ตอนที่ 1225 อมนุษย์
จ้าวบ้านมองรอบข้าง จิตสังหารของเขาเป็นของจริง
กลายเป็นว่าใครบางคนกำลังวางแผนฆ่าลูกชายของเขา
สายตาของจ้าวบ้านจับจ้องกู่ฉิงซาน
ครั้งนี้ สายตาของเขาอ่อนโยนลง
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าช่วยนายน้อยไว้จากสมรภูมิใช่หรือไม่” เขาถาม
“ไม่เลย นายน้อยต่างหากที่ช่วยข้าเอาไว้” กู่ฉิงซานตอบ
จ้าวบ้านยักคิ้วด้วยความคาดไม่ถึง
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่าง เขาส่งสัญญาณให้กู่ฉิงซานพูดต่อ
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “นายน้อยแสดงความกล้าหาญชาญชัยในสมรภูมิ ฆ่าศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วน แต่น่าเสียดายที่จำนวนอีกฝ่ายมากเกินไป ทำให้ถูกสัตว์ประหลาดล้อมเอาไว้ ท้ายที่สุดทุกคนก็ตาย มีเพียงนายน้อยคนเดียวที่ต่อสู้กับกลุ่มศัตรูจนหมดสติไปโดยไม่รู้ตัว พอข้าไปปลุกจนได้สติขึ้นมา เขาก็พบว่าไม่สามารถทำอะไรได้ จึงทำการปลดปล่อยวิชาเคลื่อนย้ายพริบตาเพื่อช่วยชีวิตลูกน้องอย่างข้าเอาไว้”
ผู้ชมตกอยู่ในความเงียบ
ผู้อาวุโสมองกู่ฉิงซานและนายน้อยจางด้วยสายตาละเอียดอ่อน
นายน้อยจางตกตะลึง
เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งไปโรงละครมา
จะไปเอาความหาญกล้ามาจากไหน
แต่ไม่ช้าเขาก็เข้าใจประเด็นที่อีกฝ่ายจะสื่อ แผ่นหลังของเขายืดตรงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าดูขึงขังขึ้นมา
จ้าวบ้านเฟยอวี่เงียบขณะเดินไปมาในห้อง ถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่ในใจของเขากลับยินดี
ทันทีที่กู่ฉิงซานกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมา เรื่องราวก็ได้เปลี่ยนไป
ลูกชายของเขาถูกหลอกให้เข้าสู่สมรภูมิ แต่กลับแสดงความหาญกล้าด้วยการนำเหล่านักสู้
ชื่อเสียงดังกล่าวมีความสำคัญกับการสืบทอดกลุ่มเป็นอย่างมาก
จ้าวบ้านหยุดเดินก่อนกล่าวด้วยเสียงคมปลาบว่า
“ไม่ว่าเจ้าเด็กดื้อคนนี้จะสู้ยังไงบรสมรภูมิ แต่เขายังพึ่งข้ารับใช้ให้ปลุกขึ้นมาในช่วงเวลาสำคัญ ไม่ อย่างนั้นเขาได้ตายในการต่อสู้ไปแล้ว!”
