ตอนที่ 1150 เส้นทางของแต่ละคน
ขุนเขาเซียวหมี
แมวสีส้มและสาวน้อยมองหน้ากัน
สายลมขุนเขาเย็นเยือกพัดผ่าน
สาวน้อยนิ่ง
แมวลายตัวใหญ่นิ่ง
เมื่อเห็นแววตาประหลาดใจของแมวลายตัวใหญ่ สาวน้อยมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
…นางพบว่าตัวเองต้องพึ่งพาเจตจำนงแข็งแกร่งที่ผ่านการเกิดและตายเพื่อปั้นหน้าให้เคร่งขรึมเข้าไว้
หลังจากครุ่นคิด สาวน้อยชื่นชม “อืม เป็นพลังเหนือธรรมชาติที่ดี ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงพลังไร้ขีดจำกัดในความว่างเปล่าที่ไหลหลั่งเข้าสู่ตัวเจ้าทีละน้อย ความรู้สึกไม่ลงรอยที่เกิดจากการดูดกลืนพลังมังกรคู่ค่อย ๆ หายไป”
แมวลายตัวใหญ่ส่งเสียงร้อง “เหมียว” อย่างงุนงง
สาวน้อยแทบเสียสติจนเกือบรักษาความเคร่งขรึมเอาไว้ไม่ได้
ถึงแม้สาวน้อยจะปั้นสีหน้าเคร่งขรึมจนดูน่ารัก แต่อย่างน้อยน้ำเสียงก็ดูจริงจัง
“เปลี่ยนเป็นสัตว์อสูรชั่วร้ายถึงกับเป็นวิธีพิเศษของการฝึกฝน ฉิงซาน เจ้าต้องพยายามให้มากต่อไป!”
ความแตกตื่นบนใบหน้าของแมวลายตัวใหญ่ค่อย ๆ หายไป
เขามองหน้าต่างระบบเทพสงคราม
เขาเห็นหิ่งห้อยขนาดเล็กกำลังผุดขึ้นบนหน้าต่างระบบอย่างต่อเนื่อง
“ท่านได้เข้าสู่สภาพ ‘ขุนเขาส้ม’ ”
“ร่างกำราบมารทำงาน”
“ในสภาพนี้ หลังจากพลังทั้งหมดถูกดูดกลืนโดยท่าน พวกมันจะไม่สามารถทำอะไรได้ ท้ายที่สุดจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังของท่านอย่างสมบูรณ์”
“ท่านกำลังเปลี่ยนพลังมังกรคู่โปรดรักษาสภาพนี้ไว้จนกว่ากระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์”
“หมายเหตุ ถ้าท่านเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่กลางคัน กระบวนการเปลี่ยนพลังจะถูกขัดจังหวะ ทำให้ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น”
“ในสภาพ ‘ขุนเขาส้ม’ ท่านจะยังคงดูดกลืนพลังวิญญาณจากโลกภายนอก ”
“พลังวิญญาณบวกหนึ่ง”
“พลังวิญญาณบวกสอง”
“พลังวิญญาณบวกหนึ่ง”
“พลังวิญญาณบวกหนึ่ง”
“พลังวิญญาณบวกสาม”
…
กู่ฉิงซานนับ
ทุกสามวินาทีพลังวิญญาณจะเพิ่มหนึ่งครั้ง
ถึงแม้พลังวิญญาณที่ได้รับในแต่ละครั้งจะไม่มาก แต่การสั่งสมทีละเล็กละน้อยก็เหมือนกับการรวบรวมทรายเข้าไปในหอคอย เป็นผลกำไรที่เกิดจากการทำธุรกิจที่ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ
ทันทีที่คิดเช่นนี้การเป็นแมวก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนัก
…อาจารย์สามารถจุติหมื่นร่างได้อย่างอิสระ มีครั้งหนึ่งเคยกลายเป็นห่านสีขาว ส่วนเขาในฐานะพี่ใหญ่แห่งสำนักร้อยบุปผา ตอนนี้กลายเป็นแมวแบบนี้มันต่างก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ
แมวลายตัวใหญ่พยักหน้า ในที่สุดก็ยอมรับพลังเหนือธรรมชาติใหม่นี้
เมื่อเห็นว่าเขารู้ตัว สาวน้อยจึงวางแมวส้มอย่างแผ่วเบา
…ที่จริงนางยังอยากสัมผัสขนอีกพักหนึ่ง แต่สุดท้ายสาวน้อยห้ามใจก่อนดึงมือออก
“จำเอาไว้ ตอนนี้เจ้าสามารถเพิ่มผู้รับใช้ของตัวเองได้ เหมือนกับข้าที่หยิบยืมพลังเหนือธรรมชาติของ ‘สะเทือนฝัน’ ” สาวน้อยเตือนอย่างตรงไปตรงมา
แมวลายตัวใหญ่ส่งเสียงร้องด้วยความสงสัยว่า “เหมียว ๆ ๆ ”
สาวน้อยตั้งใจฟัง
…นางสามารถเปลี่ยนร่างได้หลายพันร่าง สามารถเปลี่ยนเป็นวิหคและสัตว์อสูรได้ ส่วนภาษาแมว นางก็ช่ำชองมานานแล้ว
สาวน้อยกล่าวว่า “ข้าหรือ แน่นอนว่าไม่ได้…มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าเจ้าเท่านั้นถึงจะสามารถเป็นผู้รับใช้ได้”
แมวลายตัวใหญ่ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
เมื่อเห็นเขาผิดหวัง สาวน้อยเปลี่ยนใจแล้วกล่าวว่า “เต่าวิญญาณยังอยู่ที่ตีนเขา มันต้องใช้เวลานี้กับภัยพิบัติระดับราชาแห่งอิสรภาพแน่ ๆ เจ้าสามารถสร้างความสัมพันธ์ในฐานะผู้รับใช้กับมันได้ ข้าจำได้ว่ามันมีพลังป้องกันที่ดีมาก”
แมวลายตัวใหญ่ส่ายหน้าซ้ำไปมา
สำหรับพลังเหนือธรรมชาติ “ไร้ร่องรอย” ของเต่าวิญญาณ มันก็ถือว่าดีในระดับหนึ่ง
การเปลี่ยนเป็นแมวก็แทบจะเต็มกลืนแล้ว หากไปอยู่บนกระดองเต่าอีกสภาพมันจะเป็นยังไง
…ดูท่าหากต้องการใช้พลังเหนือธรรมชาติของผู้รับใช้ เขาต้องหาคนอื่นทางฝั่งผู้ฝึกยุทธ์
สาวน้อยยังคงแนะนำต่อไป “สิ่งสำคัญสุดท้าย เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจ”
แมวลายตัวใหญ่มองนาง
สาวน้อยจริงจังมากขึ้นแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าสามารถดูดกลืนพลังทั้งหมดได้ แต่จำให้ดีอย่าแม้แต่จะปล่อยให้ตัวเองอ้วนเด็ดขาด”
แมวลายตัวใหญ่ตกตะลึงเล็กน้อย
สาวน้อยกล่าวว่า “ฉิงซาน เจ้ายังมีความสามารถเปลี่ยนเป็นเผ่ามังกรอยู่ แถมเป็นการเปลี่ยนเป็นมังกรดำด้วย มังกรชนิดนี้ไม่เป็นที่ยอมรับจากมังกรอื่น เกรงว่ามันจะเป็นอันตรายในอนาคต”
“อีกอย่าง ถึงแม้เจ้าจะสามารถกลายเป็นแมวเพื่อขัดเกลาพลังทั้งหมดได้ แต่อย่าละโมบเกินไปจะได้ไม่อ้วนมาก”
“จำให้ดีว่าเจ้าต้องอย่ากินจนอ้วน ทันทีที่อ้วนเจ้าจะไม่สามารถบินขึ้นสูงได้ จะไม่สามารถต่อสู้ด้วยพละกำลังทั้งหมดได้”
“มังกรที่มีท้องใหญ่ไม่มีหน้าจะไปเจอคนอื่น พวกมันต้องหาทางกลับโลกเวทมนตร์ เข้าไปในถ้ำลึกเพื่ออดอาหารในแต่ละวัน”
