ตอนที่ 2 ผู้อาวุโสที่ไร้ยางอาย
“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะช้าไปครึ่งก้านธูป[footnoteRef:1] คงไม่ใช่กลิ้งลงไปจากถนนหรอกนะ” เสียงของเด็กชายที่ติดจะเย็นชาหน่อยๆ ดังมา จินเฟยเหยาอดขมวดคิ้วเบาๆ ไม่ได้ [1: ก้านธูป คือ หน่วยที่ใช้บอกเวลา 1 ก้านธูป คือ ประมาณ 30 นาที ครึ่งก้านธูปก็ประมาณ 15 นาที]
เบื้องหน้าของนางมีเด็กชายอายุหกเจ็ดขวบคนหนึ่งยืนอยู่ มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณระดับต้น สวมใส่ชุดผู้รับใช้สีน้ำเงินเข้มทั้งตัว สองมือไพล่หลัง เชิดคางนิดๆ มีสีหน้าคุณชายผู้ดีที่ไม่เห็นศีรษะใคร แต่น่าเสียดายที่หน้าตาหนอนไม่แทะสุนัขไม่รับประทาน ไม่มีพลังลาภยศสรรเสริญกดดันคนเลยสักนิด กลับมีท่าทางน่าเกลียดของบ่าวรับใช้ที่ชั่วร้าย
เจ้าเด็กนี่ชื่อว่าติงเต๋อโย่ว เป็นคนที่ตระกูลของอวิ๋นเฟิงเจินเหรินส่งมา ได้ยินว่าเป็นเหลนชายของป้าคนที่แปดของอวิ๋นเฟิงเจินเหริน นับว่าเกี่ยวข้องเป็นคนในตระกูล อายุยังน้อยแต่ไม่รักดี มีพฤติกรรมแบบเดียวกับหลิวเสวี่ยม่าน อาจารย์เป็นเช่นไรก็สอนลูกศิษย์ออกมาเช่นนั้น
จินเฟยเหยายิ้มขออภัย “ศิษย์น้อง เมื่อครู่แพะฉางหลิงสองตัวต่อสู้กัน ดังนั้นจึงมาสายไปหน่อย แต่ว่าน่าจะยังไม่ถึงเวลา”
“หากยังไม่เตรียมตัวอีก เจินเหรินจะต้องรอนะ รีบไปเถอะ” ติงเต๋อโย่วมองนางอย่างไร้ความอดทน สะบัดมือแล้วเดินเข้าไปด้านใน จินเฟยเหยาแบกถังไม้ เร่งฝีเท้าติดตามเขาไป วังอวิ๋นเย่สร้างขึ้นติดกับกำแพงภูเขาของยอดเขาลั่วซี แบ่งเป็นตำหนักหน้าและตำหนักหลัง ตำหนักหน้ามีไว้จัดการธุระและเป็นที่พักของผู้รับใช้ ส่วนตำหนักหลังเป็นที่พำนักของอวิ๋นเฟิงเจินเหริน ตรงกลางใช้สะพานหยกทอดข้ามเชื่อมถึงกัน
สระอาบน้ำสร้างขึ้นด้านนอกของตำหนักหลัง กว้างหนึ่งจั้งกว่าสร้างขึ้นจากหยกขาว ไม่ได้ล้อมกำแพง เพียงแค่ปลูกไผ่เขียวล้อมไว้ด้านหนึ่งอย่างมีสุนทรียิ่ง สามารถแช่น้ำไปพลางชื่นชมทิวทัศน์ด้านนอกของยอดเขาลั่วซีไปพลางได้
สำหรับสระอาบน้ำนี้ จินเฟยเหยารู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง หากยามค่ำคืนสามารถแช่น้ำอยู่ที่นี่ไปพลางดื่มสุราเล็กน้อยชมฟ้าพร่างดาวไปพลาง จะเป็นเรื่องที่มีความสุขเพียงใด ในใจกลับวางแผนการไว้ ถ้าต่อไปมีถ้ำของตนเอง จะต้องสร้างสระอาบน้ำกลางแจ้งให้ได้ นางกลับลืมไปว่าตนเองเป็นสตรี การสร้างสระอาบน้ำกลางแจ้งต้องกั้นอย่างแน่นหนาจนมองไม่เห็นทิวทัศน์ หากไม่กั้นจะทำให้ผู้อื่นมองเห็นได้ นมแพะฉางหลิงในสระอาบน้ำเมื่อวานถูกจัดการอย่างเรียบร้อยไปนานแล้ว จินเฟยเหยาวางถังไม้ลงอย่างระมัดระวัง หยิบไผ่เขียวที่ถูกผ่าครึ่ง นำปลายไผ่เขียวด้านหนึ่งวางตรงรูทางออกด้านล่างของถังไม้ ปลายอีกด้านหนึ่งอยู่ด้านบนของสระน้ำ ดึงจุกไม้ตรงรูออก นมแพะสีขาวขุ่นก็ไหลออกมาตามไผ่เขียวลงในสระอาบน้ำอย่างช้าๆ
