินนาง นางก็จำเป็นต้องร้าย... อ้อไม่ใช่สิ พยายามสู้กลับเพื่อปกป้องตนเอง ดังนั้นนางจึงไร้ยางอายมากขึ้นทุกที...นางสาบานได้ ทั้งหมดเป็นเพราะนางถูกบีบบังคับจริงๆ นะ...

เจิ้งเยวี่ยชูซื่อ · História
Classificações insuficientes
725 Chs

0009 นกในกรง

บทที่ 9 นกในกรง

สภาพของสาวน้อยดีกว่าจินเฟยเหยานิดหน่อย ตรงยังไม่ได้ใช้พลังวิญญาณจนหมดสิ้น มีเพียงแขนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทว่าขาอ่อนยวบเพราะได้รับความตื่นตระหนก

ขณะนี้นางนั่งอยู่บนพื้น เอ่ยอย่างไม่ปะติดปะต่อกันว่า “ข้าฆ่าคนตาย เมื่อครู่ข้าฆ่าคนกับมือ”

จินเฟยเหยาแค่ใช้พลังจนหมด ทว่ากำลังกายไม่ได้รับผลกระทบจึงลุกขึ้นยืนเดินมาข้างกายสาวน้อยแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าตื่นเต้นหรือหวาดกลัว?”

สาวน้อยลูบทรวงอก เอ่ยอย่างเขินอายอยู่บ้าง “ข้าฆ่าคนเป็นครั้งแรก หวาดกลัวจริงๆ ทว่าข้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ไม่ช้าก็เร็วต้องพบกับเรื่องเช่นนี้”

จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น มองจินเฟยเหยาในดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่ไม่เข้าใจ “ใจของข้าเต้นแรงมาก น่าจะเป็นความตื่นเต้นที่เจ้าเอ่ย เหตุใดข้าจึงมีความรู้สึกเช่นนี้ จะทำให้คนรู้สึกว่าข้าเป็นคนที่หลงใหลในการฆ่าคน ในใจมีความคิดชั่วร้ายหรือไม่ หากเกิดจิตมารตอนข้าทะลวงด่านจะทำอย่างไรดี?”

‘คนผู้นี้สมองมีปัญหาหรือไม่?’ จินเฟยเหยามองนาง นึกขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

เห็นนางยังนั่งอยู่บนพื้น จินเฟยเหยาก็เดินไปถึงด้านหน้าศพบุรุษดาบใหญ่ที่ไหม้เกรียม ดึงกระบี่สีขาวของสาวน้อยออกมา เป็นกระบี่ดีจริงๆ ด้วย ตัวเล่มสีขาวน้ำนม ตัวกระบี่ไม่ทราบทำจากกระดูกของสัตว์ประเภทใด ด้ามกระบี่ก็เป็นวัสดุแบบเดียวกัน นางมองดูอย่างละเอียด ระหว่างด้ามกระบี่และตัวกระบี่ไร้รอยเชื่อมต่อ ท่าทางจะเป็นวัสดุชนิดหนึ่งที่หลอมขึ้น

ทันใดนั้นนางก็พบว่าข้างซากศพของบุรุษดาบใหญ่มีกระเป๋าเก็บของร่วงลงมา ยันต์อัคคีเป็นแค่เปลวไฟธรรมดาดังนั้นกระเป๋าเก็บของจึงไม่ถูกเผาเสียหาย

นี่เป็นสิ่งที่นางต้องการที่สุดในตอนนี้ ไม่แน่ว่าด้านในจะมีสิ่งของมีค่า จินเฟยเหยาเปิดกระเป๋าเก็บของออกทันทีคิดจะดูว่าด้านในมีอะไร

“ที่ข้ายังมียาเสริมพลังอยู่อีกสามเม็ด คาดว่าเมื่อครู่เจ้าคงใช้พลังวิญญาณจนหมดเกลี้ยง โปรดรับไว้เถอะ” สาวน้อยหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเก็บของ เอ่ยกับจินเฟยเหยาอย่างจริงใจ

