ตอนที่ 974 ผู้ใช้วิชาดาบหรือ หึ!
ช่วงที่มังกรมารเข้าสู่อาณาจักรหนาม
อีกด้าน
ทางแยกของพื้นที่จ้าวโลกและพื้นที่เอกฐาน
วิญญาณกรีดร้องถูกขวางทางโดยสุนัขสีดำ
เสียงกรีดร้องยาวค่อยๆ หายไป
ในสายลมและควัน ทุกชีวิตที่ปรากฏในมิติรอบข้างถูกดูดวิญญาณ ซากศพถูกพัดด้วยสายลมในวังวนความว่างเปล่า
สุนัขสีดำยืนอยู่กับที่ขณะถือไม้เท้าความตาย ดูปลอดภัยหายห่วง
“นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
วิญญาณกรีดร้องจ้องไม้เท้าในมือของสุนัขสีดำ เผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาเป็นครั้งแรก
“ยุคนั้นมันจบไปนานแล้ว สิ่งที่เรียกว่าเทพหายไปนานแล้ว เจ้ามันก็แค่เศษธุลีที่หลงเหลืออยู่ในความว่างเปล่า ทำไมยังมีพลังแห่งความตายเหลืออยู่อีก!”
ประโยคนี้คล้ายกับเป็นการระบาย แต่ก็เหมือนกับเป็นคำถามเช่นกัน
สุนัขสีดำยืนอยู่ที่เดิม บนใบหน้าเผยรอยยิ้มลึกลับออกมา
“สัตว์ประหลาดหุบเหวที่น่าสงสารเอ๋ย เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอดีตเลยสินะ ความเข้าใจเรื่องพลังของเจ้าถึงได้ตื้นเขินเพียงนี้”
สุนัขสีดำกล่าวเสียงดังขณะลอบเพ่งสติไปยังไม้เท้าความตาย
มันตรวจสอบไม้เท้าเงียบๆ หัวใจค่อยๆ ดิ่งวูบ
พลังแห่งความตายบนไม้เท้าใกล้หมดแล้ว แต่การต่อสู้เพิ่งจะเริ่มเท่านั้นเอง
วิญญาณกรีดร้องผู้เป็นสัตว์ประหลาดหุบเหวนิรันดร์คือศัตรูที่ทรงพลัง
ในฐานะขุมกำลังหุบเหวและผู้ส่งสารความโกลาหล มันสามารถบัญชาทั้งพลังหุบเหวและความโกลาหลพร้อมกันได้
เพื่อขัดขืนเสียงกรีดร้อง สุนัขสีดำต้องใช้ไม้เท้าเพื่อกักเก็บพลังความตายเอาไว้หลายปี
ใช่แล้ว เพราะเทพจากไป หลายปีมานี้จึงเป็นการยากมากที่จะได้รับพลังแห่งความตาย
ยังไงเสียพลังแห่งความตายบนไม้เท้าความตายถูกสั่งสมโดยความพยายามของสุนัขสีดำ
“ข้าไม่เชื่อ! ยุคของเทพมันจบลงไปแล้ว!”
วิญญาณกรีดร้องคำราม
ด้านหลังเขา หมอกสีเทาไม่มีสิ้นสุดม้วนเข้ามาก่อนค่อยๆ ปกคลุมท้องนภาและดวงตะวัน
เสียงมาจากหมอกสีเทา
“ผู้ส่งสารของข้า ข้ามาตามเสียงเรียกของเจ้าจนมาถึงที่นี่ด้วยการเดินทางพิเศษ”
ทันทีที่เสียงสิ้นสุดลง อีกเสียงก็ดังขึ้นในหมอกสีเทา
“ตามข้อตกลง ข้าตอบรับเสียงเรียกขานของผู้ส่งสารก่อนมาสู้เพื่อความโกลาหล”
เสียงไม่ขาดตอนราวกับว่ามีผู้คนจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นในหมอกสีเทา
“ข้ามาแล้ว”
“น่าสนใจจริงๆ ผู้ส่งสารจะแสดงความคืบหน้าให้ข้าได้เห็นแล้ว”
“ในเมื่อข้าถูกอัญเชิญมาแล้ว ไม่ว่าตัวตนจะเป็นอะไร มันก็ต้องถูกข้าฆ่าอยู่ดี”
“การต่อสู้ยังไม่เริ่มอีกหรือ”
หมอกสีเทาค่อยๆ จางหาย
หลายสิบคนปรากฏขึ้นที่ด้านหลังวิญญาณกรีดร้อง
“ข้ารู้จักเจ้า สุนัขแห่งความตายในวิหารแห่งความตาย เดิมเจ้าไม่ได้มีพลังที่แก่กล้าเช่นนี้ ไม่งั้นคงไม่มีทางสู้กับข้าที่มีความโกลาหลในสภาพสมบูรณ์ได้”
วิญญาณกรีดร้องกล่าวต่อว่า “เอาสิ ในเมื่อเจ้ารักษาเจตจำนงของเทพแห่งความตายก็ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าจะสามารถต่อสู้กับผู้แบกรับความโกลาหลได้นานแค่ไหน”
มันส่งสัญญาณ
ผู้แบกรับความโกลาหลหลายสิบคนเคลื่อนตัวเข้าหาสุนัขสีดำ
สุนัขสีดำลอบคร่ำครวญ ใบหน้าจริงจังมากขึ้น
คนเหล่านี้มีแผงความโกลาหลพิเศษเป็นของตัวเอง พละกำลังเหนือกว่าระดับจ้าวโลก แค่พละกำลังเพียงคนเดียวก็เป็นการยากที่จะต่อสู้แล้ว
เรื่องดังกล่าวถูกวิญญาณกรีดร้องสังเกตเห็นทันที
ไม่มีทาง!
