ตอนที่ 1144 ความลับของขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ (ตอนสอง)
ภายในวิหาร บรรยากาศนองเลือดรุนแรงยิ่ง
กู่ฉิงซานมองเซี่ยเต้าหลิง เห็นเพียงว่านางไม่เข้าใจราวกับกำลังคิดบางอย่างอยู่
“ไปเถอะ ที่นี่เป็นเพียงไหล่เขา พวกเราต้องผ่านโลกนี้เพื่อมุ่งสู่โลกด้านบน” เซี่ยเต้าหลิงกล่าว
นกอมตะปีศาจบินมาหาขณะโน้มตัวมาที่หน้าทั้งสองแล้วกล่าวว่า “ข้าผู้ต่ำต้อยรู้หนทางที่จะไป ฉะนั้นจะพาพวกท่านทั้งสองขึ้นไปให้”
นกอมตะปีศาจขนทั้งสองขึ้นมา พาบินออกจากวิหาร มุ่งสู่ส่วนลึกของท้องนภาตลอดทาง
กู่ฉิงซานก้มมองปฐพี
เขาเห็นความกว้างใหญ่ของโลก สิ่งปลูกสร้างปกคลุมขุนเขาลำธารแน่นหนา แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในสายตา
“ข้าถามเจ้าหน่อย ทำไมโลกนี้ถึงได้ว่างเปล่า เมื่อครู่ไม่มีอะไรนอกจากอสุราเลยใช่หรือเปล่า” กู่ฉิงซานถาม
ขณะบิน นกอมตะปีศาจตอบว่า “บนขุนเขาเซียวหมี โลกต่างเชื่อมโยงกัน คนเหล่านั้นอาจจะไปที่โลกอื่นก็ได้”
กู่ฉิงซานพยักหน้า จากนั้นจึงหยุดถาม
เขาและเซี่ยเต้าหลิงมองหน้ากัน
เขารู้สึกมาตลอดว่าบางสิ่งผิดปกติ
“ไม่เป็นไร” กู่ฉิงซานกล่าว
“ดี” เซี่ยเต้าหลิงตอบ
นกอมตะปีศาจสยายปีกด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีก่อนมุ่งสู่ส่วนลึกของท้องนภา
หลังจากบินมาได้ครึ่งชั่วโมง นกอมตะปีศาจทะลวงหมู่เมฆบางสู่ชั้นสูงสุดก่อนหยุดบนกิ่งไม้
“นายท่าน ท่านซาน หากขึ้นไปบนกิ่งไม้นี้ โลกอยู่บนนั้น” มันรายงาน
“ลุย” กู่ฉิงซานกล่าว
นกอมตะปีศาจพยักหน้าก่อนบินไปตามกิ่งไม้
หมู่เมฆถูกทิ้งไว้ด้านหลัง
รอบข้างคือความว่างเปล่ามืดมิด
ขณะนกอมตะบิน ความว่างเปล่าค่อย ๆ เปลี่ยนจากความมืดเป็นแสงสว่าง ท้ายที่สุดจึงกลายเป็นท้องนภาสีครามอร่าม
กู่ฉิงซานพลันกล่าวว่า “อาจารย์ พละกำลังของข้าคล้ายกับถูกกดทับไว้”
เซี่ยเต้าหลิงเงยหน้ามองแล้วกล่าวว่า “อาจจะเป็นเพราะสิ่งนั้น”
ไม่ไกลจากทั้งสอง ผนึกแก้วสีฟ้าลอยอยู่ในอากาศ ไม่ขยับไปไหน
ความผันผวนของพลังที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากผนึก
“พลังที่นอกเหนือจากฝั่งผู้ฝึกยุทธ์ถูกผนึกไว้ด้วยสิ่งนี้ เกรงว่ามันคือพลังที่กดทับพลังมังกรคู่ในร่างข้าเอาไว้”
เซี่ยเต้าหลิงหรี่ตาขณะกล่าวเสียงต่ำว่า “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่านี่เป็นกับดักกันนะ”
“ข้าก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าว
ตอนนี้ นกอมตะปีศาจหยุดสยายปีก แน่นิ่งอยู่ในอากาศ
เบื้องหน้าพวกเขา สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ กิเลน ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