จินเฟยเหยาก็ไม่เกรงใจ รับขวดหยกมาอย่างสง่าผ่าเผย สาวน้อยกลืนยารักษาอาการบาดเจ็บลงไปเม็ดหนึ่ง นั่งลงขัดสมาธิรักษาบาดแผล ส่วนจินเฟยเหยาไม่ได้กินยาเสริมพลัง เพียงแค่ใส่ขวดหยกไว้ในอก นั่งลงตรวจสอบกระเป๋าเก็บของข้างกายาสาวน้อย จินเฟยเหยาคืนกระบี่สีขาวเล่มนั้นให้สาวน้อยแล้ว นางยังคิดจะให้สาวน้อยผู้นี้พานางไปเมืองลั่วเซียนอยู่

“คนผู้นี้ยากจนเกินไปแล้ว หรือว่าสิ่งของดีๆ จะอยู่ที่อีกคนหนึ่งหมด? ทว่ากระเป๋าเก็บของของคนผู้นั้นถูกไฟนรกเผาจนเกลี้ยง แต่สิ่งของที่ถูกไฟนรกเผาจนหมดย่อมไม่ใช่ของดีอะไร” จินเฟยเหยาค้นกระเป๋าเก็บของรอบหนึ่ง นอกจากศิลาวิญญาณชั้นล่างสามก้อน และชิ้นส่วนที่เสียหายของอาวุธเวทชั้นล่างสองชิ้น ก็เป็นของใช้ในชีวิตของคนธรรมดากองหนึ่ง

เมื่อไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากตัวของคนผู้นี้ จินเฟยเหยาก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็นสาวน้อยที่อยู่ข้างกาย เห็นสาวน้อยนั่งเข้าฌานเสร็จสิ้น นางก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามาอยู่ที่นี่คนเดียวได้อย่างไร ทั้งยังถูกสองคนนั้นตามฆ่าด้วย เห็นการแสดงออกของเจ้าเมื่อครู่ เจ้าคงออกเดินทางไกลเป็นครั้งแรกสินะ?”

สาวน้อยหน้าแดง พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าแอบหนีออกมา ก่อนหน้านี้พวกศิษย์พี่ต่างบอกว่าภายนอกมีคนเลวมากมาย ทว่าคิดไม่ถึงว่าข้าเพิ่งออกมาไม่นาน ก็พบเข้ากับคนเลวสองคนนี้ พวกเขาแสร้งไปทางเดียวกับข้า ความจริงกลับคิดจะปล้นฆ่าข้า หากมิใช่สหายเซียนยื่นมือช่วยเหลือ เกรงว่าข้าคงถูกสองคนนี้ฆ่าตายไปแล้ว”

ฟังคำพูดของนาง จินเฟยเหยารู้สึกว่าสตรีผู้นี้ต้องผิดปกติแน่ สตรีผู้หนึ่งเดินทางร่วมกับบุรุษแปลกหน้าสองคน ไม่ถูกขายไปที่หอเตาหลอมมนุษย์ก็นับว่านางโชคดี

“ข้าจะไปเมืองลั่วเซียน เจ้ามีความคิดอย่างไร จะให้ข้าส่งเจ้ากลับไปหรือไม่?” จินเฟยเหยามองนางแล้วยิ้มตาหยี ถ้าส่งนางกลับไป ต้องได้รับของตอบแทนไม่น้อยแน่ๆ

สาวน้อยตาเป็นประกาย เอ่ยอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง “ข้าก็อยากไปเมืองลั่วเซียน เจ้าพาข้าไปด้วยดีกว่า”

ไปเมืองลั่วเซียน? พอดีเลย ประหยัดเวลาในการส่งนางกลับบ้าน จินเฟยเหยาแสร้งเอ่ยอย่างลำบากใจ “เอ่อ...ไม่ใช่ข้าไม่พาเจ้าไป เพียงแต่บนตัวข้าไม่มีศิลาวิญญาณเลย เกรงว่าเจ้าจะทนลำบากกับข้าไม่ไหว”

สาวน้อยกลัวจินเฟยเหยาจะทิ้งนางไว้ จึงรีบตบอกเอ่ยว่า “เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ ตอนข้าออกมาพกศิลาวิญญาณมาด้วย เพียงพอให้พวกเราสองคนไปถึงเมืองลั่วเซียนได้สบายๆ”