เห็นติงเต๋อโย่วหยิบแจกันลายครามลายดอกไม้สีสันสดใสมารองนมแพะตรงรูถังไม้ขวดหนึ่งแล้ววางบนโต๊ะศิลาทางด้านข้าง จินเฟยเหยามองเงียบๆ นมนั่นเก็บไว้ให้อวิ๋นเฟิงเจินเหรินดื่มโดยเฉพาะ ส่วนนมที่เหลือก็แบ่งให้ผู้รับใช้คนอื่นๆ ดื่ม
ติงเต๋อโย่ววางแจกันเรียบร้อย ก็ยืนกอดอกอยู่ด้านข้าง ราวกับกำลังจับตาดูนาง กลัวว่านางจะขโมยของ เห็นนมแพะฉางหลิงในถังไม้ใกล้จะเทหมดแล้ว สระน้ำที่ลึกแค่เข่าก็ใกล้จะเต็ม จินเฟยเหยารู้สึกร้อนใจอยู่บ้าง เหตุใดอวิ๋นเฟิงเจินเหรินจึงยังไม่ออกมาอีก ไม่ได้พบเขามาหลายเดือนแล้ว คงมิใช่หลบหน้านางหรอกนะ
ในขณะนั้นเอง มีเสียงดังมาจากในตำหนักหลัง คนกลุ่มหนึ่งเดินมาทางด้านนี้ จินเฟยเหยาโล่งอก ในที่สุดก็พบเจ้าจนได้ อวิ๋นเฟิงเจินเหรินสวมชุดนักพรตตัวยาว ปลายชุดยาวเผยให้เห็นขาเล็กๆ ที่ไม่ได้สวมกางเกง แก่จนป่านนี้แล้วชัดๆ คิดไม่ถึงว่าขนขายังหนาแน่นผิดปกติ ด้านหลังของเขามีสาวใช้ติดตามสองคน บนถาดในมือของสาวใช้คนหนึ่งมีเสื้อผ้าและผ้าขนหนูผืนใหญ่สำหรับเช็ดตัววางอยู่ ส่วนสาวใช้อีกคนหนึ่งประคองกาสุราและถาดผลไม้
เห็นจินเฟยเหยายังยืนอยู่ข้างสระอาบน้ำ อวิ๋นเฟิงเจินเหรินรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง นิ่งอึ้งไปเล็กน้อยแล้วจึงกลับเป็นปกติ เขาเดินมาถึงข้างสระอาบน้ำ เอ่ยกับจินเฟยเหยาที่คารวะเขาว่า “ช่วงนี้เจ้าทำได้ไม่เลว ข้าพอใจอย่างยิ่ง”
จากนั้นก็เอ่ยกับติงเต๋อโย่วว่า “โย่วเอ๋อร์ เจ้ามอบองุ่นม่วงให้นางพวงหนึ่ง ต้องมาที่นี่ทุกวัน ลำบากนางแล้ว”
ติงเต๋อโย่วรับคำ หยิบองุ่นพวงที่เล็กที่สุดบนถาดที่พวกสาวใช้ยกมาส่งให้จินเฟยเหยา จินเฟยเหยารับองุ่นที่โปร่งใสแวววาวมา รู้สึกหมดคำพูดอย่างยิ่ง ถึงแม้ก่อนมานางจะเตรียมใจแล้ว ทว่าคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะเกินกว่าที่นางคาดคิดไว้ ในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน คิดไม่ถึงว่าจะใช้องุ่นพวงเดียวมาบิดพลิ้วค่านมครึ่งปี