กิเลนจ้องกู่ฉิงซานก่อนกล่าวด้วยเสียงอันยิ่งใหญ่โอ่อ่าว่า
“ผู้ฝึกยุทธ์ พลังเผ่ามังกรในร่างเจ้าจะต้องถูกจองจำไว้ ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถผ่านภัยพิบัตินี้ไปได้”
กู่ฉิงซานสงสัย “ทำไมล่ะ เห็นได้ชัดว่าพลังนี้เป็นของข้า ทำไมถึงใช้มันไม่ได้”
กิเลนตอบว่า “เพราะนี่เป็นการทดสอบพลังผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นพลังเผ่ามังกรจึงไม่ใช่พลังผู้ฝึกยุทธ์ หากเจ้ายังคงเก็บพลังนี้เอาไว้ กฎเกณฑ์แห่งสวรรค์จะไม่ยอมรับในตัวเจ้า”
กู่ฉิงซานำลังจะพูด แต่เซี่ยเต้าหลิงห้ามเอาไว้
“ไม่เป็นไร เดินกันต่อเถอะ” เซี่ยเต้าหลิงกล่าวอย่างแผ่วเบา
เมื่อเห็นนางกล่าวเช่นนี้ สัตว์อสูรกิเลนกล่าวว่า “อย่าโทษข้าที่ไม่เตือนเจ้า หากปีนสู่ยอดเขาด้วยพลังอื่นนอกเหนือจากฝั่งผู้ฝึกยุทธ์ มันจะมองว่าเจ้าฉวยโอกาสจนไม่สามารถทำการพัฒนาได้อย่างแท้จริง”
“ฉวยโอกาสหรือ”
ใบหน้าของเซี่ยเต้าหลิงเย็นชา ความโกรธเล็กน้อยคุกรุ่นในร่างของนาง
“ศิษย์ของข้าเคยไปยุคโบราณ เคยผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วน เขาไม่ลังเลที่จะแบกรับพลังมังกรมารไว้ในร่างตัวเอง จากนั้นมีบางสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นก่อนทำการฆ่ามังกร; ถึงแม้ข้าจะไม่รู้เรื่องมังกรฟ้าหลังจากนั้น แต่จะมีสักกี่คนในวันนี้ที่สามารถฆ่ามังกรฟ้าที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองหลายสิบเท่าได้ด้วยพละกำลังที่อ่อนแอกันล่ะ”
“ไม่เพียงแค่นั้น เพื่อดูดกลืนพลังมังกรคู่ เขาต้องทานทนความเจ็บปวดสุดแสนที่เกินกว่าคนธรรมดาจะจินตนาการได้มากแค่ไหน ข้าเกรงว่าหากความเจ็บปวดนั้นตกกับท่านกิเลน ท่านคงคลุ้มคลั่งอย่างแน่นอน!”
“ศิษย์ของข้า ฉิงซาน ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ เขาวางแผนที่จะอยู่รอดในสถานการณ์อันสิ้นหวัง ฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองหลายสิบเท่า ทานทนความเจ็บปวดที่ทุกชีวิตไม่สามารถแบกรับได้ เพราะอย่างนั้นถึงได้รับพลังนั่นมา ท่านมาบอกว่านี่เป็นการฉวยโอกาสได้ยังไง”
เซี่ยเต้าหลิงเย้ยหยันแล้วกล่าวต่อว่า “ผู้ฝึกยุทธ์พิชิตโลก แต่ทุกคนต้องทนทุกข์กับภัยพิบัติ ไม่ต่างจากล่องเรือฝ่ากระแสน้ำ ศิษย์ของข้าทำสิ่งที่เหลือเชื่อมามากมาย เป็นการยากที่จะมาถึงจุดนี้ได้ แต่ท่านกลับบอกว่าเขาฉวยโอกาส”
“ท่านกิเลน ข้าขอถามหน่อย กฎเกณฑ์แบบไหนที่ทำให้ศิษย์ของข้าไม่คู่ควรกับพลังนั้น กฎเกณฑ์แบบไหนที่กล้ากีดกันไม่ให้ศิษย์ของข้าทำการพัฒนา”
“เอาสิ ตอบข้ามา ถ้าพูดความจริงไม่ได้ ข้า เซี่ยเต้าหลิง จะทำให้สิ่งที่เรียกว่ากฎเกณฑ์อะไรนั่นหายไปจากโลกในวันนี้เอง!”
