บทที่ 1 สาวน้อยผู้ฝึกบำเพ็ญร่างกาย
เวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[footnoteRef:1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว [1: ฉื่อ คือ หน่วยวัดความยาวของจีน มีระยะประมาณ 10 นิ้ว]
นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน
“ศิษย์พี่โจว เด็กหญิงคนนั้นมีเรี่ยวแรงมหาศาลนัก” คนสองคนซึ่งสวมเสื้อสีเขียวของศิษย์สายในเดินลงมาจากบนภูเขา พอดีเดินผ่านข้างกายของนางไป ศิษย์คนหนึ่งในนั้นซึ่งมีอายุเพียงยี่สิบกว่าปีจ้องมองถังไม้บนหลังของเด็กสาวอย่างตกตะลึง เอ่ยถามศิษย์พี่ที่อยู่ข้างกายอย่างประหลาดใจ
ทว่าในสายตาของศิษย์พี่โจวซึ่งอยู่ในวัยกลางคนกลับมีแววเหยียดหยาม เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าเพิ่งเข้าสำนักยังไม่รู้อะไร นางชื่อจินเฟยเหยา เพิ่งเข้าสู่สำนักนอกได้หนึ่งปี เป็นศิษย์สตรีที่ฝึกบำเพ็ญร่างกายเพียงคนเดียวในหมู่ศิษย์ในและศิษย์สายนอกทั้งหมด ดังนั้นการแบกสิ่งของเล็กน้อยแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ศิษย์น้องเล็กเอ่ยอย่างตกตะลึง “ข้าเพิ่งเคยเห็นผู้บำเพ็ญที่มีพลังวิญญาณบริสุทธิ์ ทว่ากลับฝึกบำเพ็ญร่างกายเป็นครั้งแรก ช่างเสียเปล่าจริงๆ บุรุษที่ไม่มีพลังวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งฝึกบำเพ็ญร่างกายกลับมีอยู่มากมาย องครักษ์แต่ละคนที่บ้านข้าเชิญมาล้วนฝึกถึงขั้นที่หนึ่งหรือสอง”
ก็โทษไม่ได้ที่ศิษย์น้องเล็กผู้นี้จะตกตะลึง ถึงแม้ว่าผู้มีพลังวิญญาณที่นี่จะมีมากมาย ทุกคนเห็นเซียนจนเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่ชาวบ้านในเขตภูเขาต่างก็รู้ดี ทว่าต้องเป็นผู้ที่มีพลังวิญญาณบริสุทธิ์ จึงสามารถฝึกฝนบำเพ็ญวิถีแห่งเซียนและสำเร็จมรรคได้อย่างแท้จริง ทว่าคนที่มีพลังวิญญาณบริสุทธิ์กลับมีไม่มาก
และที่คนส่วนใหญ่มีเป็นเพียงพลังวิญญาณเทียม ร่างกายได้แต่ดูดซับพลังที่อ่อนจาง ทว่ากลับไม่สามารถรั้งพลังวิญญาณไว้ในจุดตันเถียน[footnoteRef:2]ได้ ไม่เหมาะกับการบำเพ็ญเซียน ถ้าหากฝืนบำเพ็ญเซียน สุดท้ายก็ได้แต่หยุดอยู่ที่ขั้นฝึกปราณช่วงต้นชั่วชีวิตเท่านั้น ประสบความสำเร็จน้อยมาก แม้แต่จะใช้เวทจุดไฟก็ยากเย็น [2: จุดตันเถียน คือ ชื่อเรียกตำแหน่งชีพจร อยู่ใต้สะดือลงไปประมาณ 3 นิ้ว]
