ณ ภัตตาคารเฝิงฟู่ แห่งเมืองจิ้ง
ภัตตาคารอาหารขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองจิ้ง ไม่ว่าจะเรื่องรสชาติ การบริการและความใหญ่โตหรูหราโอ่อ่าฟู่ฟ่าของสถานที่ ทำให้เหล่าพ่อค้า พวกเศรษฐีคนมีฐานะ คนชั้นสูงและขุนนางทั้งหลาย พวกเขาล้วนแต่นิยมชมชอบแวะเวียนมานัดพบสังสรรค์ที่นี่อย่างไม่ขาดสาย
หลงอี้หลิงนั่งอยู่ภายในห้องอาหารส่วนตัวของภัตตาคารเฝิงฟู่ บนโต๊ะไม้กลมขนาดใหญ่ตรงหน้า ยังเต็มไปด้วยอาหารคาวหวานมากมายถูกจัดวาง กลิ่นและสีสันช่างยั่วน้ำลายคนมองเป็นอย่างมาก เขายกถ้วยชาในมือขึ้นดื่มด้วยท่าทางสงบและผ่อนคลาย
โดยมีจางเก่อลูกน้องคนสนิทข้างกายอีกคน ใบหน้าที่มีรอยบากเล็กน้อยจากการต่อสู้ ดวงตาฉายแววสุขุมจริงจัง
ในมือของเขาถือกระบี่อยู่หนึ่งเล่มพร้อมกับยืนกอดหน้าอกด้วยท่าทีนิ่งเงียบ ซึ่งห่างจากผู้เป็นนายไปทางด้านหลังสามก้าว
แอ๊ด...
เข่อลั่วลูกน้องคนสนิท ผู้มีผิวขาว รูปร่างท้วมเจ้าเนื้อเล็กน้อย เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ผู้เป็นนายวางถ้วยชาลงบนโต๊ะและเอื้อมไปหยิบกาน้ำ รินชาลงในถ้วยอีกใบ พร้อมกับเลื่อนไปวางลงบนที่นั่งซึ่งว่างอยู่ทางด้านข้างของเขา
"เข่อลั่วเจ้าไปสืบได้ความอะไรมาบ้างไหม" น้ำเสียงแฝงความเคร่งขรึมน่าเกรงขามเอ่ยถามขึ้น
ลูกน้องคนสนิทนั่งลงพร้อมกับยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นอย่างกระหาย ก่อนจะร่ายยาวตอบคำถามเจ้านาย ที่กำลังรอฟังคำตอบอยู่
"เป็นไปตามที่คุณชายคาดคิดไว้ โจรป่ากลุ่มนั้นคงไม่ใช่โจรธรรมดาทั่วไป แต่ข้าสงสัยว่าอาจจะเป็นคนของเยี่ยอ๋อง แต่ตอนนี้พวกเรายังขาดหลักฐานที่จะสาวไปถึงต้นตอได้ขอรับ"
"คนของเยี่ยอ๋องกระนั้นหรือ ?"
สิ่งที่เข่อลั่วได้รายงานมา ดูเหมือนก็เป็นสิ่งที่แม่ทัพหนุ่มกำลังสงสัยอยู่เช่นกัน เขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะและนั่งนิ่งเงียบ ครุ่นคิดบางอย่างในใจ ใบหน้าดูมีความกังวลถึงอะไรบางอย่าง
"พวกเราคงต้องเร่งสืบหาหลักฐานให้ได้ ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความเลวร้ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการโกงเสบียงของทหาร รวมทั้งการแอบสับเปลี่ยนอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานพวกนั้น...จางเก่อ เจ้าไปช่วยเข่อลั่วตามสืบอีกแรงก็แล้วกัน"
"ขอรับนายน้อย" นายกองหนุ่มรับคำสั่งอย่างหนักแน่น
จู่ ๆ เข่อลั่วก็แสดงท่าทีลุกลี้ลุกลนเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ดูลังเลใจที่จะเปิดเผยออกมา
หลงอี้หลิงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของลูกน้อง ที่ดูเหมือนอยากจะพูดแต่ไม่กล้าเอ่ยมันออกมา และรู้สึกขัดตากับอากัปกิริยาลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุขนั้น
"เจ้าต้องการจะกล่าวอะไรก็พูดมาซะเถอะเข่อลั่ว ทำท่าทางเหมือนคนปวดท้องหนักเยี่ยงนั้น มันขัดตาข้าเสียจริง"
เข่อลั่วได้รับการเปิดทางเช่นนั้นเขาก็กล่าวเสริมนอกเรื่อง เพราะคิดว่าผู้เป็นนายอาจจะสนใจอยากรู้