“พวกมันไม่สามารถบินขึ้นสูงได้ ต้องใช้ปีกมายาเพื่อลากท้องของมันให้ลอยขึ้นอย่างยากลำบาก”
“พวกมันไม่มีความสามารถต่อสู้ที่จะใช้เข่นฆ่าได้ดังใจต้องการ ทำให้เวลาต่อสู้ทำได้เพียงพ่นลมหายใจออกมาเท่านั้น”
แมวลายตัวใหญ่ฟังอย่างตั้งใจก่อนพยักหน้าเพื่อจำไว้ขึ้นใจ
ในความว่างเปล่า แสงหลากสีสันยังคงตกลงมาอย่างช้า ๆ ก่อนล้อมพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้
ทั้งภัยพิบัติขุนเขาเซียวหมีและภัยพิบัติราชาแห่งอิสรภาพเสร็จสิ้นแล้ว
ตอนนี้ ศิษย์อาจารย์สามารถออกมาได้แล้ว
“ฉิงซาน เรื่องที่นี่จบลงแล้ว ยังเหลือเวลาก่อนจะถึงช่วงเที่ยง เจ้าสามารถกลับไปได้ทันเวลา” สาวน้อยกล่าว
แมวลายตัวใหญ่ถามว่า “เหมียว ๆ ๆ ”
สาวน้อยตอบว่า “ข้าหรือ ข้าจะกลับโลกเซินหวู่เพื่อส่งข้อมูลนี้ให้โลกผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมด”
แมวลายตัวใหญ่ประสานมือแล้วกล่าวว่า “เหมียว! เหมียว ๆ !”
สาวน้อยวางมาดเป็นอาจารย์ก่อนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “อืม ฉิงซาน เจ้าระวังตัวด้วย ระวังยามที่เจ้าเดินอยู่ข้างนอก แล้วก็อย่าทำให้สำนักร้อยบุปผาของพวกเราผิดหวัง”
แมวลายตัวใหญ่ส่งเสียง “เหมียว” ก่อนค่อย ๆ หายเข้าไปในแสงหลากสีสันเพื่อออกจากขุนเขาเซียวหมี
บนยอดเขา เหลือสาวน้อยเพียงคนเดียว
“เอาล่ะ ครั้งนี้ข้าได้เรียนรู้มากมายเลย ดังนั้นข้าควรกลับไปเรียกทุกคนมาคุยเรื่องข้อมูลพวกนี้ดีกว่า”
สาวน้อยกล่าวกับตัวเอง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางจำสิ่งที่กู่ฉิงซษนกล่าวก่อนหน้านี้ได้
เส้นทางสู่สวรรค์
ทำไมผู้หญิงที่ชื่อเรนี่โดลถึงต้องทำลายเส้นทางสู่สวรรค์ด้วย
นางกลัวเซียนบนสวรรค์งั้นหรือ
โชคยังดี บนขุนเขาเซียวหมีนี้ นางไม่พบเส้นทางสู่สวรรค์
สาวน้อยครุ่นคิดสักพัก สีหน้าพลันประหลาดใจ
“เส้นทางสู่สวรรค์…”
นางพึมพำทั่วร่างจมสู่ห้วงความคิด
ภาพนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นภาพแล้วภาพเล่า พวกมันฉายผ่านจิตใจด้วยความเร็วมหาศาล
“ขุนเขาศักดิ์สิทธิ์เซียวหมี…เส้นทางลับนั่น…”
เซี่ยเต้าหลิงเผยสีหน้าเจ็บปวดจนอดที่จะพึมพำออกมาไม่ได้
ทันใดนั้น
นางกลับสู่รูปลักษณ์ที่แท้จริง ล้มลงกับพื้นก่อนหอบหายใจพักใหญ่
“อันตรายเกินไป มีความลับบางอย่างที่ข้าไม่สามารถนึกถึงได้ในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นจะมีปัญหาใหญ่ตามมา”
เซี่ยเต้าหลิงพักสักครู่ก่อนยืนขึ้น
“ทว่า ในเมื่อข้าจำเรื่องนี้ได้…”
นางเดินกลับไปที่ขุนเขาก่อนหยุดอยู่หน้าหินสุดขอบผา
