ตอนที่ 1120 มังกรฟ้า!
ราตรี
ถิ่นทุรกันดาร
เปลวไฟบนท้องนภาตกลงมาก่อนกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง ทำให้เกิดหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่
ผ่านไปสักพัก
ตะเกียบสีทองบริสุทธิ์หนึ่งคู่พุ่งออกจากใต้หลุม จากนั้นทะลวงผ่านอากาศอีกครั้ง
มันทะลวงโลกที่ถูกทำลายจนสิ้นซากจนถึงโลกที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ มันยังคงบินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
โลกไม่มีสิ้นสุด
ไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดมันกลับมาหาผู้ปกครองอีกครั้ง
ตะเกียบทองคำสั่นไหวขณะลงบนโต๊ะอย่างเงียบงัน
มันรู้ว่าตอนนี้ผู้ปกครองอารมณ์ไม่ดี ทำให้ไม่พูดอะไร เพียงแค่กองอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ
ผ่านไปสักพัก
เสียงของผู้ปกครองดังขึ้นในที่สุด
“น่าสนใจจริง ๆ ที่มีใครบางคนกล้าฆ่าข้ารับใช้ของข้า”
เกิดความเงียบสนิท
บนยอดเขาสีเทา ทั้งวิญญาณชั่วร้ายและข้ารับใช้นับไม่ถ้วน ไม่มีใครกล้าพูด
เสียงของผู้ปกครองดังขึ้นอีกครั้ง “เอาล่ะ เรียกวิญญาณมา ข้ามีเรื่องอยากจะถามว่าราชาภูตผีแห่งยมโลกพูดอะไรบ้าง”
ข้ารับใช้คนหนึ่งเริ่มร่ายวิชา
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ
ข้ารับใช้คนนี้เหงื่อไหลไม่หยุดขณะยังคงร่ายวิชาเรียกวิญญาณจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถเรียกวิญญาณของข้ารับใช้ที่เพิ่งตายไปกลับมาได้
เขาใช้ไปทั้งสิ้นห้าสิบสามวิชา ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นผล เขาพยายามใช้วิชาที่ห้าสิบสี่ ทันใดนั้นก็พบว่าร่างของเขาได้หายไปแล้ว
มีกองกระดูกอยู่บนพื้น เหลือเพียงวิญญาณที่ยังยืนอยู่กับที่
ทันใดนั้น ในความว่างเปล่ามีลิ้นยาวยื่นออกมา มันขดรอบวิญญาณดวงนั้นก่อนหายไป
เกิดความเงียบสนิท
ในโลกทั้งใบ ไม่มีใครกล้าหายใจด้วยเกรงว่าเสียงหายใจจะไปดึงดูดความสนใจของผู้ปกครอง
เสียงของผู้ปกครองดังขึ้นอีกครั้ง
“ไร้ประโยชน์ เปลี่ยนคน”
พวกข้ารับใช้ไม่กล้าขยับขณะมีวิญญาณชั่วร้ายป่าเถื่อนตนหนึ่งยืนขึ้นก่อนเริ่มร่ายวิชา
เขาพยายามอยู่สามวิชา แต่ยังไม่ได้ผล
เขาครุ่นคิดสักพัก จากนั้นคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อรายงานว่า
“นายท่าน ข้าผู้ต่ำต้อยได้พยายามสุดความสามารถแล้ว แต่เป็นไปได้ที่จะเรียกวิญญาณกลับมา”
“โห”
เสียงของผู้ปกครองลากหางยาวก่อนดังขึ้นอีกครั้ง
เป็นดังที่ทุกคนคาด ครั้งนี้ผู้ปกครองไม่คล้ายกับโกรธอีกต่อไป แต่กลับดูสนใจเล็กน้อย
“แม้แต่เจ้าก็ไม่สามารถอัญเชิญวิญญาณมาได้หรือ”
“ขอรับ”
“น่าสนใจ น่าสนใจมาก ขอข้าลองด้วยตัวเองหน่อยแล้วกัน”
กฎเกณฑ์แห่งสวรรค์และปฐพีอันยิ่งใหญ่รวมตัวบนยอดเขา จากนั้นหายไปช้า ๆ
“การอัญเชิญวิญญาณล้มเหลว”
เสียงของผู้ปกครองแผ่วเบา ไม่อาจรับรู้ว่ายินดีหรือเกรี้ยวกราด
วินาทีต่อมา
ทั่วทั้งโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง หมู่ดาวไม่มีสิ้นสุดเคลื่อนลงมาจากท้องนภาก่อนตกลงบนยอดเขา
“เจอแล้ว”
สิ้นเสียงนี้ ภาพทั้งหมดหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
โลกกลับคืนสู่ความมืด
แสงหิ่งห้อยเลือนรางปรากฏขึ้น
“น่าทึ่ง…”