"อะ เอ่อ ตอนที่ข้าเดินเข้ามาในภัตตาคารเฝิงฟู่ เหมือนข้าจะเห็นแม่นางน้อย คนที่ตกลงไปยังหน้าผาด้านล่างพร้อมกับท่านในครั้งนั้น แต่นาง..." และก็เป็นไปตามที่เขาคาดคิดไว้ พูดยังไม่ทันจบประโยคอีกฝ่ายก็มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
จางเก่อได้ยินสหายสนิท สหายร่วมงานบอกผู้เป็นนายเช่นนั้น เขาจึงกล่าวแทรกขึ้นระหว่างการสนทนาของทั้งคู่ด้วยความสงสัย "นายน้อย..." แต่ยังไม่จบประโยค เขาก็ต้องเงียบเสียงลง
แม่ทัพหนุ่มผู้นิ่งสุขุมและใจเย็นเสมอมา จู่ ๆ ก็วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง จนน้ำชากระฉอกออกมาเปื้อนบริเวณโดยรอบ
เข่อลั่วสะดุ้งตัวโหยงเล็กน้อย เขาใช้หางตาเหล่มองท่าทีของเจ้านาย และแอบคิดสงสัยในใจ
'สงสัยนายน้อยคงจะโกรธที่ถูกแม่นางคนนั้นจากไปโดยไม่ร่ำลาเป็นแน่' จากนั้นก็นั่งนิ่งตัวเกร็ง รอฟังคำสั่งอย่างเงียบ ๆ
"สตรีน้อยผู้นั้น อยู่ที่นี่ด้วยอย่างนั้นรึ!" น้ำเสียงโกรธขึ้งของแม่ทัพหนุ่มตะคอกขึ้นเบา ๆ
เข่อลั่วรีบตอบอย่างฉะฉานชัดถ้อยชัดคำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
"ขอรับ! ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นเดินตามมู่เซียวหลาน เจ้าของหอคณิกาแห่งเมืองจิ่ว เข้าไปในห้องรับรองส่วนตัวของภัตตาคารเฝิงฟู่ ซึ่งอยู่ถัดไปจากห้องของพวกเรา แต่วันนี้นางสวมใส่อาภรณ์สีขาว แต่งกายเยี่ยงบุรุษ ใบหน้าหล่อเหลางดงามไม่แพ้ตอนเป็นอิสตรี และดูเหมือนพวกนางจะนัดพบกับใครบางคนที่นี่ด้วย"
แม่ทัพกล่าวน้ำเสียงเข้ม ดวงตาเลื่อนลอยจับจ้องมองไปยังคราบน้ำชาที่กระฉอกออกมาจากถ้วยจนเจิ่งนองเป็นทางบนโต๊ะนั้น
"เข่อลั่ว ไปตรวจสอบดูทีว่าพวกเขามาพบผู้ใดกัน แต่ระวังอย่าให้ถูกจับได้ เพราะมู่เซียวหลานผู้นั้น ไม่ใช่คนที่จะยอมให้พวกเราสืบเรื่องของนางได้อย่างง่าย ๆ"
"ขอรับคุณชาย" เข่อลั่วรับคำเสร็จก็เดินปลีกตัวออกไปจากห้องทันที
หลงอี้หลิงยังคงนั่งนิ่งเงียบและจ้องมองถ้วยชาบนโต๊ะ สายตาเหม่อลอยเหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
จางเก่อไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพิ่ม เขายังคงยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิมและรอฟังคำสั่งของผู้เป็นนายอยู่เงียบ ๆ เช่นเคย
ทางด้านฟ่งหลันหลั่น ได้ติดตามมู่เซียวหลานเดินทางออกมายังเมืองจิ้ง
หลังจากที่ทั้งสองคนได้เดินเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัวของภัตตาคารเฝิงฟู่ พวกนางก็ได้เจอกับบุคคลที่เจ้าของหอคณิกานัดพบในวันนี้
บุรุษผู้หนึ่ง ผิวพรรณและหน้าตาของเขาช่างมีรูปโฉมเฉลางดงามคล้ายอิสตรี การแต่งกายก็สวมใส่อาภรณ์ที่ดูหรูหรามีราคา บ่งบอกได้อย่างชัดเจนถึงฐานะทางสังคมของเขา
บุรุษผู้นี้มีนามว่า หยวนจูวเย่ ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของมหาเสนาบดีกรมคลัง
มู่เซียวหลานนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายบุรุษรูปงามอย่างเชื่องช้าและกล่าวทักทายเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
"ขออภัยที่ให้คุณชายหยวนรอนาน เยี่ยงนี้"