ดังนั้นคนปกติ ล้วนให้บุรุษที่มีพลังวิญญาณเทียมไปฝึกบำเพ็ญร่างกาย ใช้พลังวิญญาณเปลี่ยนแปลงร่างกาย ถึงจะมิอาจใช้พลังเวทและอายุยืนเหมือนผู้บำเพ็ญเซียน ทว่าก็มีพละกำลังมหาศาลให้ใช้ไม่หมดสิ้น ร่างกายบึกบึนแข็งแกร่ง เก่งกาจเหนือคนธรรมดามากนัก ฝึกบำเพ็ญร่างกายถึงขั้นที่สามก็สามารถทุบทำลายศิลาขนาดยักษ์หนักพันชั่งได้อย่างง่ายดาย ถ้าโชคดีฝึกสำเร็จขั้นที่สิบสอง ยังสามารถสร้างกายเนื้อขึ้นใหม่ ดาบและหอกแทบฟันแทงไม่เข้า
ดังนั้น ราชวงศ์ของแต่ละแคว้นต่างมีองครักษ์ลับที่สร้างขึ้นจากทหารซึ่งฝึกบำเพ็ญร่างกายโดยเฉพาะ โดยพื้นฐานแล้วยอดฝีมือในโลกล้วนเป็นผู้มีพลังวิญญาณเทียมซึ่งฝึกบำเพ็ญร่างกาย แม้แต่องครักษ์ที่ใช้ในตระกูลผู้บำเพ็ญเซียน ก็ต้องการแต่ผู้ฝึกบำเพ็ญร่างกาย ต่อให้บำเพ็ญถึงแค่ขั้นแรก ก็สามารถมีชีวิตอยู่ในโลกได้อย่างมีรสชาติ ดังนั้นขอเพียงบ้านใดมีเด็กที่มีพลังวิญญาณเทียม ก็ถือว่ามีโอกาสโดดเด่นกว่าคนทั่วไปแล้ว
เพียงแต่การฝึกบำเพ็ญร่างกาย คนฝึกจะมีกล้ามเนื้อทั่วร่างและสูงใหญ่ ดังนั้น ถ้าหากมีสตรีซึ่งมีพลังวิญญาณเทียมภายในบ้าน ที่บ้านก็จะไม่ให้นางไปฝึกบำเพ็ญร่างกาย อย่างไรเสียฝึกตนเองจนแข็งแกร่งเฉกเช่นบุรุษ เกรงว่าพอถึงเวลาจะแต่งไม่ออก มีเพียงจำนวนน้อยที่เป็นทายาทตระกูลแม่ทัพหรือยากจนจนเลอะเลือน จึงให้บุตรสาวในตระกูลฝึกบำเพ็ญร่างกาย มิเช่นนั้น ไม่มีสตรีคนใดอยากให้ตนเองมีลักษณะเหมือนบุรุษหรอก
ดังนั้น คนประเภทจินเฟยเหยาจึงหาได้ยากจริงๆ ช่วยไม่ได้ที่ศิษย์น้องเล็กจะมองนางอย่างพินิจพิเคราะห์ อยากจะดูว่านางมีหนวดเครางอกออกมาหรือไม่ แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ฝึกบำเพ็ญร่างกายแค่ทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง ทว่ามิอาจเปลี่ยนสตรีให้เป็นบุรุษได้
หลังจากเดินไปหลายก้าว เขาหันหน้ามามองศิษย์น้องที่ยังมองจินเฟยเหยาอย่างอึ้งๆ ศิษย์พี่โจวได้แต่ตะโกน “ไม่ต้องดูแล้ว ถ้ายังชักช้าต่อไปต้องถูกอาจารย์อาหลี่ด่าว่าแน่”
“อ้อ...” ศิษย์น้องเล็กได้สติคืนมา ปากส่งเสียงตอบรับ แล้วเร่งฝีเท้าไล่ตามไป
“ตาแก่บ้า แก่แล้วยังจะใช้นมแพะฉางหลิงแช่ร่างอีก บอกว่าสามารถเพิ่มพลังได้ ไปหลอกผีเถอะ คิดจะอาบให้ผิวขาวเนียนเรียบลื่นชัดๆ ปิศาจเฒ่าที่บ้าความงามนั่น ทางที่ดีให้เจ้าอาบจนกลิ่นแม่แพะออกมาเลย ต่อไปจะจับแพะฉางหลิงแค่ส่งเจ้าไปยืนอยู่บนภูเขาก็พอ” จินเฟยเหยาบ่นว่าและสาปแช่งอวิ๋นเฟิงเจินเหรินแห่งวังอวิ๋นเย่ไม่หยุดตลอดทาง