คำพูดสุดท้าย
เรื่องนี้ได้รับการยืนยันแล้วและจะถูกประกาศในภายหลัง ชื่อเสียงของนายน้อยจะค่อยๆ กลับคืนมา
กู่ฉิงซานก้มศีรษะและปิดปากแน่น
จ้าวบ้านมีน้ำหนักในการพูดเรื่องนี้มากกว่า เขาที่เป็นแค่ข้ารับใช้ พูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา
จ้าวบ้านมองกู่ฉิงซานแล้วกล่าวว่า “พวกเราตระกูลเฟยอวี่จะลงโทษเจ้าหากทำผิด เจ้าจะได้รับรางวัลหากทำคุณงามความดี การที่เจ้าสามารถพานายน้อยกลับมาได้สำเร็จ นี่นับเป็นคุณงามความดีครั้งใหญ่”
ภรรยาของจ้าวบ้านกล่าวว่า “นี่คือความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้ติดตาม หลี่ซาน เจ้าต้องการรางวัลอะไร”
ทุกคนในห้องมองกู่ฉิงซานพร้อมกับความคิดที่ซับซ้อน
เด็กคนนี้ แค่คำพูดไม่กี่คำก็ทำให้ความพยายามอย่างหนักของจ้าวบ้านตระกูลอื่นกับแผนสมคบคิดระยะยาวของผู้คนจำนวนมากเป็นอันถูกลบล้างไป
กู่ฉิงซานประสานมือแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยไม่เคยคิดสิ่งอื่นใดนอกจากการเข้าสำนักเพื่อให้ได้รับใช้ตระกูลมากยิ่งขึ้น”
นี่คือจุดสำคัญที่สุด
กู่ฉิงซานคิดเรื่องนี้มานานแล้ว
การที่สามารถถูกเลือกเป็นผู้ติดตามประจำของนายน้อยได้ แสดงว่าตัวตนนี้จะต้องถูกตรวจสอบมานับไม่ถ้วนแน่ๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไร
สิ่งที่กู่ฉิงซานแสวงหาคือตัวตนที่ไม่ต้องสงสัยและสามารถต้านทานการสืบหาได้
ด้วยตัวตนใสซื่อ จากนั้นค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น แบบนี้จะทำให้ได้รับความเชื่อใจจากกองกำลังและบุคคลใหญ่โตทั้งหลายจนไปถึงจุดสูงสุดของโลกนี้เพื่อสำรวจความลับที่อยู่ลึกลงไปจนได้ข้อมูลที่มากขึ้นมา
ที่จริง แม้แต่นายน้อยจางก็มีความรู้เกี่ยวกับหลายสิ่งในโลกใบนี้น้อย
ในโลกใบนี้ หากพละกำลังไม่ถึงระดับหนึ่งก็จะไม่มีสิทธิ์รู้ความลับมากจนเกินไป
กฎดังกล่าวเป็นการป้องกันชนิดหนึ่ง
ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงคิดไว้นานแล้วว่าก้าวแรกคือการเข้าสู่สำนัก
จ้าวบ้านเฟยอวี่ฟังเงียบๆ ก่อนหัวเราะออกมา
“ช่างเป็นคนดีจริงๆ แต่หลังจากเข้าสำนักแล้ว เจ้าจะต้องเจอความหนักหนาสาหัสเหมือนกับที่นายน้อยเจอนะ เจ้าไม่กลัวตายงั้นหรือ”
“กลัว แต่ในฐานะข้ารับใช้ ข้ากระตือรือร้นที่จะรับใช้ตระกูล นี่คือสิ่งที่ข้ารับใช้หวังจะได้ทำยามที่มีชีวิตอยู่” กู่ฉิงซานกล่าว
นี่คือคำตอบมาตรฐาน
ในโอกาสเช่นนี้ คำตอบที่เป็นทางการและคำพูดที่เป็นมาตรฐานคือสิ่งที่จำเป็นจริงๆ
จะให้บอกว่าหลี่ซานเป็นชื่อก็ไม่ได้ เพราะต้องเข้าสำนักก่อนถึงจะได้รับชื่อมา
ในฐานะข้ารับใช้จะทำให้สามารถเรียนรู้บางสิ่งในสำนักได้ก็จริง แต่มันเป็นเพียงการเรียนรู้น้อยนิดอย่างการป้องกันตัวเองเท่านั้น
หากต้องการฝึกฝนมากยิ่งขึ้นเพื่อให้ได้พละกำลังที่แก่กล้ามา เกรงว่ามันจะเป็นไปไม่ได้
หลังจากได้ยินเช่นนี้ จ้าวบ้านกล่าวอย่างมีดุลพินิจเล็กน้อยว่า “เจ้าคือคนที่อยู่บนสมรภูมิมาแล้ว ได้เห็นวิญญาณชั่วร้ายและสัตว์ประหลาดหุบเหวต่อสู้กันมากับตา อักทั้งยังเคยเข้าร่วมสงครามอีก ดังนั้นเจ้ามีคุณสมบัติที่จะเข้าสำนัก”
“เอาล่ะ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเรียนรู้อะไรมาบ้าง”
“เรียนวิชายิงธนูมาบ้างกับฝึกใช้หมัด”
“ถ้าอย่างนั้น พาตัวหลี่ซานไปหอคอยศักดิ์สิทธิ์เฟยอวี่”
“ขอรับ”
คนที่ดูเหมือนพ่อบ้านอีกคนยืนขึ้นก่อนส่งสัญญาณให้กู่ฉิงซานตามมา
กู่ฉิงซานขอบคุณจ้าวบ้านอีกครั้งก่อนเดินออกไปกับผู้อาวุโส
เมื่อเขากำลังจะเดินไปที่ประตู เสียงของจ้าวบ้านดังไล่หลังมา
“ทีนี้ พวกเราควรคุยเรื่องที่ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องที่หลอกลูกชายข้าให้ไปสมรภูมิ”
“พวกเจ้าไม่มีอะไรจะพูดใช่หรือไม่”
“ถ้าไม่พูดเสียแต่ตอนนี้แล้วข้าไปสืบจนรู้มีหลัง เช่นนั้นอย่ามาโทษว่าลูกน้องของข้าเสียมารยาทก็แล้วกัน”
จิตสังหารแรงกล้าแผ่ออกมาจากจ้าวบ้านขณะปกคลุมผู้คน
ปัง!