สัตว์อสูรกิเลนพูดไม่ออก
มันไม่สามารถพูดได้
เซี่ยเต้าหลิงพ่นลมออกจมูกเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า “การก้าวข้ามภัยพิบัติมันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ข้าแค่อยากมาที่นี่เพื่อดู…ดูว่าต้องขอร้องท่านเวลาก้าวข้ามภัยพิบัติจริง ๆ หรือเปล่า”
“ดังนั้นอย่ามาบังคับข้ากับฉิงซาน ไม่อย่างนั้น ข้าจะไม่ก้าวข้ามภัยพิบัตินี้ แต่จะลงมือคลายผนึกแก้วนั่นแทน!”
หลังจากพูดจบ แสงสีเหลืองปรากฏขึ้นในมือของเซี่ยเต้าหลิง
กิเลนมองแสงดังกล่าวก่อนถอยออกมาแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “แล้วเจ้าจะเสียใจ”
มันหายไปจากที่ที่เคยอยู่
ในเวลาเดียวกัน นกอมตะปีศาจหายไปจากเท้าของทั้งสองเช่นกัน
เสียงหัวเราะอันป่าเถื่อนของมันดังก้องทั่วท้องนภา
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ นกอมตะคือเผ่าพันธุ์ที่จะทำลายทุกสิ่งด้วยเปลวไฟ จากนั้นจึงถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ น่าขัน คิดว่าพันธนาการนั่นจะควบคุมข้าได้อย่างนั้นหรือ”
ในโลกแก้วหลากสีสัน สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
นกอมตะ
นกอมตะจำนวนนับไม่ถ้วน
พวกมันบินรอบกู่ฉิงซานและเซี่ยเต้าหลิง เตรียมพร้อมโจมตีทุกเมื่อ
นอกจากนกอมตะแล้ว อสุราจำนวนมากมาจากทุกทิศทาง เรียงแถวเป็นค่ายกลศึก ก่อเกิดเป็นวงล้อมขนาดยักษ์
พวกเขาสวมชุดเกราะศึกและถืออาวุธ ใบหน้ากระตือรือร้นที่จะบุกเข้ามา
ตอนนี้กู่ฉิงซานไม่สามารถใช้พลังนอกเหนือจากฝั่งผู้ฝึกยุทธ์ได้
ถึงแม้เซี่ยเต้าหลิงจะแข็งแกร่ง แต่นางยังไม่ได้ก้าวข้ามภัยพิบัติ พละกำลังจึงไม่เหนือกว่าไประดับจ้าวแห่งขุนเขาเซียวหมี
เมื่อเผชิญหน้ากับรกอมตะและกองทัพอสุราจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาทั้งสองคล้ายกับเหลือแค่ทางต้องสู้
การต่อสู้เกิดขึ้นด้วยความเร็วปานสายฟ้า
นกอมตะนับพันพ่นเปลวเพลิงออกมาพร้อมกัน
อสุราล้วนร่ายคาถาโจมตีพร้อมกัน
ตอนนี้ แสงหลากสีสันปกคลุมทั่วท้องนภา
เซี่ยเต้าหลิงกำลังจะร่ายวิชา แต่กลับถูกกู่ฉิงซานส่งเสียงเรียก
“อาจารย์ ก่อนหน้านี้ท่านพูดไว้สินะว่าจะให้ข้าคุ้มกัน”
หลังจากพูดจบ เขาชักดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมา
เสียงเศษเสี้ยวประกายดาบนับไม่ถ้วนเข้าห้ำหั่นทั่วท้องนภา
ตูม…
ทะเลเพลิงที่ลุกโหมกระจายไปทั่วสี่ทิศ
สกิลเทพแยกไฟ
ดาบเล่มนี้คือดาบทำลายไฟ เชี่ยวชาญในการฟาดฟันคาถาทั้งหมด!
ทว่า กู่ฉิงซานไม่ยอมแพ้ก่อนเสริมพลังเก้าเท่าด้วยทางเลือกสวรรค์เข้าไปอีก
ดาบแยกไฟสิบรอบ!
ทะเลเพลิงกระจายออกในทันที โลกแก้วหลากสีสันทั้งใบกลายเป็นโลกแห่งเปลวไฟ
คาถาของนกอมตะและอสุราเหล่านั้นล้วนถูกตัดขาด พวกมันไม่สามารถทำการใช้ได้สักพัก
วินาทีต่อมา
ทะเลเพลิงขนาดมหึมาหายไปทันที
ทั่วโลกถูกขวางกั้นด้วยน้ำแข็ง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดไม่สามารถขยับได้
สกิลเทพประกายเยือกแข็ง!