หลังจากเงียบหลายอึดใจ
เซี่ยเต้าหลิงก้าวไปข้างหน้า
นางก้าวไปในความว่างเปล่า แต่คล้ายกับเหยียบลงไปบนบางอย่างจนไม่ตกลงไป
“มันอยู่ที่นี่…เส้นทางลับสู่สวรรค์…”
เซี่ยเต้าหลิงก้าวไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
ตอนนี้นางกำลังยืนอยู่ในความว่างเปล่านอกขุนเขาเซียวหมี มีความว่างเปล่าที่มองไม่เห็นอยู่ใต้เท้า
นางยังคงเดินไปข้างหน้า ไม่ช้าก็หายไปจากยอดเขาเซียวหมี
…
อีกด้าน
โลกวิญญาณชั่วร้าย
วิหารสีดำเงียบสงัด
วิญญาณชั่วร้ายนับไม่ถ้วนเรียงแถวคุ้มกันวิหารหลังนี้
นี่คือใจกลางของโลกวิญญาณชั่วร้าย
ทุกคำสั่งในการต่อสู้กับโลก ต่อสู้กับหุบเหว รวบรวมเศษเสี้ยวทั้งหกและอื่น ๆ อีกมากมายล้วนเกิดขึ้นจากที่นี่
ตอนนี้
ผู้ชายสวมหน้ากากวิญญาณชั่วร้ายยืนอยู่ที่ประตูวิหารขณะรอคอยอย่างเงียบงัน
ผ่านไปสักพัก
เหรียญสีดำและแดงพลันปรากฏตรงหน้าเขา
สิ่งที่ตามมาคือเสียงแจ้งเตือน
“นายท่าน การพูดคุยของสามปรมาจารย์ภูตผีกำลังจะจบลงแล้ว เจ้าต้องไปรอทางวิหารตะวันตกก่อน”
ผู้ชายหยิบเหรียญมาก่อนกล่าวว่า “ขอบคุณ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ น่าแปลกที่มันเป็นเสียงของชางอู๋จาง
ขณะถือเหรียญเขาเดินผ่านประตูวิหารก่อนเดินไปตามฝั่งโถง
เมื่อวิญญาณชั่วร้ายเห็นเขาเดินมาตามทาง พวกมันทั้งหมดคำนับให้ด้วยความเคารพ มีวิญญาณชั่วร้ายเพียงไม่กี่ตนเท่านั้นที่ไม่เหลียวแลเขาก่อนเดินจากไป
“ฮ่า ๆ ดูหมออนั่นสิ ขนาดมีคุกก็ยังทำไม่สำเร็จ”
“ข้าได้ยินมามากกว่านั้นอีก ยังมี…”
ถึงแม้เสียงสนทนาจะถูกกดให้เบาแล้ว แต่ด้วยระดับเสียงนี้ใครบ้างจะไม่ได้ยิน
ชางอู๋จางพ่นออกจมูกอย่างเกรี้ยวกราดแต่ไม่พูดอะไรให้มากความ เข่าเร่งความเร็วมากขึ้น
“นายท่าน”
วิญญาณชั่วร้ายสองตนที่คุ้มกันวิหารตะวันตกคำนับ
โดยไม่มองพวกเขา ชางอู๋จางผลักประตูเข้าไป
ทางฝั่งโถงมีเพียงสาวใช้สองคนที่คุ้มกันภูตผีเอาไว้
เมื่อเห็นเขาเข้ามา สองสาวคำนับพร้อมกัน
ชางอู๋จางรีบตอบรับเป็นพิธี ความโกรธบนร่างหายไปเช่นกัน
สาวใช้คนหนึ่งเข้ามามอบธูปมัดหนึ่งให้ตรงหน้าชางอู๋จาง
ชางอู๋จางรับไว้ด้วยความเคารพ เขานำก้านธูปปักตรงหน้าภูตผี จากนั้นยืนรออยู่เงียบ ๆ
สองสาวใช้ยืนอยู่รอบภารพภูตผี
ไม่มีฝ่ายไหนพูด
ผ่านไปสักพัก
ก้านธูปถูกจุดขึ้น กลุ่มควันลอยขึ้นมา
ชางอู๋จางคุกเข่าตรงหน้าภาพวิญญาณชั่วร้ายแล้วกล่าวว่า “ขอคารวะนายท่านวิญญาณชั่วร้าย”
“อืม”
เสียงเรียบเฉยดังมาจากจากภาพวิญญาณชั่วร้าย ทำให้ผู้คนไม่สามารถได้ยินอารมณ์ต่าง ๆ ได้