“ไม่สงสัยเลยว่าเจ้าไม่สามารถเรียกวิญญาณได้ กลายเป็นว่าวิญญาณถูกทำลายไปแล้ว มีเพียงกลิ่นอายเลือนรางเท่านั้นที่ยังลอยอยู่ในความโกลาหล”
“ดังนั้นข้าต้องใช้วิชาแห่งมิติและเวลา วิชาการเติบโตของวิญญาณและวิชาการสร้างร่างขึ้นมาใหม่ถึงจะสามารถฟื้นคืนกลับมาได้”
วิญญาณชั่วร้ายยังคุกเข่ากับพื้นขณะฟังนายท่านนับ เขาประสานมือแล้วกล่าวว่า “นายท่านมีพลังเวทมนตร์ที่ไร้พรมแดน ข้าน้อยผู้นี้นับถือยิ่งนัก”
“ไม่ต้องมานับถือ…ข้าไม่ได้ต้องการ”
วิญญาณชั่วร้ายอาจหาญถามว่า “ทำไมล่ะ”
มือข้างหนึ่งยื่นออกมาเพื่อทำลายกลิ่นอายอ่อน ๆ ของเขาอย่างแผ่วเบา
ช่วงเวลานี้เท่ากับจุดจบ กลับคืนสู่ความโกลาหล ไม่สามารถหวนกลับมาได้อีก
เสียงของผู้ปกครองดังขึ้นอีกครั้ง
“สุนัขไม่ควรค่าที่จะมานับถือ”
“ถ้าข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ให้ตะเกียบแสดงวิชาแสงและเงาก็พอแล้ว”
ตะเกียบทองคำกองอยู่บนโต๊ะ เมื่อได้ยินคำพูดของผู้ปกครอง มันรู้ว่าถึงเวลาแสดงฝีมือแล้ว
มันลอยขึ้นมาแล้วพลันปล่อยแสงและเงาออกมา
ภาพบทพูดของกู่ฉิงซานกับข้ารับใช้ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ และสมบูรณ์
จากนั้นก็สู้กัน
ดาบยาวถูกห้อมล้อมโดยอสนีบาตขณะแทงตะเกียบทองคำจนทำให้ข้ารับใช้เคลื่อนไหวไม่ได้ทันที
จากนั้นจึงได้ฟังคำพูดของราชาภูตผีแห่งยมโลกที่กล่าวว่า “เจ้ารู้แค่ว่านายท่านทรงพลัง แต่เจ้าไม่รู้ว่าการนำไฟฟ้าของทองคำอยู่ในอันดับสามของตระกูลโลหะ อันดับสองคือทองแดง อันดับหนึ่งคืออลูมิเนียม”
ผู้ปกครองวิญญาณชั่วร้ายที่เคาะโต๊ะด้วยมือในตอนแรก แต่ทันใดนั้นก็หยุดเคาะ
วิญญาณชั่วร้ายทั้งหมดเงียบ
ดวงตาทุกคู่จับจ้องตะเกียบทองคำ
นำไฟฟ้าหรือ
ตะเกียบทองคำคือสิ่งประดิษฐ์วิญญาณชั้นหนึ่ง ทุกครั้งที่ได้รับมาจากนายท่าน พวกเขาได้นำมันไปต่อสู้มากมายและไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน
คาดไม่ถึง…ตะเกียบนี้จะนำไฟฟ้า…
เหล่าวิญญาณชั่วร้ายยังคงมองแสงและเงาต่อไป
พวกเขาเห็นข้ารับใช้ชี้ดาบที่หน้าอก เป็นสัญญาณว่าถามบางอย่าง
ราชาภูตผีแห่งยมโลกส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่บอกเจ้าหรอกนะ”
เมื่อเห็นราชาภูตผีและตะเกียบทองคำลอบโจมตีใส่กัน ในที่สุดตะเกียบทองคำก็หาทางหนีมาได้
ถึงจุดนี้ แสงและเงาหายไปช้า ๆ
ผู้ปกครองวิญญาณชั่วร้ายครุ่นคิดสักพักก่อนกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “ราชาภูตผีคนนี้เข้าใจโครงสร้างและการเชื่อมโยงของทุกสิ่งจนทำลายกฎเกณฑ์แห่งเหตุผลของตะเกียบทองคำข้าได้ด้วยสายฟ้า ช่างเป็นความคิดที่น่าตื่นตาจริง ๆ ”
“ยิ่งกว่านั้น ราชาภูตผีแห่งยมโลกมีพลังที่ยอดเยี่ยม เขาสามารถจัดการคนที่ทำผิดซ้ำซากในขุมนรกได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลาใช้ประโยชน์ก็สามารถเรียกพวกเขาออกมาได้”
“จากนั้น…ก็ส่งใครบางคนไปโน้มน้าว…”
คำพูดของเขาไม่มีมาเพิ่ม
ทันใดนั้น แสงเปลวไฟลอยขึ้นในความว่างเปล่าก่อนตกลงมาตรงหน้าผู้ปกครองวิญญาณชั่วร้าย
เขาหยิบแสงเปลวไฟเพื่อตรวจสอบรายละเอียดเงียบ ๆ
บรรยากาศพลันเปลี่ยนไป
จิตสังหารแรงกล้าไม่มีสิ้นสุดเกิดขึ้นจากอากาศบาง ปกคลุมวิญญาณชั่วร้ายทั้งหมด ทำให้พวกมันไร้พลังที่จะยืนหยัด
จู่ ๆ นายท่านก็โกรธขึ้นมา!