"ท่านกล่าวเกินไปแล้ว เป็นเกียรติของข้าเสียอีกที่นายหญิงแห่งหอมู่ต๋า นัดเชิญให้มาพบเป็นการส่วนตัวเยี่ยงนี้"
บุรุษรูปงามกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มฟังดูรื่นหู รอยยิ้มหวานและสายตาของเขาที่ฉายออกมาช่างดูแพรวพราวยิ่งนัก
ฟ่งหลันหลั่นยืนเพ่งมองจ้องหน้าบุรุษรูปงามครู่หนึ่ง พลันเบนสายตากวาดสำรวจมองไปรอบตัวเขาอย่างไม่รอช้า และขบคิดอย่างประหลาดใจ
'คนผู้นี้เป็นบุรุษแท้ ๆ แต่กลับมีรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณงดงามยิ่งกว่าสตรีอย่างข้าเสียอีก สงสัยว่าเขาคงจะมาจากเชื้อสายตระกูลสูงศักดิ์หรืออาจจะเป็นบุตรของขุนนางชั้นสูง...ว่าแต่มู่เซียวหลานมาพบเขาทำไมกัน แถมยังกำชับให้เราแต่งกายเป็นบุรุษอีก' และยังคงจ้องเขาอย่างไม่ละสายตา
หยวนจูเย่วชายตาหันมาสบตาเข้ากับฟ่งหลันหลั่นและจ้องมองกลับ เขาเองก็กวาดสายตาสำรวจบุรุษรูปงามผู้มีดวงหน้าหวานราวกับอิสตรีตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
สายตาคมปลาบของบุรุษผู้นี้ ทำให้ฟ่งหลันหลั่นความรู้สึกอึดอัดไม่ผ่อนคลายเอาเสียเลย นางจึงถามเขากลับไปอย่างไม่ชอบใจ โดยกดโทนเสียงในลำคอให้ทุ้มต่ำลงเพื่อปกปิดเส้นเสียงจริงเอาไว้
"คุณชายผู้นี้ ท่านมีปัญหาอันใดกับข้ากระนั้นหรือ เหตุใดจึงมองข้าด้วยสายตาแทะโลมและหยาบโลนเช่นนั้นกัน"
หยวนจูวเย่หยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาถือไว้ในมือ ก่อนจะส่งสายตาพร้อมโปรยยิ้มหวานอย่างมีเลศนัยแอบแฝงให้กับคนที่กล่าวถามตน
"ข้าเพียงจ้องมองท่าน เฉกเช่นที่ท่านจ้องมองข้าก่อนหน้านี้กระไรเล่า" คำตอบของหยวนจูวเย่ ช่างยียวนกวนประสาทคนถามเสียเหลือเกิน
มู่เซียวหลานสังเกตเห็นท่าทีแปลกไปของฟ่งหลันหลั่น นางเองก็รู้จักแววตาคู่นั้นเป็นอย่างดี เพราะหากได้จับจ้องมองผู้ใดนาน ๆ เยี่ยงนี้ นั่นหมายความว่าถ้าเจ้าตัวไม่เคยไปก่อเรื่องไว้กับคนผู้นั้น ก็อาจจะเป็นคนที่นางเคยช่วยเหลือไว้นั่นเอง
ทุกคนในเมืองจิ่ว ต่างรู้ถึงกิตติศัพท์และชื่อเสียงนี้ของฟ่งหลันหลั่นเป็นอย่างดีเช่นกัน
อารมณ์ของฟ่งหลันหลั่นเริ่มคุกรุ่นหนักขึ้น ในจังหวะที่นางคิดจะตอบโต้สวนกลับ ก็ฉุกคิดได้ว่าตนมาที่ภัตตาคารเฝิงฟู่ในฐานะอะไร จึงพยายามควบคุมอารมณ์ของตนและทำได้แค่เพียงยืนกำหมัดแน่น
มู่เซียวหลานสังเกตท่าทีทั้งสองก็รู้สึกแปลกใจ และใคร่อยากรู้ขึ้นมาว่าสองคนนี้รู้จักกันในฐานะใด นางจึงตัดสินใจพูดแทรกขึ้นมา "พวกท่านทั้งสองเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้กระนั้นหรือ"
ฟ่งหลันหลั่นคงแสดงท่าทีสนใจบุรุษตรงหน้าออกมาชัดเจนจนเกินไป จึงได้ถูกมู่เซียวหลานสังเกตเห็นเข้า
ด้านหยวนจูวเย่ ชิงตอบขึ้นก่อนสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ไม่เคย"
ฟ่งหลันหลั่นตอบสวนกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำและไม่ลืมที่จะควบคุมโทนเสียงและจังหวะการพูดของตนให้ฟังดูคล้ายบุรุษ
"ขออภัยที่เสียมารยาทต่อแขกของแม่นางมู่ ข้าเพียงแค่ต้องการตรวจสอบผู้ที่ท่านมาพบตามหน้าที่ เพื่อให้แน่ใจว่าท่านจะไม่ได้รับอันตรายใด ๆ " จากนั้นนางก็เดินไปหยุดยืนอยู่ด้านหลังของมู่เซียวหลาน