“มีหลายสิ่งมากเกินไป ข้าไม่อยากเรียกเจ้ามาที่นี่ก็จริง แต่ยังไงเสียที่นี่คือศูนย์กลาง หากเจ้าไม่เดินเข้ามาก็จะค่อย ๆ ถูกผลักไสออกไปอย่างแน่นอน”
ชางอู๋จางยังคงเงียบ
เสียงนั้นกล่าวต่อว่า “เดิมเศษเสี้ยวยมโลกเป็นคุกของพวกเรา เจ้ารับผิดชอบในการดูแลนักโทษ แต่เมื่อไม่นานมานี้ ดูเหมือนจะมีปัญหาเกิดขึ้นสินะ”
ชางอู๋จางกล่าวว่า “ข้าส่งกองกำลังไปจัดการแล้ว”
เสียงนั้นกล่าวอีกว่า “อีกเรื่องหนึ่ง ข้าได้ยินมาว่าอาณาจักรนภายามค่ำหายไปจากการสังเกตการณ์ของพวกเรา”
ชางอู๋จางกล่าวว่า “ใช่ขอรับ”
“พวกเราเพิ่งได้รับข่าวว่าขุนเขาเซียวหมีที่เคลื่อนไหวมานาน จู่ ๆ เกิดเขตอาคมตำหนักสวรรค์ขึ้นมาใหม่จนขวางทางเข้าของพวกเรา…หรือก็คือ ทั้งที่พวกเราต้องลงกำลังคนและแหล่งทรัพยากรมากมายให้กับขุนเขานี้ แต่กลายเป็นว่าพวกเราคว้าน้ำเหลว”
ชางอู๋จางเงียบ
เสียงนั้นไม่พูดอีก
ผ่านไปสักพัก ชางอู๋จางกล่าวอย่างยากลำบากว่า “มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริง ปรมาจารย์ภูตผี”
เสียงนั้นกล่าวอย่างเสียดายว่า “เดิมทีข้ามองเจ้าในแง่ดียังไงเสีย เจ้าก็จัดการกับเศษเสี้ยวโลกทั้งหกได้ดี แถมเจ้ายังนำมังกรฟ้ามาช่วยกองทัพให้ประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับหุบเหวนิรันดร์มานับครั้งไม่ถ้วน แต่น่าเสียดาย…”
บนภาพวิญญาณชั่วร้าย มีดยาวสีดำพลันตกลงมาพาดที่คอของชางอู๋จาง
ชางอู๋จางคุกเข่าลงกับพื้น หลังตั้งตรงไม่ขยับไปไหน
มีดยาวไม่ขยับเช่นกัน
ไม่มีการเคลื่อนไหวหลายอึดใจ
เสียงนั้นถอนหายใจก่อนดังขึ้นอีกครั้ง
“ข้ารู้ว่าเจ้าทำงานดีมาตลอด ดังนั้นข้าจะถามเป็นประโยคสุดท้าย”
ชางอู๋จางประสานมือแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณ ท่านปรมาจารย์ภูตผี”
เสียงนั้นถามว่า “ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเจ้าหรือเป็นเพราะราชาภูตผียมโลกที่ทำให้เรื่องราวมันยากลำบาก”
ชางอู๋จางหยิบยันต์หยกออกมาก่อนขยี้มัน
แสงและเงานับไม่ถ้วนกระจายจากยันต์หยก ก่อเกิดเป็นภาพในท้องนภา
เซี่ยเต้าหลิงร่ายวิชาอย่างรวดเร็ว
สกิลเทพ
โลกหมองหม่น แม่น้ำกว้างใหญ่
เรือเล็กหนึ่งลำ ผู้หญิงร่างผอม
ภาพน่าตกตะลึงจนสาวใช้สองคนยังต้องมองดู
บนภาพวิญญาณชั่วร้าย มีเสียงถอนหายใจยาวออกมา
“เป็นนางนี่เอง ข้าจะไปบอกคนอื่นภายหลัง…เอาล่ะ เจ้าจะจัดการกับเรื่องในตอนนั้นยังไง”
ชางอู๋จางตอบว่า “ในตอนนั้น ด้วยพลังของวิญญาณชั่วร้ายสิบแปดตน ข้าใช้กระจกพันฟุตเพื่อขัดขืนสกิลเทพแห่งยมโลกนี้ได้ชั่วคราว”
บนภาพวิญญาณชั่วร้าย เสียงนั้นพลันหัวเราะออกมา