ซ่า
ทุกคนคุกเข่าลง ตกอยู่ในบรรยากาศที่ไม่มีใครกล้าส่งเสียง
เสียงของนายท่านลุ่มลึก “พวกมันบอกว่าการทำลายแหล่งเงินก็เหมือนกับการฆ่าครอบครัว”
“ข้าคิดว่าราชาภูตผีคนนี้จะฉลาดเสียอีก แต่เขากลับทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจนทำลายดินแดนของข้า”
ตอนนี้วิญญาณชั่วร้ายต่างรู้อยู่เต็มอก
“ถึงข้าจะต่ำต้อยไร้พรสวรรค์ แต่ก็พร้อมเต็มใจจะรับใช้นายท่าน”
“นายท่าน ให้ข้าไปเถอะ ข้าจะขยี้มันให้เป็นชิ้น ๆ !”
“นายท่าน ข้าจะทำให้มันเจ็บปวดจากการทรมานของทั้งโลก ท้ายที่สุดจึงค่อยกินมันเข้าไป”
พวกเขาแย่งกันพูด
ผู้ปกครองวิญญาณชั่วร้ายกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “เข้าใจแล้ว”
เสียงทั้งหมดพลันหายไป
“ข้าจะไปฆ่าผู้ชายคนนี้แล้วให้ทุกคนได้เห็นความเจ็บปวด!”
“มังกรฟ้า…”
“ไปฆ่าราชาภูตผีให้ข้าแล้วเดินทางไปทั่วยมโลกพร้อมวิญญาณของมันเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับพวกภูตผีและเทพ”
ทันทีที่สิ้นเสียง เสียงมังกรดังมาจากส่วนลึกของท้องนภา
แสงสีเขียวสาดส่องเหนือท้องนภายามค่ำราวกับแสงออโรร่า
ไม่ช้า
ร่างขนาดใหญ่และโอ่อ่าเคลื่อนลงมาจากท้องนภาก่อนบินไปทั่วขุนเขา
ฟ้าแลบฟ้าร้องสนั่น พายุฝนพัดโหมกระหน่ำ
พวกวิญญาณชั่วร้ายเกาะติดอยู่กับพื้นด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีจึงพอจะทำให้ร่างตัวเองไม่ถูกสายลมพัดปลิว
“น้อม…รับ…”
เสียงหนักอึ้งที่ดังก้องไปทั่วโลกทำให้ปฐพีสั่นสะเทือน
…
อีกด้าน
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นในยานอวกาศ
กลุ่มหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“ท่านพัฒนาถึงระดับนภายามค่ำแล้ว”
“นับจากนี้ไป ท่านคือผู้ฝึกยุทธ์ระดับนภายามค่ำ”
“พลังวิญญาณของท่านทะยานขึ้นเจ็ดสิบส่วน”
กู่ฉิงซานยืนขึ้นขณะสัมผัสมันเล็กน้อย
ใช่แล้ว พลังวิญญาณพัฒนาขึ้นมาก
ในการต่อสู้ทั่วไป ยิ่งพลังวิญญาณมากเท่าไหร่ พลังการโจมตีของผู้ฝึกยุทธืก็จะมากตามไปด้วย
ปริมาณรวมของพลังวิญญาณจะตัดสินความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์ในการต่อสู้ต่อเช่นกัน
ดังนั้นสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ พลังวิญญาณคือสิ่งสำคัญมาก…แต่ไม่ใช่ตัวที่จะตัดสินได้ทุกอย่าง
เพราะในสมรภูมิ การปรับตัวของผู้ฝึกยุทธ์ พลังจากอุปกรณ์และอาวุธเวทมนตร์ ความมุ่งมั่นและเจตจำนงของผู้ฝึกยุทธ์ หรือแม้กระทั่งการออกแบบกลยุทธ์กับการลอบโจมตีล้วนตัดสินผลลัพธ์ของการต่อสู้
ทำไมผู้ใช้ดาบถึงน่าหวาดกลัวน่ะหรือ