นางเงยหน้ามองวังอวิ๋นเย่ที่อยู่ไกลๆ แล้วส่งเสียงถุยอย่างขุ่นเคือง ศิษย์สายนอกอย่างนาง มีสถานะเหมือนชาวนาที่เช่าที่นาของเจ้าของที่นาทำกิน ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ ทว่าสิ่งที่ทำกลับเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกบำเพ็ญ ทุกปีขอเพียงมอบศิลาวิญญาณจำนวนหนึ่งเป็นประจำก็จะสามารถได้งานทำและมีป้ายห้อยเอว กลายเป็นศิษย์สายนอกในสำนัก หากพวกเขาอยากกลายเป็นศิษย์สายในที่แท้จริง ก็ต้องฝึกให้ได้ถึงขั้นสร้างฐาน
มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกบำเพ็ญถึงขั้นหลอมรวมขึ้นไป จึงสามารถงดรับประทานอาหารได้โดยสิ้นเชิง ดังนั้นสำนักยังต้องมีอาหารให้ศิษย์สายในรับประทานอยู่ พื้นที่ภูเขานอกสำนักล้วนให้ศิษย์สายนอกเช่าทำนาวิญญาณ และปลูกพืชวิญญาณหลายชนิด
พืชเหล่านี้ไม่ใช่พืชธรรมดา ล้วนเป็นสิ่งที่มีพลังวิญญาณบรรจุอยู่ รับประทานลงไปจะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์ไม่น้อย
ส่วนจินเฟยเหยา เมื่อหนึ่งปีก่อน มาถึงสำนักเหิงเจิน ซึ่งเป็นสำนักชั้นสามที่มีศิษย์สายในเพียงห้าร้อยกว่าคน และเลือกไปเลี้ยงแพะฉางหลิง แพะที่สูงกว่าคนและทั่วร่างเต็มไปด้วยขนสีขาวชนิดนี้เลี้ยงง่ายอย่างยิ่ง เพียงแค่ต้อนไปกินหญ้าบนภูเขาก็พอ ดังนั้น ศิษย์สตรีนอกสำนักจำนวนมากต่างก็เลือกงานสบายเช่นนี้ มีเพียงศิษย์บุรุษที่มีพลังล้นเหลือ จึงโง่งมไปเลือกเช่าที่ปลูกพืชวิญญาณ
เดิมทีงานนี้ทั้งเบาสบายและผลผลิตก็มากมาย ทุกวันนมแพะฉางหลิงที่รีดออกมาสามารถขายให้กับศิษย์ในห้องครัวของสำนักเหิงเจินได้โดยตรง นี่เป็นของดีที่มีพลังวิญญาณ ดื่มหนึ่งแก้วทุกวันสามารถเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่ง เพิ่มพลังวิญญาณภายในร่างกาย ตั้งแต่ในหมู่ชาวบ้านจนถึงสำนักเซียน แม้แต่ตระกูลขุนนาง เศรษฐีมีทรัพย์ และผู้มีพลังวิญญาณเทียม ซึ่งฝึกบำเพ็ญร่างกาย แต่ละคนล้วนต้องดื่มนมแพะฉางหลิงหนึ่งแก้วทุกวัน
ผู้ใดจะรู้เล่า เผื่อว่าดื่มมากๆ จะทำให้มีโอกาสให้กำเนิดบุตรที่มีพลังวิญญาณบริสุทธิ์มากหน่อยก็เป็นได้
ดังนั้น ทั่วทั้งแผ่นดินจึงมีประโยคหนึ่งแพร่หลาย ดื่มนมวันละหนึ่งแก้ว รุ่นต่อไปจะแข็งแกร่ง ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าของสิ่งนี้ขายดีมากเพียงใด
อีกทั้งแต่ละปียังตัดขนแพะฉางหลิงได้สองครั้ง นอกจากเป็นวัสดุพื้นฐานในการหลอมอาวุธ ยังเป็นวัสดุรักษาความอบอุ่นชั้นดี บรรดาสตรีถ้าหากไม่มีชุดที่ทำจากขนแพะฉางหลิงสักชุดสองชุดในฤดูหนาวก็ไม่มีหน้าจะออกจากบ้าน เช่นนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าวันเวลาของจินเฟยเหยาสุขสบายเพียงใด กลางวันปล่อยแพะ กลางคืนฝึกบำเพ็ญ ใช้ชีวิตอย่างมีรสชาติยิ่ง