“ไม่มีปัญหาที่จะทำแบบนั้นอยู่แล้ว แต่เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าชีวิตของวิญญาณชั่วร้ายสิบแปดตนจะสามารถหยุดนางได้”
ชางอู๋จางตกตะลึง
เสียงนั้นคล้ายกับมีอารมณ์มากขึ้นก่อนพูดอย่างรวดเร็วว่า “ใช้พลังของวิญญาณชั่วร้ายเพื่อสำแดงวิถีเซียน ยังไงเสียมันก็ไม่ต่างจากวาดสุนัขให้เป็นเสือ ยิ่งอยู่ต่อหน้าตัวตนเช่นนางยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
“นางแค่คิดว่าตัวตนของเจ้าไม่ควรค่าที่จะลงมือ ดังนั้นนางจึงไม่ลงมือ”
“เว้นแต่ผู้หญิงที่ถูกเรียกออกมาจะได้รับค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ นางถึงจะขยับนิ้วเพื่อฆ่าเจ้า เพราะว่านี่คือกฎของนางยังไงล่ะ”
“แต่ก็นั่นแหละ ถ้านางต้องการชีวิตใครสักคนจริง ๆ เช่นนั้นนางก็ต้องตัดใจจากรางวัลแล้วลงมือเอาทุกสิ่งที่ควรจะเอาด้วยตัวเอง”
หน้ากากวิญญาณชั่วร้ายบนใบหน้าของชางอู๋จางพลันแตกร้าว
หลังจากนั้น ทั่วหน้ากากแตกสลายจนสิ้น เผยให้เห็นดวงตาเฉยชากับใบหน้าหมองคล้ำ
ในความว่างเปล่า หน้ากากอันใหม่ปรากฏขึ้น
เทียบกับหน้ากากก่อนหน้านี้ หน้ากากอันใหม่นี้มีสีแดงโลหิตมากกว่า ทำให้ดูชั่วร้ายน่าพรั่นพรึงนัก
เสียงนั้นกล่าวว่า “ครั้งนี้เจ้าจะไม่ถูกตำหนิ…ยังไงเสีย ในบรรดาวิญญาณชั่วร้าย ผู้ที่สามารถต่อสู้กับนางได้แล้วไม่ตายนั้นมีน้อยมาก”
“แต่สิ่งเหล่านี้ที่เจ้าเป็นผู้ควบคุมกลับล้มเหลวในท้ายที่สุด ข้าขอปลดเจ้าจาก ‘เจตจำนงภูตผี’ เหลือเพียง ‘แม่ทัพภูตผี’ เจ้ามีอะไรจะคัดค้านหรือไม่”
หัวใจของชางอู๋จางกลับมาผ่อนคลายในที่สุด
กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว
รอด
เขาประสานมือแล้วกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์ภูตผี ข้าน้อยไม่มีอะไรจะคัดค้าน”
เสียงนั้นกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “งั้นก็ดี ยังไงเสีย ในยุคสงครามนี้การหาคนเก่งนับว่ายาก เช่นนั้นเจ้าเข้าไปในวังวนความว่างเปล่าเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้โอบล้อมและปราบปรามหุบเหวนิรันดร์เถอะ”
“ขอรับ”
“ตามข้อมูลล่าสุดที่ได้มา ราชาภูตผียมโลกนั่นคล้ายกับสร้างพันธมิตรกับหุบเหวนิรันดร์มันเป็นผู้ชาย ดังนั้นจึงไม่สามารถอัญเชิญแม่น้ำแห่งการลืมเลือนมาได้”
“ข้าจะมอบวิญญาณชั่วร้ายสามร้อยตน ทหารภูตผีหนึ่งแสนนาย เจ้าต้องหาโอกาสกำจัดมัน นำศีรษะมันกลับมา แล้วข้าจะมอบชื่อ ‘เจตจำนงภูตผี’ ให้เจ้าอีกครั้ง”
ชางอู๋จางฟังเงียบ ๆ ก่อนคำนับ “ขอรับ ขอบพระคุณท่านมาก”
..............................