จินเฟยเหยาอิดเอื้อนอยู่ครู่หนึ่ง จึงฝืนใจรับปากพานางไปด้วย เห็นสาวน้อยลิงโลดอย่างเต็มหัวใจ จินเฟยเหยาก็แอบยินดี เป็นคนที่ดูออกง่ายจริงๆ

ในเมื่อต้องพานางเดินทางไปด้วย ย่อมต้องแจ้งชื่อแก่กัน

จินเฟยเหยาจึงเอ่ยกับสาวน้อยว่า “ข้าชื่อจินเฟยเหยา ใกล้จะเต็มสิบสี่แล้ว เป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่เพิ่งเข้าสำนักได้ไม่นานก็ไร้สำนัก เจ้าล่ะ?”

สาวน้อยแย้มยิ้มเผยให้เห็นฟันขาวดุจหิมะแล้วเอ่ยว่า “ข้าชื่อสยงเทียนคุน เป็นศิษย์สำนักอวิ๋นซาน ปีนี้อายุสิบหกปี โตกว่าเจ้านิดหนึ่ง”

“สยงเทียนคุน? ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าต้องอยากมีบุตรชายแน่ ตั้งชื่อให้เจ้าเหมือนผู้ชายเลย” จินเฟยเหยารู้สึกว่าน่าขำมาก สาวน้อยที่งดงามหยาดเยิ้ม ถึงกับมีชื่อเช่นนี้

ใบหน้าของสยงเทียนคุนแดงก่ำอย่างยิ่งทันที เอ่ยอย่างอิดเอื้อนว่า “เดิมทีข้าก็เป็นผู้ชายอยู่แล้ว”

รอบด้านเงียบกริบ สยงเทียนคุนมองจินเฟยเหยาที่จับจ้องมองเขาแน่วนิ่งด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างอับอายอยู่บ้าง ถึงแม้ตนเองจะหน้าตางดงาม ก็ไม่น่าทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเด็กสาวนะ อีกอย่างพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักก็ไม่มีใครเคยบอกว่าตนเองเหมือนสตรี

ทันใดนั้นจินเฟยเหยาก็ตีหน้าขรึมเดินเข้ามาหาตรงๆ แล้วก็ใช้มือดึงคอเสื้อของสยงเทียนคุนออกแล้วมองเข้าไปดูตรงทรวงอก จากนั้นนางก็รีบช่วยเขาจัดการเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เปลี่ยนเป็นเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ “พี่สยง ข้าว่าพวกเราออกเดินทางก่อนดีกว่า เรื่องอื่นๆ ค่อยคุยกันระหว่างทาง ข้ามีม้าตัวหนึ่ง ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้พี่สยงใช้พาหนะอะไร?”

สยงเทียนคุนรู้สึกเหมือนถูกคนล่วงเกิน อยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา มองดวงตาใสซื่อของจินเฟยเหยา เขาไม่รู้ว่าต้องซักไซ้ไล่เลียงการกระทำในชั่วพริบตาเมื่อครู่หรือไม่

“หรือว่าพี่สยงเดินมา? หรือว่าเจ้าสามารถขี่กระบี่บินได้?” จินเฟยเหยามองเขาด้วยสีหน้าคาดหวัง

สยงเทียนคุนเองก็ไม่เหมาะจะซักไซ้เรื่องเมื่อครู่ ตอนนี้จึงนึกได้ว่าตนเองนั่งรถม้ามา ส่วนรถม้าก็ไม่พบเห็นร่องรอยตั้งนานแล้ว จึงได้แต่เอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ข้านั่งรถม้ามา เพียงแต่ถูกพวกเขาสองคนทำเช่นนี้ รถม้าก็หายไป”

น้ำเสียงของเขายังแฝงความเป็นเด็กอยู่บ้าง มิน่าเล่าจินเฟยเหยาถึงจำเพศของเขาผิดไป เห็นตอนนี้มีม้าเพียงตัวเดียว เกรงว่าต้องขี่ด้วยกัน