ก็เพราะผู้ใช้ดาบอุทิศชีวิตจนเก่งกาจการต่อสู้มากที่สุดนั่นเอง
กู่ฉิงซานเดินไปมาอยู่ในยานอวกาศ ในใจเกิดความลังเล
…จะพัฒนาระดับพลังต่อเลยดีหรือเปล่า
หลังจากไปถึงระดับนภายามค่ำ เขาสามารถสัมผัสได้ว่าความเร็วในการดูดกลืนพลังมังกรมารเพิ่มมากขึ้น
มังกรมารคือสิ่งประดิษฐ์วิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณ แต่น่าเสียดาย มันถูกยึดครองโดยวิญญาณชั่วร้าย ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณต้องตัดใจจากอาวุธทรงพลังนี้
จะสามารถวัดค่าพลังที่อยู่ในระดับนภายามค่ำได้อย่างไร
กู่ฉิงซานเองได้คาดการณ์ว่าถ้าไม่ใช่เพราะพรจากการร่ายรำของเทพปฐพีหรือพรจากโลกอดีต มันจะต้องใช้เวลานานมากถึงจะสามารถดูดกลืนพลังมังกรมารได้อย่างสมบูรณ์
ดังนั้นตอนนี้ถึงกับเป็นโอกาส…
จะยังพัฒนาต่อดีหรือไม่
หรือจะไปอาณาจักรหนามก่อนเพื่อพบทุกคนแล้วเตรียมรับมือสงคราม
กู่ฉิงซานกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้น เขาเห็นแถวหิ่งห้อยสองสามแถวผุดขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“คำเตือนพิเศษ ท่านต้องพัฒนาพลังต่อไปจึงจะสามารถดูดกลืนพลังมังกรมารได้ทั้งหมด”
“หลังจากดูดกลืนพลังมังกรมารทั้งหมดแล้ว ท่านจะสามารถควบคุมพลังวิเศษได้”
กู่ฉิงซานรู้ว่าหน้าต่างระบบเทพสงครามกำลังรอจังหวะนี้อยู่
พลังวิญญาณสองร้อยแต้ม…ไม่เท่าไหร่หรอก
เขาถามว่า “เอาเถอะ เจ้าเอาพลังวิญญาณไป บอกข้ามา พลังวิเศษที่ว่าคืออะไร”
เพียงพริบตา พลังวิญญาณของเขาลดลงไปสามร้อยแต้มทันที
กู่ฉิงซานขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ทำไมรอบนี้ข้าถึงต้องจ่ายเพิ่มอีกหนึ่งร้อยแต้มล่ะ”
อีกสองร้อยแต้มหายไปก่อนหน้าต่างระบบเทพสงครามตอบว่า “เพราะคำตอบนี้ควรค่าแก่การจ่าย”
กู่ฉิงซานถามอย่างจนใจว่า “เอาเถอะ บอกข้ามา พลังวิเศษที่ว่าคืออะไร”
พลังวิญญาณลดไปอีกสามร้อยแต้ม
กู่ฉิงซานเริ่มมีน้ำโห
เห็นได้ชัดว่าเป็นคำถามเดิม ทำไมถึงเก็บเพิ่มอีกล่ะ
โชคยังดี ครั้งนี้เขาได้รับบทเรียนจนทำตัวฉลาดขึ้น ทำให้ปิดปากแน่น ไม่ถามแม้แต่คำเดียว
เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูด หน้าต่างระบบเทพสงครามจึงลองหยั่งเชิงด้วยการกล่าวว่า
“เมื่อท่านดูดกลืนพลังมังกรมารมาทั้งหมด ท่านจะได้รับพลังวิเศษ…”
กู่ฉิงซานปิดปา
เขายังคงปิดปาก ไม่ยอมพูดอะไร
หน้าต่างระบบเทพสงครามรออยู่สักพัก จากนั้นจึงกล่าวต่ออย่างไม่พอใจว่า “จุติเป็นมังกรมาร”
..............................