พอคิดว่าตนเองจงใจมาช้าครึ่งก้านธูป ก็เพื่อปิดสกัดเขาขอให้จ่ายศิลาวิญญาณ จะมาถูกองุ่นพวงเล็กๆ พวงเดียวขับไล่ออกไปได้อย่างไร จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างยินดีว่า “ขอบคุณเจินเหริน องุ่นม่วงนี้ต้องใช้ศิลาวิญญาณชั้นล่างสี่ก้อนจึงสามารถซื้อได้หนึ่งชั่ง[footnoteRef:2] ข้าอยากกินมาตลอดก็ซื้อไม่ไหว” [2: ชั่ง คือ หน่วยวัดน้ำหนัก มีค่าประมาณ 0.5 กิโลกรัม]
จากนั้นนางไม่สนใจสายตาเหยียดหยามของติงเต๋อโย่ว นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างสระอาบน้ำเริ่มกินองุ่นคำโต ไม่มีวี่แววว่าจะจากไปสักนิด ขนาดถังไม้ยังโยนไว้ข้างสระอาบน้ำอย่างไม่ไยดี
เห็นนางไม่เพียงไม่รู้สึกตัว ถึงกับยังพัวพันไม่เลิก อวิ๋นเฟิงเจินเหรินก็อารมณ์เสียนิดๆ ด้วยฐานะของข้า ให้เจ้ามาส่งสิ่งของเปล่าๆ ก็นับเป็นบุญของเจ้าแล้ว ยังกล้าคิดเงินอีก ไม่รู้ว่าในสมองคิดอะไรอยู่ ถึงในใจจะอารมณ์เสีย ทว่าให้เขาทำเรื่องไม่จ่ายเงินแล้วไล่คนออกไป เขาก็ยอมเสียหน้าไม่ได้อีก การจ่ายศิลาวิญญาณให้จินเฟยเหยากลับเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคิดเลยสักนิด
อวิ๋นเฟิงเจินเหรินเหลือบมองไปรอบด้าน พบว่าข้างแจกันลายครามลายดอกไม้สีสันสดใสมีชามหยกขาวปากบิ่นใบหนึ่ง ปากชามนั่นหลายวันก่อนตอนเขาดื่มนมแพะฉางหลิง ไม่ทันระวังทำร่วงกระแทกพื้น ส่วนชามใบนี้เขาไปได้มาจากที่ไหนสักแห่ง จำไม่ได้แล้ว
ใจของเขากระตุกยื่นมือไปดูดชามหยกมา จากนั้นเอ่ยกับจินเฟยเหยาอย่างมีเมตตา “ชามหยกใบนี้เป็นของรักของข้า ข้าใช้มันใส่นมแพะฉางหลิงดื่ม สามารถเพิ่มพลังวิญญาณในร่างได้ เจ้าเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญร่างกาย สิ่งนี้เหมาะกับเจ้ายิ่งนัก ข้าขอมอบให้เจ้า”
จินเฟยเหยาจ้องมองชามหยกขาวที่ขอบบิ่นไปอย่างสงสัย รู้สึกว่าของสิ่งนั้นไม่มีพลังวิญญาณแม้แต่น้อย ไม่เหมือนกับอาวุธเวทธรรมดาเลยสักนิด ทว่ารู้สึกว่าถึงอย่างไรเจ้าหมอนี่ก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงปลาย สิ่งของในมือน่าจะไม่ธรรมดา ทุกครั้งที่มาชามใบนั้นก็วางอยู่บนโต๊ะศิลา รอยบิ่นเพิ่งมีเมื่อไม่กี่วันมานี้ ยากจะบอกได้ว่าเป็นเพราะเหตุนี้ ดังนั้นเขาจึงได้คิดจะมอบให้ตนเอง
เห็นจินเฟยเหยานิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น ติงเต๋อโย่วก็ขมวดคิ้วเอ่ยกระชากว่า “นิ่งอึ้งอยู่ทำไม นี่เป็นของล้ำค่า เจินเหรินประทานให้เจ้าถือว่าเจ้าได้เปรียบแล้ว”
จินเฟยเหยาลังเลอยู่นิดหนึ่งก็รับชามใบนั้นมา ยังไม่ทันได้ตรวจดูอย่างละเอียดก็เห็นอวิ๋นเฟิงเจินเหรินโบกมือ ขับไล่อย่างหมดความอดทน “เอาละ พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”