…ประกายเยือกแข็งจับตัวเป็นกลุ่มก้อน เกาะกุมร่างกายของทุกชีวิตเอาไว้จนไม่สามารถขยับได้ มันคือสกิลเทพของวิชาดาบเยือกแข็งทำลายล้าง!
ประกอบกับพลังของทางเลือกสวรรค์ ทำให้สกิลเทพนี้ปลดปล่อยพลังออกมาสิบรอบ
ตอนนี้ กู่ฉิงซานปล่อยจิตเทพออกไป ตรวจสอบนกอมตะและอสุราทั้งหมดแล้วกล่าวว่า “เพราะอาจารย์บอกว่าอยากให้พวกเจ้าหายไป เช่นนั้นพวกเจ้าก็ควรหายไป”
ความคิดหนึ่งออกมาจากตัวเขาขณะปกคลุมโลกทั้งใบราวกับเงาที่มองไม่เห็น
…สกิลเทพสิบรอบ จิตดาบ บดบังตะวันจันทรา!
หลังจากใช้ดาบนี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกแก้วหลากสีถูกกวาดล้าง ไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใด ๆ
สิ่งที่แปลกคือนกอมตะและอสุราที่ตายกลายเป็นร่างโปร่งแสงซีดอย่างสมบูรณ์
สีหน้าของพวกมันดุร้ายยิ่ง ร่างกายสั่นสะท้านคล้ายกับอยู่ในสภาพแปลกประหลาด
“ไม่ใช่ร่างวิญญาณ อาจารย์ ท่านเคยเห็นอะไรแบบนี้หรือเปล่า”
กู่ฉิงซานชำเลืองมองก่อนถามทันที
เซี่ยเต้าหลิงมองสักพักก่อนตอบว่า “ดูท่าจะเป็นร่างของฝั่งวิญญาณชั่วร้าย ว่ากันว่าสิ่งมีชีวิตบางส่วนที่ไม่เข้าสู่ยมโลกหลังจากตายไปแล้วจะกลายเป็นร่างวิญญาณชั่วร้ายก่อนตกลงสู่หนทางดังกล่าวเพราะกรรมอันยิ่งใหญ่ที่ก่อไว้”
ทันใดนั้น มีเสียงปรบมือดังขึ้นในความว่างเปล่า
“วิเศษ วิเศษยิ่งนัก”
เงาหลายสิบร่างปรากฏขึ้นในท้องนภา
พวกเขาสวมชุดผู้ฝึกยุทธ์กับหน้ากากวิญญาณชั่วร้ายขณะก้มมองกู่ฉิงซานและเซี่ยเต้าหลิง
หางตาของกู่ฉิงซานกระตุก
หน้ากากวิญญาณชั่วร้าย!
มันคือพวกของฝั่งวิญญาณชั่วร้าย!