"ว่าแต่วันนี้แม่นางมู่ เปลี่ยนผู้ติดตามคนใหม่กระนั้นหรือ"
เขาเอ่ยถามโดยไม่ทันได้มองคนข้างหลังของมู่เซียวหลานอย่างตรง ๆ ด้วยซ้ำไป
มู่เซียวหลานนึกขึ้นมาได้ จึงได้แนะนำทั้งสองคนให้แก่อีกฝ่ายอย่างเป็นทางการอีกครั้ง นางผายมือไปยังบุรุษตรงหน้า
"ขออภัยที่ข้าลืมแนะนำไป บุรุษรูปงามผู้นี้มีนามว่า หยวนจูวเย่ ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของมหาเสนาบดีกรมคลัง" จากนั้นมู่เซียวหลานก็เอียงหน้าหันไปทางผู้ติดตามของตน
"และผู้นี้ คือคนติดตามของข้าในครั้งนี้ มีนามว่า ฟ่งหลั่น"
หยวนจูวเย่ชายตามองตามหลังของบุรุษหน้าหวาน จากนั้นเขาก็เผยยิ้มอ่อนใบหน้าและยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างใจเย็นอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสองตรงเบื้องหน้าอย่างตรงไปตรงมา
"แม่นางมู่ นี่ท่านไม่ไว้ใจหรือคิดดูถูกข้ากัน ขนาดต้องคิดหาวิธีสร้างเรื่องปกปิดต่อสายตาข้าถึงขั้นนี้เลย" น้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงความขุ่นเคืองใจไว้ในนั้น
มู่เซียวหลานรู้สึกสะอึกเล็กน้อยกับคำกล่าวนั้นของหยวนจูวเย่ แต่นางยังคงควบคุมสติ วางตัวนิ่งสงบและใจเย็น ไม่มีทีท่าทุกข์ร้อนหรือกังวลใจเผยพิรุธออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็น ´
ชั่วหนึ่งอึดใจ นางก็เผยรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มและกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น
"ขออภัย ข้าเป็นเพียงสตรีที่ไร้ซึ่งความรู้มากมายนัก จึงมิอาจเข้าใจในถ้อยคำและเจตนาของคุณชายหยวนที่สื่อออกมาไม่"
น้ำเสียงอันนุ่มนวลไพเราะ ฟังดูรื่นหูชวนฟังของมู่เซียวหลานช่างไม่แพ้รูปโฉมของนางเลยสักนิด
เมื่อได้ฟังนายหญิงแห่งหอมู่ต๋ากล่าวขึ้นมาเช่นนั้น จู่ ๆ หยวนจูวเย่ก็พลันหัวเราะร่าเสียงดังออกมาอย่างชอบใจ
ฮ่าฮ่าฮ่า...
"แม่นางมู่ หากท่านต้องการทำธุรกิจกับข้า..." หยวนจูวเย่เอ่ยขึ้นและหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง พร้อมกับชำเลืองมองไปทางฟ่งหลันหลั่นเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวต่อ "...สองสิ่งแรกที่ท่านควรจะต้องคำนึงถึง นั่นความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาและความจริงใจมิใช่หรือ"
เขาเน้นน้ำหนักของคำและเสียงในช่วงประโยคท้าย และเผยความไม่พอใจออกมาผ่านถ้วยชาที่กำลังรินอยู่ โดยตอนนี้น้ำได้ล้นถ้วยกระฉอกนองไปบนโต๊ะ แต่ก็เขายังไม่หยุดมือ
ฟ่งหลันหลั่นยืนมองและคอยคุมเชิงอยู่ทางด้านหลัง รอดูสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ เพราะหน้าที่ของนางในวันนี้คือเป็นผู้คุ้มกันให้กับนายหญิงแห่งหอมู่ต๋าเพียงเท่านั้น จึงไม่อาจจะทำอะไรผลีผลามตามใจตัวเองได้เหมือน ทุกครั้ง มิฉะนั้นจะพานทำให้ผู้อื่นเสียงานไปด้วย
บรรยากาศภายในห้องตอนนี้ เริ่มตึงเครียดขึ้นอย่างช้า ๆ ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบและรอดูการโต้ตอบของฝ่ายตรงข้ามว่าจะมาในทิศทางไหน
....
เซียงไค 盛開