ทว่าพอถึงฤดูใบไม้ผลิปีนี้ ความซวยก็มาเยือนจินเฟยเหยา อวิ๋นเฟิงเจินเหรินแห่งวังอวิ๋นเย่ ไม่รู้ว่าเป็นบ้าอะไร จู่ๆ ก็บอกให้จินเฟยเหยามาส่งนมแพะฉางหลิงหนึ่งถังทุกวัน คิดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่เพื่อดื่ม ทว่าเพื่ออาบ
ถ้าเป็นเซียนเยวี่ยเซี่ยผู้งดงามในวังสุ่ยรุ่นท่านนั้นต้องการใช้น้ำนมอาบ จินเฟยเหยาจะส่งให้อย่างยินยอมพร้อมใจ ทว่าอวิ๋นเฟิงเจินเหรินผู้นั้นดันเป็นตาแก่สกปรกคนหนึ่ง อย่างน้อยมีรอยเหี่ยวย่นหลายร้อยชั้นทั่วร่าง ดึงออกมาแล้วสามารถกางได้เต็มถนนสายหนึ่งเลย ยังคิดจะแช่น้ำนมอย่างหน้าไม่อาย
พอคิดถึงชั้นเหี่ยวย่นที่แช่ในน้ำนมสีขาวบริสุทธิ์ที่ลอยแวบขึ้นมา...จินเฟยเหยาก็รู้สึกขนลุกขนชันทั่วร่าง อดส่งเสียงอาเจียนออกมาไม่ได้
แต่ว่า ในใจจินเฟยเหยาหัวเราะหึ ก่อนนางใส่นมได้เทฉี่แพะฉางหลิงลงไปในนั้นไม่น้อย พอนึกว่าตาแก่แช่อยู่ในฉี่ยังไม่รู้ตัว และอาจจะดื่มนมแพะลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ พอนึกถึงตรงนี้นางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
มองเห็นศิษย์สายในเดินลงมาจากบนภูเขาอีก นางก็รีบหุบรอยยิ้มชั่วร้าย ก้มหน้าวางท่าใสซื่อบริสุทธิ์ และรีบเดินไปอย่างเงียบๆ
“ศิษย์พี่เสวี่ยม่าน งานทำความสะอาดเช่นนี้มอบให้ผู้อื่นทำเถอะ จะให้ท่านลงมือด้วยตนเองได้อย่างไร” จินเฟยเหยามาถึงหน้าวังอวิ๋นเย่ เอ่ยอย่างอ่อนหวานกับสตรีสวมชุดกระโปรงสีขาวนวลทั้งตัวที่กำลังถือไม้กวาดกวาดพื้นอยู่ตรงประตูด้วยสายตาเย็นชา
สตรีที่ถูกจินเฟยเหยาเรียกว่าศิษย์พี่คนนี้ เพียงแต่เหลือบตามองดูนางอย่างชืดชาแวบหนึ่ง จากนั้นก็แค่นเสียงฮึ ไม่คิดจะสนใจนางเลยสักนิด
เห็นนางไม่สนใจตนเอง จินเฟยเหยาก็ไม่รู้สึกเก้อเขิน ยังเดินตรงเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ ในใจนางรู้ดี หลิวเสวี่ยม่านที่มีฐานะรับใช้ใกล้ชิดอวิ๋นเฟิงเจินเหรินปรากฏตัวขึ้นกวาดพื้นตรงประตู ย่อมต้องเป็นเพราะนางแอบโยนขี้นกเฟิงปีกขาวที่พกติดตัวไว้ตลอดเวลาใส่ในถ้วยชาเล็กๆ ของอวิ๋นเฟิงเจินเหรินเมื่อวานแน่นอน
ส่วนงานประจำวันของหลิวเสวี่ยม่าน หลักๆ คือดูแลนกเฟิงปีกขาวตัวนั้น อวิ๋นเฟิงเจินเหรินย่อมต้องนึกว่านางไม่ได้ดูแลนกให้ดี ให้นกบินออกมาอุจจาระไปทั่ว ดังนั้นจึงถูกลงโทษ ขี้นกนี้จินเฟยเหยาใช้เวลาหนึ่งเดือนจึงหามาจากที่อื่นได้ นางแอบหย่อนไปรวมสี่ห้าครั้ง ครั้งนี้ในที่สุดก็ได้ผลแล้ว