เขาเห็นหนึ่งในนั้นส่งสัญญาณก่อนเอาผนึกแก้วหลากสีมาไว้ในมือแล้วเล่นกับมันอย่างช้า ๆ
“ชิ โชคยังดี พวกข้าใช้วิชาของสองโลก ทำให้เข้าโลกอื่นได้ชั่วคราว ไม่อย่างนั้นดาบเมื่อครู่คงฟันโดนพวกข้าแน่ ๆ ” ผู้ชายหัวเราะ
กู่ฉิงซานกันเซี่ยเต้าหลิงไว้ข้างหลังแล้วถามว่า “พวกเจ้ามาจากกลุ่มวิญญาณชั่วร้ายหรือ”
ผู้ชายตอบอย่างเกียจคร้านว่า “ถูกต้อง มังกรฟ้าที่เจ้าฆ่าไปคือข้ารับใช้ของข้าเอง”
เขาถอนหายใจแล้วกล่าวอีกครั้งว่า “เท่าที่นับดู เจ้าฆ่าข้ารับใช้ข้าไปสองคนแล้ว แถมยังทำลายดินแดนของข้าอีก เดาซิว่าตอนนี้ข้าจะทำอะไรกับเจ้า”
ขณะพูด ร่างของพวกเขาค่อย ๆ รวมเข้าด้วยกัน
…พวกเขามายังโลกนี้แล้ว
ผู้ชายมองหอกปีศาจแดงที่อยู่ข้างกู่ฉิงซาน เผยสีหน้าซาบซึ้งออกมา
“เดิมที หอกเล่มนี้ควรถูกพันธนาการเอาไว้เหมือนกับพลังมังกรคู่ แต่น่าเสียดายที่มันคือพลังที่ขุนเขาศักดิ์สิทธิ์มอบไว้ให้ เพราะอย่างนั้นผนึกของข้าจึงไม่อาจพันธนาการมันได้…แต่นั่นมันไม่สำคัญ เพราะยังไงเจ้าก็ต้องตายด้วยมือของข้าอยู่แล้ว”
ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดที่อยู่รอบข้างร่ายวิชาอย่างรวดเร็ว
อสุราและนกอมตะที่ถูกกู่ฉิงซานสังหารไปในความว่างเปล่าล้วนก่อเกิดวิญญาณขึ้นก่อนพุ่งเข้าหากลุ่มวิญญาณชั่วร้าย
วิญญาณเหล่านั้นหลอมรวมเป็นหนึ่ง เสียงกรีดร้องนับพันดังขึ้น
กู่ฉิงซานไม่ได้ลงมือ เพียงแค่พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ดูสภาพของเจ้าสิ ขุนเขาเซียวหมีกำลังมุ่งหน้าสู่หายนะแท้ ๆ เกรงว่ามันคงสร้างปัญหาให้กับพวกเจ้าเหมือนกันสินะ”
ผู้ชายยิ้มแล้วตอบว่า “แล้วไง เพื่อจัดการกับเจ้า ข้าเตรียมสิ่งมีชีวิตนับล้านเหล่านี้เพื่อเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายเพื่อไม่ให้ถูกเจ้าจัดการ ราชาภูตผีแห่งยมโลก”
ตอนนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนที่อยู่ข้างเขาตะโกนว่า “นายท่าน”
ผู้ชายยื่นมือออกไปร่ายวิชาแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “นั่นแหละคือจุดจบ ฆ่าพวกมันทั้งสองคน”
พลังกฎเกณฑ์ขนาดใหญ่แผ่ออกมาจากคนคนนั้น
วิถีวิญญาณชั่วร้าย สกิลเทพเก้าใต้พิภพ วิชาปลดเปลื้องชีพของราชาภูตผีทมิฬ!
กู่ฉิงซานยังคงไม่ใช้ดาบ
เขาเพียงลอบถอนหายใจออกมา
เมื่อครู่ ขณะทั้งสองกำลังสนทนาอยู่นั้น ลั่วปิงหลีได้คุยกับเขาในทะเลแห่งความตระหนักรู้…
“ไม่ต้องห่วง ข้าเข้าใจว่าการต่อสู้ก็คือการต่อสู้ แต่ทำไมมันถึงมีการรุกรับมากมายขนาดนี้ล่ะ”
นางกล่าว
“กู่ฉิงซาน หลังจบเรื่องวันสิ้นโลกแล้ว ข้าจะต้องไปพัก”
“ส่วนตอนนี้ ในฐานะวิญญาณดาบ ข้าจะต่อสู้ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี ดังนั้นนี่ไม่นับว่าเจ้าผิดคำสาบาน”
กู่ฉิงซานกล่าวว่า “เข้าใจแล้ว ครั้งนี้ข้าติดหนี้เจ้า”
ลั่วปิงหลียิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “วิญญาณดาบและผู้ใช้ดาบเป็นตายร่วมกัน พูดยากว่าพวกเราติดหนี้กันจริงหรือเปล่า ไปกันเถอะ ไปลุยด้วยกัน”
ในที่สุดกู่ฉิงซานตวัดดาบศักดิ์สิทธิ์ ทันทีที่สกิลเทพของวิญญาณชั่วร้ายกำลังจะถูกใช้งาน เขาฟาดประกายดาบออกไปอย่างแผ่วเบา
ดาบนี้ไม่ช้าจนเกินไป แต่เร็วมากแม้จะไม่ทรงพลัง แต่แม่นยำสุด ๆ
ประกายดาบพุ่งผ่าน ตรงเข้าหาร่างหลอมรวมของวิญญาณนับสิบล้านดวงทันที
ดาบศักดิ์สิทธิ์ พลังเหนือธรรมชาติ…
กระแสปั่นป่วน!!!