ฟังข้อเสนอของจินเฟยเหยา สยงเทียนคุนก็สั่นศีรษะราวกับกลองป๋องแป๋ง ต่อให้ตายเขาก็ไม่ยอมนั่งม้าร่วมกับจินเฟยเหยา อย่างไรเสียเขาก็เป็นบุรุษ จะเบียดอยู่กับสตรีได้อย่างไร

“เหตุใดเจ้าจึงคร่ำครึขนาดนี้ พวกเราเป็นผู้เดินในวิถีบำเพ็ญเซียนอันยากลำบาก ข้อแตกต่างระหว่างบุรุษสตรีเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าก็เห็นอยู่ในสายตา หรือว่ามหามรรคในสายตาของเจ้าเล็กน้อยขนาดนี้เลยหรือ? แค่รีบไปถึงเมืองข้างหน้าแล้วค่อยเปลี่ยนม้าก็ใช้ได้ ข้าจะกินเจ้าหรืออย่างไร”

ถูกจินเฟยเหยาสั่งสอนอย่างเฉียบขาดรอบหนึ่ง สยงเทียนคุนที่ใสซื่อก็รู้สึกว่าตนเองได้ประโยชน์อย่างมาก ได้เรียนรู้อะไรไม่น้อย ติดตามจินเฟยเหยาอย่างโง่งมมาถึงข้างลำธาร โชคดีที่ทั้งสองคนตัวเล็ก ม้าไม่รู้สึกว่ามีภาระเพิ่มขึ้นมากนัก

ให้ม้าดำวิ่งเหยาะๆ มาตลอดทาง จินเฟยเหยาฉวยโอกาสสอบถามถึงสภาพของสยงเทียนคุนมากมาย

เจ้าหมอนี่ไม่ใช่คนใสซื่อธรรมดา บิดาเป็นเจ้ายอดเขาคนหนึ่งในสำนักอวิ๋นซาน มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวมที่จินเฟยเหยาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ส่วนมารดาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงปลาย มีตำแหน่งสูงส่งในสำนักอวิ๋นซาน กำลังเตรียมตัวจะทะลวงขั้นหลอมรวม

สยงเทียนคุนเป็นบุตรที่มีเมื่อบิดามารดาอายุมาก ทั้งยังมีพลังวิญญาณสวรรค์อันเลิศล้ำ ทำให้เจ้ายอดเขายินดีอย่างยิ่ง ตั้งแต่เล็กก็ได้รับความรักใคร่ มีอะไรดีๆ ก็มอบให้เขา ต่อให้เขาหน้าตาเหมือนมารดา ไม่มีท่าทางของบุรุษ คนในสำนักก็ไม่กล้าหัวเราะเยาะเขา

การประลองฝีมือในสำนัก ทุกคนพอจี้ถึงตัวก็หยุดให้เขา ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าลงมือทุบตีเขาจริงๆ บิดามารดาของเขาขึ้นชื่อในเรื่องปกป้องบุตรชายอย่างยิ่ง ภาระหน้าที่ในสำนัก เขาไม่เคยต้องทำเลยสักเรื่อง

มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาแอบตามกลุ่มศิษย์พี่อยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ ไปฆ่าสัตว์ปิศาจขั้นหนึ่ง เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องอันตรายอะไร เขาหลบอยู่ไกลๆ ขนาดขนของสัตว์ปิศาจยังไม่ได้สัมผัส ก็ถูกคนอื่นๆ จัดการจนเกลี้ยง แค่นี้ศิษย์พี่หลายคนยังถูกมารดาของเขาลงโทษจนเกือบจะถูกไล่ออกจากสำนักอวิ๋นซาน สุดท้ายเป็นเพราะศิษย์ของเจ้ายอดเขาอื่นๆ จึงได้ไม่ถูกไล่ออก เพียงแต่ถูกทุบตีอย่างลับๆ จนต้องนอนอยู่บนเตียงครึ่งปีกว่า สุดท้ายมารดาของเขายังส่งศิษย์ขั้นฝึกปราณช่วงปลายสองคนมาติดตามข้างกายเขาโดยเฉพาะ เกรงว่าเขาจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