ระหว่างศิษย์สายในและศิษย์สายนอก ยังมีผู้รับใช้อีกประเภท ที่มีสาวน้อยหรือหนุ่มน้อยผู้มีพลังวิญญาณบริสุทธิ์รับหน้าที่ วรยุทธ์ของพวกเขาไม่สูงนัก ทั้งหมดอยู่ในขั้นฝึกปราณ มารับใช้ผู้อาวุโสหรืออาจารย์อาขั้นสร้างฐานขึ้นไปโดยเฉพาะ
ปกติพวกเขาช่วยทำงานจิปาถะ ถ้าหากอาจารย์อาอารมณ์ดีก็จะให้รางวัลเป็นยาวิญญาณหรืออาวุธเวท บางครั้งยังชี้แนะเล็กน้อย มีความแข็งแกร่งมากกว่าฝึกบำเพ็ญเพียรด้วยตนเองมากนัก รอจนฝึกบำเพ็ญถึงขั้นสร้างฐาน ก็จะกลายเป็นศิษย์สายในได้ ถ้าโชคดี ได้รับความโปรดปรานจากการรับใช้ผู้อาวุโสหรืออาจารย์อา กลายเป็นศิษย์ผู้สืบทอดอย่างแท้จริง ก็ยอดเยี่ยมยิ่งแล้ว
ทว่าโอกาสเช่นนั้นมีน้อยมาก ผู้ที่สามารถกลายเป็นศิษย์สายนอกหรือผู้รับใช้ล้วนเป็นผู้ที่มีพลังวิญญาณผสมผสาน มีเพียงผู้ที่มีพลังวิญญาณปฐพีขึ้นไปถึงจะกลายเป็นศิษย์สายในโดยตรง ส่วนผู้ที่กลายเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงได้ โดยปกติจะต้องเป็นผู้ที่มีพลังวิญญาณสวรรค์หรือพลังวิญญาณผันแปร
หลิวเสวี่ยม่านผู้นี้คือหนึ่งในผู้รับใช้เหล่านั้น ถึงแม้จะมาเป็นบ่าวรับใช้ผู้อื่น ทว่าก็ต้องเค้นสมองครุ่นคิด และยัดศิลาวิญญาณไม่น้อยจึงแย่งตำแหน่งนี้มาได้ นางติดตามอยู่ข้างกายอวิ๋นเฟิงเจินเหรินมานานแล้ว วิสัยทัศน์สูงขึ้นไม่น้อย ศิษย์สายนอกคนนี้ย่อมไม่อยู่ในสายตานาง
ถ้าหากไม่ใช่เพราะนางมีท่าทางเกลียดชังจินเฟยเหยา จินเฟยเหยาก็ไม่คิดจะจัดการนาง เพียงแค่การลงโทษกวาดประตูใหญ่ครั้งนี้เบาเกินไปหน่อย
จินเฟยเหยาเดินเข้าไปในวังอวิ๋นเย่อย่างหมดหวัง ถ้าตนเองแข็งแกร่งอีกหน่อย ก็จะสามารถหาโอกาสตอนที่นางอยู่คนเดียว ลงมือลอบทำร้ายนางสักยก น่าเสียดาย โดยพื้นฐานแล้ววรยุทธ์ของตนเองเป็นศูนย์ ขนาดขั้นฝึกปราณก็ยังไม่บรรลุ มีเพียงวรยุทธ์จากการฝึกบำเพ็ญร่างกายระดับสาม และในมือก็ยังไม่มีเคล็ดวิชาบำเพ็ญเซียนใดๆ สักเล่ม เดิมทีจินเฟยเหยาใกล้จะเก็บศิลาวิญญาณได้พอซื้อตำราพื้นฐานการบำเพ็ญเซียน ‘เคล็ดพลังวิเศษ’ แล้ว
คิดไม่ถึงว่ากลับถูกอวิ๋นเฟิงเจินเหรินยึดครองปริมาณนมสองในสามส่วนของแต่ละวันไป จนรายได้จากการขายลดลง ตอนนี้เก็บศิลาวิญญาณได้แค่ที่ต้องส่งมอบต่อสำนักทุกวัน ไม่มีศิลาวิญญาณไปซื้อ ‘เคล็ดพลังวิเศษ’ เลยสักนิด ส่วน ‘เคล็ดรวมพลัง’ ที่นางมีเป็นเพียงแค่เคล็ดวิชาพื้นฐานในการฝึกบำเพ็ญร่างกายเท่านั้น แม้แต่เด็กน้อยน้ำมูกไหลยืดสวมกางเกงเปิดก้นบนถนนใหญ่ยังมีกันคนละเล่มเลยด้วยซ้ำ
................................................................