ประตูปิดลง
กู่ฉิงซานและพ่อบ้านมองหน้ากันก่อนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
การไม่ต้องเผชิญกับใบหน้าเกรี้ยวกราดของจ้าวบ้านกับพายุที่โหมกระหน่ำเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ
ครั้งนี้ กู่ฉิงซานไม่ได้ทำการแสดงแต่อย่างใด
ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ที่ไปถึงระดับขุนเขาเซียวหมี ทุกคนที่อยู่ที่นี่ รวมถึงจ้าวบ้านไม่ใช่คู่มือของเขา
แต่หัวใจของเขายังคงเผยสัญญาณเตือนภัย ดูท่าหากเขาทำอะไรบางอย่างขึ้นมาจริงๆ มันจะทำให้เกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้น
กู่ฉิงซานอดที่จะคิดถึงสองสามคนที่ถูกสังหารในอุโมงค์ไม่ได้
หลังจากมีคนตายก็มีกลุ่มเงาสีดำรวมตัวเป็นสัตว์ประหลาดุร้ายขึ้นมาตรงหน้าทันที
คนเหล่านั้นไม่เท่าไหร่ แต่เห็นได้ชัดว่ามีพลังที่น่าสะพรึงยิ่งซ่อนอยู่ในห้อง
นั่นไม่ใช่พลังของทุกคนในตอนนี้ แต่จากความว่างเปล่าหรือที่อื่น จะด้วยพลังอะไรก็แล้วแต่ มันมีการเชื่อมโยงพิเศษกับโลกในตอนนี้ ทำให้สามารถมาได้ทุกเมื่อ
อมนุษย์หรือ
กู่ฉิงซานยืนยันความรู้สึกนี้ได้ช้าๆ
ในความว่างเปล่าของห้องคล้ายกับมีภูตผีเร่ร่อนอยู่
ไม่ว่าใครก็รู้
มันสามารถสังหารคนที่พยายามสู้กับจ้าวบ้านได้
ดังนั้นจึงไม่มีใครคนไหนกล้าพูดอะไรในตอนนี้
ไม่มีใครสามารถต้านทานโทสะของจ้าวบ้านได้
“นี่มันช่าง… น่าสนใจจริงๆ …”
กู่ฉิงซานครุ่นคิดอยู่ในใจ
ผ่านไปสักพัก
พ่อบ้านพากู่ฉิงซานมาถึงลานฝึกยุทธ์
“เจ้าเคยเรียนยิงธนูมาก่อนใช่หรือเปล่า”
“ใช่”
“ยิงให้ข้าดูสักสองสามดอก”
กู่ฉิงซานนึกถึงความทรงจำของนายน้อยจาง หลังจากคาดเดาทักษะการใช้ธนูของชายหนุ่มที่ตายไปแล้ว เขาหยิบธนูแล้วยิงออกไป
เขายิงธนูออกไปหลายสิบดอกในคราวเดียว พ่อบ้านมองสักพักก่อนสั่งให้หยุด
“ใช้ได้ ฝึกการยิงธนูจนได้ขนาดนี้ในช่วงวัยหนุ่มสาว นับว่ามีพรสวรรค์ไม่เบา” พ่อบ้านกล่าว
“ข้าฝึกยิงธนูทุกวันน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว
ตอนนี้ หากยึดตามทักษะยิงธนูจากชายหนุ่มที่ตายไปแล้ว เขาได้พัฒนาระดับขึ้นมาเล็กน้อย
นี่ไม่ใช่เรื่องอวดอ้าง แต่เป็นการให้ผู้คนได้เห็นคุณค่าก็เท่านั้น
พ่อบ้านครุ่นคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “หลี่ซาน เจ้าต้องเข้าใจก่อนว่าหากไม่ประสบความสำเร็จในการใช้พลังจิตที่หอคอยศักดิ์สิทธิ์เฟยอวี่ เจ้าจะเป็นได้แค่คนเฝ้าประตูธรรมดาของสำนัก”
คนเฝ้าประตู
ก็คือเฝ้าประตูเฉยๆ สินะ
คนเฝ้าประตูธรรมดา
ก็แค่ประตูธรรมดา