วิธีปกป้องเช่นนี้ทำให้สยงเทียนคุนที่เดิมทีมีอุปนิสัยอ่อนแออยู่แล้ว ก็ยิ่งอ่อนแอมากขึ้นจนไม่อาจต้านทานแรงลมได้ ขนาดความรู้พื้นฐานทั่วไปก็รู้น้อยนิด มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงกลางเสียเปล่า ประสบการณ์สู้จริงกลับเป็นศูนย์

บวกกับเรื่องที่ศิษย์เหล่านั้นถูกทุบตีจนบาดเจ็บแพร่กระจายออกไป ศิษย์ทั้งสำนักพอเห็นเขาล้วนถอยห่างสามเซ่อ[footnoteRef:1] เกรงว่าพอเข้าใกล้เขาจะทำให้เจ้ายอดเขาสยงนึกว่าพาบุตรชายของเขาไปเสียคน ผลสุดท้ายก็คือ สยงเทียนคุนที่นิสัยอ่อนโยนจริงใจไม่มีสหายที่สามารถพูดคุยด้วยได้สักคน [1: ถอยห่างสามเซ่อ คือ ถอยออกห่างไปไกลๆ เซ่อ คือ หน่วยวัดระยะทาง มีค่าประมาณ 30 หลี่]

เขาแอบหนีออกมาครั้งนี้เป็นเพราะได้ยินศิษย์พี่สองคนที่พูดคุยกับเขาหรือก็คือสองคนที่ถูกส่งมาคุ้มครองเขาพูดคุยกันโดยบังเอิญ

พวกเขาเย้ยหยันสยงเทียนคุนลับหลังว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ พวกเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนแท้ๆ กลับต้องเดินตามหลังเด็กน้อยคนหนึ่งทั้งวัน นอกจากมีผลกระทบกับการฝึกบำเพ็ญประจำวัน ขอเพียงเกิดความผิดพลาดและเหตุไม่คาดฝันเล็กน้อย อาจารย์แม่สยงก็จะลงโทษพวกเขาโดยไม่แยกแยะถูกผิด

ทุกคนเอาความไม่พอใจทั้งหมดไปลงที่ตัวสยงเทียนคุน เห็นชัดว่าไม่กล้าทำอะไรเขา จึงได้แต่ด่าทอและสาปแช่งเขาลับหลัง เรื่องนี้ทำให้สยงเทียนคุนเจ็บปวดยิ่ง ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้

เพื่อหลุดพ้นจากชีวิตในกรงขัง และเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ ไม่ใช่โครงร่างอันว่างเปล่า[footnoteRef:2] สยงเทียนคุนฉวยโอกาสตอนที่พวกศิษย์พี่ที่คุ้มครองตนเองไปเข้าร่วมงานประชุมใหญ่ของสำนักเดือนละครั้งแอบพกพาศิลาวิญญาณและอาวุธเวทที่ใช้ประจำลงจากสำนักอวิ๋นซานอย่างเงียบๆ [2: โครงร่างอันว่างเปล่า คือ ชิ้นงานที่ไม่มีเนื้อหาสาระเป็นรูปธรรม]

เพิ่งลงจากเขาได้ไม่นานก็พบกับสองคนนี้ในเมือง พวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงกลางเช่นเดียวกัน สองคนนี้พอเห็นสยงเทียนคุนเพิ่งลงจากเขา บนตัวยังพกพาสิ่งของดีๆ ไม่น้อย เป็นแพะอ้วนตัวเป็นๆ ก็หาโอกาสพูดตีสนิทกับเขา

สยงเทียนคุนอยู่ในสำนักมาหลายปีไม่มีคนยอมเป็นฝ่ายเข้ามาพูดคุยกับเขา เพิ่งออกมาก็พบคนที่มีน้ำใจเร่าร้อนสองคน ย่อมไม่มีความรู้สึกระวังป้องกัน ในไม่ช้าก็กลายเป็นสหายกับสองคนนั้น ภายใต้การปลุกปั่นของทั้งสองคน เขาก็ติดตามสองคนนั้นไปเมืองลั่วเซียนอย่างโง่งม พอออกจากเขตอิทธิพลของสำนักอวิ๋นซานก็ถูกสองคนนั้นปล้นในป่าแห่งนี้

......................................................