จินเฟยเหยาได้แต่ใส่ชามหยกไว้ในอก เก็บถังไม้ขึ้นและไปจากวังอวิ๋นเย่
ลงมาจากยอดเขาลั่วซี จินเฟยเหยากลับมาถึงที่อยู่ของตนเองที่ยอดเขาชิงเหยี่ย ยอดเขาชิงเหยี่ยก็เป็นเขตอิทธิพลของสามยอดเขา ทว่ากลับอยู่ห่างจากสำนักในค่อนข้างไกล บนภูเขามีทุ่งหญ้าเขียวขจีผืนใหญ่ ดังนั้น ใช้เพาะเลี้ยงสัตว์ปิศาจที่ใช้เป็นอาหารโดยเฉพาะ บ้านไม้หลังเล็กของจินเฟยเหยาก็อยู่ที่ระหว่างทางขึ้นเขา ในรั้วนอกบ้านเลี้ยงแพะฉางหลิงห้าสิบกว่าตัว
เสียเวลาอยู่ที่วังอวิ๋นเย่ไม่น้อย แพะฉางหลิงหิวโหยจนร้องตลอดเวลาที่อยู่ในรั้ว จินเฟยเหยาวางถังไม้นอกบ้าน รีบไปดึงสลักบนประตูรั้วขึ้น แล้วล้วงป้ายหยกสีเขียวครามชิ้นหนึ่งออกมาจากในอก ส่ายไหวใส่แพะฉางหลิง แล้วเดินไปทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์
แพะฉางหลิงห้าสิบตัวเดินออกมาจากประตูคอกตามลำดับอย่างเป็นระเบียบ ติดตามอยู่ด้านหลังของนาง ป้ายหยกสีเขียวครามที่จินเฟยเหยาถือในมือเรียกว่าป้ายคุมสัตว์ ลวดลายสีแดงที่วาดด้านบน เป็นอาวุธเวทควบคุมสัตว์ระดับต่ำที่สุด สามารถควบคุมพฤติกรรมของสัตว์ปิศาจให้เชื่อง เช่น ไม่ออกห่างจากรัศมีของป้ายคุมสัตว์ไกลเกินไป หรือเรื่องง่ายๆ อย่างเดินตามป้ายนี้และอื่นๆ
ทุกคนต่างก็มีพื้นที่ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่กำหนดไว้ ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงนำแพะฉางหลิงตรงมาถึงเนินแห่งหนึ่ง หลังจากนางแขวนป้ายคุมสัตว์ไว้บนไม้ที่ถูกปักไว้ในดินมานานแล้ว คนก็หาสถานที่สบายนั่งลงโดยอัตโนมัติ ส่วนแพะฉางหลิงก็กระจายไปกินหญ้ารอบด้าน
ขอเพียงป้ายคุมสัตว์ยังแขวนอยู่ตรงนี้ แพะฉางหลิงฝูงนี้ก็จะเคลื่อนไหวอยู่ในเขตห้าสิบหมู่[footnoteRef:3]นี้ ไม่วิ่งวุ่นไปทั่ว สัตว์ปิศาจที่ศิษย์คนอื่นๆ เลี้ยงก็จะไม่หนีออกนอกเขตแดนมากินหญ้าในที่ของนาง เพียงแต่ทุ่งหญ้าเขียวขจีห้าสิบหมู่นี้ จินเฟยเหยาใช้ศิลาวิญญาณซื้อผงเร่งโตมาดูแล ถ้าไม่สาดผงเร่งโตทุกสิบวัน หญ้าที่งอกในพื้นที่ห้าสิบหมู่ ก็จะไม่พอให้แพะเหล่านี้กิน [3: หมู่ คือ หน่วยวัดพื้นที่ 1 หมู่ มีค่าประมาณ 666.667 ตารางเมตร]
จินเฟยเหยาฉวยโอกาสนี้ล้วงชามหยกในอกออกมา หยิบมาไว้บนมือมองดูรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน ขัดถูอยู่นาน ดูอย่างไรนี่ก็เป็นแค่ชามหยกธรรมดาที่ปากบิ่นใบหนึ่ง