ด้วยเหตุผลบางอย่าง กู่ฉิงซานพลันรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างก่อนกล่าวอย่างจริงจังว่า “อาจางโปรดชี้แนะด้วย”
พ่อบ้านที่รู้จักในชื่ออาจางถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เจ้าฉลาดมาก รู้ว่าเวลาไหนควรเดิน เวลาไหนควรถอย ดูจากการยิงธนูแล้ว เจ้าฝึกมาหนักมากแน่ๆ แต่เรื่องพวกนี้ไม่สามารถช่วยอะไรได้ อยู่ที่โชคชะตาล้วนๆ”
“ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถใช้พลังจิตได้หรือไม่ได้ ขอบอกล่วงหน้าไว้เลย หากพลังจิตล้มเหลว เจ้าก็ไม่สามารถคิดเรื่องอื่นได้อีกแล้ว”
เขาพากู่ฉิงซานไปยังส่วนลึกของคฤหาสน์จนมาถึงหน้าหอคอยที่มีการคุ้มกันแน่นหนา
หอคอยสูงราวห้าชั้น ดูไม่ธรรมดา
นี่คือหอคอยศักดิ์สิทธิ์เฟยอวี่เลื่องชื่อในถ้ำร้างทิศตะวันออก
อาจางยืนอยู่หน้ากู่ฉิงซานแล้วกล่าวว่า
“หลี่ซาน”
“ขอรับ” กู่ฉิงซานกล่าว
“จำให้ดี เจ้าช่วยนายน้อยไว้ คำพูดกับการกระทำของเจ้าก็นับว่าดี ด้วยเหตุนี้จ้าวบ้านถึงให้สิทธิ์ในการเข้าสำนัก”
“ข้าจะจำความห่วงใยของจ้าวบ้านเอาไว้ ไม่คบหากับพวกที่คาดเดาไม่ได้”
พ่อบ้านพยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนหันหลังแล้วกระหน่ำวิชาต้องห้ามสิบวิชาใส่หอคอยสูง
ผ่านไปหลายสิบอึดใจก่อนเขาจะถอยกลับมาในสภาพหอบขณะปาดเหงื่อจากหน้าผากด้วยความเหนื่อยล้า
“เอาล่ะ เข้าไปได้แล้ว จำเอาไว้ว่าให้ไปทำการสักการะครบทุกที่ พลังจิตจะอยู่ตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งถึงสาม ยิ่งชั้นสูงเท่าไหร่ พลังจิตจะยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น แต่ชั้นที่สี่กับห้านั้นว่างเปล่า เจ้าไม่ต้องถามให้มากความ”
“ไปเสีย ส่วนเจ้าจะสามารถใช้พลังจิตได้หรือไม่นั้น มันก็ขึ้นอยู่กับโชคของเจ้าแล้วล่ะ”
“จำให้ดี อย่าฝืนเด็ดขาด ถ้าตายขึ้นมาอย่าโทษข้าก็แล้วกัน”
“ขอบคุณอาจาง”
กู่ฉิงซานตอบรับก่อนก้าวไปข้างหน้าเพื่อเปิดประตูหอคอยแล้วเดินเข้าไป
แค่ก้าวมาข้างในไม่กี่ก้าว ประตูก็กระแทกปิดไล่หลังมา
กู่ฉิงซานไม่สนใจมากนักขณะมองเครื่องเรือนต่างๆ ในหอคอย
ในชั้นที่หนึ่ง มีแท่นสูงอยู่ทั้งสี่ทิศ แต่ละทิศประกอบด้วยเครื่องบูชาจำพวกใบไม้ ตะปู กระดูกและซากหนังสือ
อย่างที่อาจางว่า กู่ฉิงซานสักการะใบไม้ก่อน
ทันใดนั้น พลังมหาศาลมาจากใบไม้ก่อนผลักเขาออกไป
กู่ฉิงซานตกตะลึง
นี่คือถูกปฏิเสธหรือ
เขาเดินไปคำนับซากหนังสือ
พลังกลุ่มใหม่มาจากซากหนังสือก่อนผลักเขาออกไปหลายเมตร
ต่อมา ตะปูกับกระดูกก็เหมือนกัน
ช่างน่าสนใจจริงๆ คาดไม่ถึงว่าของแตกหักเหล่านี้จะสามารถผลักเขาที่อยู่ระดับขุนเขาเซียวหมีได้!