เพียงพริบตา ร่างหลอมรวมพลันแยกออก
วิญญาณชั่วร้ายทั้งหมดบินกลับเข้าร่างที่มีเลือดเนื้อสด ๆ ของตัวเองที่ตายไป อสุราเหล่านั้นสวมชุดเกราะศึกอีกครั้ง ในมือกลับมาถืออาวุธ
กลายเป็นว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดยังถูกแช่แข็ง ไม่สามารถขยับได้
…ไม่ว่าจะอสุราหรือนกอมตะ พวกมันกลับมาอยู่ในสภาพที่ถูกฟันด้วย “ประกายเยือกแข็ง”
แบบนี้ สิ่งที่เรียกว่าการหลอมรวมวิญญาณชั่วร้ายก็จะไม่คงอยู่อีกต่อไป
สกิลเทพเก้าใต้พิภพของวิญญาณชั่วร้ายย่อมเสียการสนับสนุนไปในทันที
สกิลเทพไม่สามารถปล่อยในทันทีได้
ฉากอันน่าเหลือเชื่อนี้ทำให้วิญญาณชั่วร้ายที่ต่อสู้ในโลกคู่ขนานมานับไม่ถ้วนถึงกับอึ้งไปสักพัก
หัวหน้าวิญญาณชั่วร้ายนิ่งไปก่อนถามด้วยเสียงแหบพร่าว่า “เจ้าใช้ดาบอะไร”
กู่ฉิงซานมองเขาก่อนตอบอย่างสงบว่า “ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”
“คิดว่าตัวเองเหนือกว่าสินะ” ทั่วร่างหดลง มือทำการร่ายวิชาก่อนบีบผนึกอย่างรวดเร็ว
เขาเริ่มเอาจริงแล้ว!
วิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ข้างเขาเริ่มร่ายวิชาเหมือนกัน
กู่ฉิงซานยังคงไม่ขยับ ไม่ใช้ดาบ ไม่หยุดยั้งอีกฝ่าย
วิชาของวิญญาณชั่วร้ายเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ในที่สุดความตื่นตระหนกในใจก็หายไป ปากเผยรอยยิ้มให้เห็น “เจ้าโง่ เจ้าพลาดโอกาสที่จะมีชีวิตรอดไปแล้ว แถมตอนนี้ยังจะมารนหาที่ตายอีก”
กู่ฉิงซานส่ายหน้าโดยที่ไม่กล่าวอะไร
เขาก้าวถอยออกมา
เซี่ยเต้าหลิงผู้ยืนอยู่ด้านหลังเขากลับคืนร่างจริงแล้ว วิชาในมือนางทำงานได้สักพักใหญ่
วิชานี้ต้องใช้ผนึกหลายสิบอันถึงจะสมบูรณ์ เป็นการยากยิ่งที่จะสำแดงในการต่อสู้ได้
โชคยังดี ครั้งนี้กู่ฉิงซานรับหน้าที่ต่อสู้ทั้งหมดเพื่อซื้อเวลาให้เซี่ยเต้าหลิง
เซี่ยเต้าหลิงร่ายผนึกสุดท้ายก่อนปล่อยมันออกไป
นางมองวิญญาณชั่วร้ายแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ไม่ใช่แค่พวกเจ้าวิญญาณชั่วร้ายเท่านั้นที่เชี่ยวชาญสกิลเทพหกวิถีหรอกนะ”
เพียงพริบตา ทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างเปลี่ยนไป
แสงหมองหม่นเดินทางสู่มิติและเวลาไม่มีสิ้นสุดขณะฉายจากโลกอันแสนไกลลิบ
โลกแก้วหลากสีค่อย ๆ ถูกปกคลุมด้วยหมอก
ในส่วนลึกของหมอก แม่น้ำกว้างใหญ่มองเห็นได้เลือนรางทั่วท้องนภา
แม่น้ำเงียบสงบ มองไม่เห็นสุดสายปลายทาง
มีเรือลำเล็กแล่นมาจากส่วนลึกของแม่น้ำ ผู้หญิงร่างผอมยืนอยู่บนกราบเรือขณะขยับไม้พายเบา ๆ
..............................