หรือว่าถูกหลอกแล้ว? พอคิดถึงตรงนี้ พลังวิญญาณในมือของนางก็พุ่งออกมาสำรวจเข้าไปในชามหยก ถึงนางจะบำเพ็ญร่างกาย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้พลังวิญญาณไม่ได้เลยสักนิด อย่างไรจินเฟยเหยาก็เป็นผู้มีพลังวิญญาณผสม ไม่ใช่พลังวิญญาณเทียมที่ใช้พลังวิญญาณไม่ได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เห็นเพียงจินเฟยเหยายืนขึ้น ทุบชามหยกในมือลงกับพื้นอย่างกะทันหัน กระโดดขึ้น กระทืบชามหยกอย่างดุร้าย จากนั้นนางก็ตะโกนออกมาด้วยความเจ็บใจ ทำให้แพะฉางหลิงหลายตัวเงยหน้าที่กำลังเล็มหญ้าอยู่ขึ้นมองนางอย่างแปลกใจ
“ข้าถูกหลอกแล้ว ของล้ำค่าบ้าบออะไรกัน แค่ชามหยกธรรมดาชัดๆ คนที่มีศักดิ์ฐานะขนาดนี้ ถึงกับบิดพลิ้วศิลาวิญญาณสิบกว่าอันของข้า ข้าจะกระทืบเจ้าให้ตาย กระทืบเจ้าให้ตายเลย ตาแก่สารเลว” จินเฟยเหยากระทืบไปพลางด่าทอไปพลาง ด่าทอจนพอแล้ว คิดๆ ดูก็รู้สึกไม่คุ้มค่า นางจึงนั่งยองๆ ลงอีกครั้งขุดชามหยกที่ถูกเหยียบจนจมดินออกมา ถึงจะไม่ใช่อาวุธเวท ก็ยังเป็นชามหยก นำไปในเมืองก็สามารถเปลี่ยนเป็นเงินเล็กน้อยได้ ถึงแม้การค้าของผู้บำเพ็ญเซียนในเมืองรอบด้านใช้ศิลาวิญญาณ ทว่าชาวบ้านธรรมดาในเมืองยังใช้เงินทองค้าขายกันอยู่ มีเพียงสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการฝึกบำเพ็ญจึงใช้ศิลาวิญญาณ นางนึกถึงรอยปะชุนบนกางเกงของตนเองขึ้นได้ ไปตัดกระโปรงสีเดียวกันได้พอดี จะได้ไม่ต้องเสียศิลาวิญญาณตัดชุดใหม่ในสำนัก
“เมื่อไหร่จะสลัดชุดคนรับใช้แบบนี้ทิ้งได้นะ น่าเกลียดเกินไปแล้ว” เมื่อคิดถึงชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว จินเฟยเหยาก็รู้สึกอารมณ์เสีย ถึงแม้จะเป็นสีเทาเช่นเดียวกัน ทว่าศิษย์สตรีคนอื่นๆ ล้วนใส่คู่กับกระโปรงยาว มีเพียงชุดที่ตนเองได้รับเป็นชุดบุรุษ
จนถึงตอนนี้ก็หนึ่งปีแล้ว จินเฟยเหยายังไม่เข้าใจ เหตุใดตอนนั้นศิษย์ผู้ดูแลจัดการธุระจึงมอบชุดบุรุษให้นาง นางสวมกระโปรงเข้าประตูสำนักมา ศิษย์ผู้ดูแลคงไม่ได้ตาบอดหมดหรอกนะ หรือว่าเพราะตนเองเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญร่างกายสตรีเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงมอบกางเกงให้นางสวมเพื่อให้นางสะดวกในการฝึกปรือทุกวัน?
บนชามหยกที่ขุดออกมามีดินโคลนติดอยู่ จินเฟยเหยายัดชามไว้ในถุงผ้าเล็กๆ บนเอวอย่างลวกๆ เมื่อเห็นว่าอยู่ว่าง ก็เตรียมนั่งลงโคจร ‘เคล็ดรวมพลัง’ ที่จำได้หมดนานแล้วเที่ยวหนึ่ง ถือว่าเสริมความแข็งแกร่งให้กับพลังการบำเพ็ญเพียร
.........................................................