กู่ฉิงซานครุ่นคิดกับตัวเองก่อนเดินขึ้นบันได
ชั้นที่สอง
มีแท่นสูงสามแท่นอยู่สามทิศ แต่ละทิศประกอบด้วยเครื่องบูชาจำพวกหิน หยดน้ำที่ลอยอยู่กลางอากาศและโคลนหนึ่งกำมือ
กู่ฉิงซานเดินไปสักการะก่อนถูกผลักออกมาอีกครั้ง
เขาเดินขึ้นไปชั้นที่สามอย่างหงุดหงิด
ชั้นนี้แบ่งออกเป็นสองทิศ แต่ละทิศประกอบด้วยเครื่องบูชาจำพวกชิ้นส่วนเกราะเกล็ดและขนนกตามลำดับ
กู่ฉิงซานมองขนนกก่อนดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากความทรงจำของนายน้อยจาง
ขนนกนี้คือจุดกำเนิดของชื่อสำนักเฟยอวี่
ถ้าเขาสามารถตอบรับขนนกนี้จนใช้พลังจิตได้ก็จะได้รับพลังพิเศษแก่กล้าในด้านวิชาการยิงธนู
กู่ฉิงซานก้าวไปข้างหน้าก่อนสักการะขนนก
วินาทีต่อมา เขาถูกผลัก
ตอนนี้กู่ฉิงซานลอบบ่นเล็กน้อยอยู่ในใจ
เพราะว่าเขาเป็นคนนอกก็เลยไม่สามารถใช้พลังจิตกับของแปลกประหลาดพวกนี้ได้งั้นหรือ
เขาหันหลังไปที่เกราะเกล็ด
นี่คือความหวังสุดท้าย ถ้าความหวังพังทลาย เขาก็ต้องทิ้งตัวตนหลี่ซานเพื่อออกจากที่นี่
เขามาที่นี่เพื่อตามหาความลับ ดังนั้นจะให้มาอยู่ที่นี่เพื่อเฝ้าประตูไปชั่วชีวิตไม่ได้
กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ ก้าวไปข้างหน้าแล้วสักการะ
เท้าของเขาแยกออกเล็กน้อยเพื่อเตรียมรับมือไม่ให้ถูกแรงผลักมากจนเกินไปจนดูน่าอับอาย
ก้มหัว
เงยหน้า
ยืนนิ่ง
เดี๋ยว
คราวนี้ไม่ถูกผลักงั้นหรือ
ขณะกู่ฉิงซานกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ทั่วโลกพลันหายไปจากเขา
ในความว่างเปล่าไร้พรมแดน สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งปรากฏแก่สายตาของเขา
นี่คือสัตว์ประหลาดร่างมนุษย์ขนาดใหญ่
พูดให้ถูกคือมันไม่ได้อยู่ในร่างมนุษย์ เพราะใบหน้าเลือนรางเป็นของมนุษย์ แต่ร่างกายเป็นงู
นี่คือตัวตนจากตำนานโบราณ แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ร่างมายาถึงปรากฏขึ้น
จิตของกู่ฉิงซานขยับ ทันใดนั้น เขานึกถึงสกิลเทพอย่างหนึ่งขึ้นมาได้
ไม่แตกหัก!
หรือเป็นเพราะสกิลเทพนี้ที่ทำให้สามารถตอบรับชิ้นส่วนเกราะเกล็ดได้
ทันใดนั้น เขารู้สึกถึงสัมผัสร้อนแรงในมือ
อักขระธรรมชาติลึกล้ำประทับอยู่บนมือของเขา มันปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราวขณะแผ่พลังลึกลับออกมา
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม แถวหิ่งห้อยผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ท่านตอบรับจนใช้พลังจิตครั้งนี้ได้สำเร็จ”
“ท่านกลายเป็นนักรบพลังจิตแล้ว”
“วิชาพลังจิตของท่าน: ต่อยมวย”
…………………………….