สุนัขสีดำชูไม้เท้าความตายก่อนร่ายคาถาเสียงดัง
“ทุกสิ่งมีทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด”
“มาจากธุลี หลับใหลในธุลี”
“มีเพียงวิญญาณที่สามารถก้าวข้ามทุกสิ่งและเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ลับของความตายได้”
เสียงของมันพลันดังขึ้น
“วิญญาณเอ๋ย!”
“ข้าคือเจ้านายของเจ้า!”
แสงสีดำระเบิดออกจากไม้เท้าความตาย สาดส่องใส่ผู้แบกรับความโกลาหลเหล่านั้น
ผู้แบกรับความโกลาหลเคลื่อนไหวคนแล้วคนเล่า
กลุ่มร่างมายาลอยขึ้นจากพวกเขาก่อนถูกแสงสีดำดึงเข้าไปในอากาศธาตุ
ร่างมายาเหล่านั้นขัดขืนด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี เปล่งเสียงตะโกนที่เงียบสงัดและพยายามทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้เพื่อกลับเข้าร่าง
“วิญญาณเอ๋ย จงหลับใหลเสียเถอะ”
สุนัขสีดำร่ายคาถาสุดท้ายด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
วูๆ
มีเสียงกระซิบแห่งความเศร้าโศกมาจากไม้เท้าความตาย
ภายใต้คาถาความตายนี้ ทุกความพยายามของร่างมายาช่างไร้ประโยชน์
พวกมันกระโจนเข้าสู่ไม้เท้าความตายร่างแล้วร่างเล่า
เพียงแค่อึดใจสั้นๆ
คาถาสิ้นสุดลง
ผู้แบกรับความโกลาหลทั้งหมดกองลงกับพื้นในสภาพไร้ลมหายใจ
ถึงแม้แต่ละคนจะมีแผงความโกลาหลพิเศษ แต่พวกเขาไม่สามารถขัดขืนคาถาตรงหน้านี้ได้
ลูกตาของวิญญาณกรีดร้องพลันหดลงก่อนเปล่งเสียงตะโกนออกมา
“เสียงกระซิบของเทพแห่งความตาย!”
มันอดที่จะก้าวถอยหลังเพื่อมองสุนัขสีดำด้วยสายตาเคร่งขรึมไม่ได้
นี่คือวิชาเทพโบราณที่หายสาบสูญไปนานแล้ว มันเคยถูกบันทึกในหนังสือศักดิ์สิทธิ์ของวิหารแห่งความตาย แต่หลายพันปีที่ผ่านมา ไม่มีใครใช้งานมันได้สำเร็จ
ดังนั้น ทุกชีวิตในทุกโลกรู้ว่าเทพแห่งความตายไม่ได้อยู่ที่นั่นนานแล้ว
แต่ทำไมล่ะ เขาเห็นวิชาวิเศษนี้กับตาตัวเองว่ามันใช้ได้ผลอีกครั้งไม่ใช่หรือ
หลังจากร่ายคาถา สุนัขสีดำจ้องวิญญาณกรีดร้องอีกครั้ง
“เจ้ายังมีอะไรอีก เอาออกมาให้หมดเลย”
สุนัขสีดำถือไม้เท้าความตายขณะกล่าวอย่างแผ่วเบา
ฉวยโอกาสจากความตกตะลึงของอีกฝ่าย สุนัขสีดำสื่อสารกับไม้เท้าในใจอีกครั้ง
วิญญาณความโกลาหลทั้งหมดเพิ่งเก็บเกี่ยวได้เมื่อครู่ พลังแห่งความตายบนไม้เท้าความตายถูกใช้จนหมดสิ้น
เมื่อเห็นผลลัพธ์ดังนี้ ในใจของสุนัขสีดำค่อยๆ แตกตื่นจนไม่อาจหักห้ามได้
ถ้าไม่มีไม้เท้านี่ พลังของสุนัขสีดำเพียงอย่างเดียวย่อมไม่สามารถเทียบกับวิญญาณกรีดร้องได้แน่
มันจะถูกกินวิญญาณโดยอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
“วิญญาณกรีดร้อง ถอยไปเสีย เจ้าไม่สามารถไปต่อเมื่ออยู่ตรงหน้าความตายได้หรอก”
สุนัขสีดำยังคงสงบขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
ตรงข้ามมัน วิญญาณกรีดร้องไม่ขยับ
“บัดซบ นี่มันเป็นไปไม่ได้”
วิญญาณกรีดร้องกระซิบ ดวงตาจับจ้องสุนัขสีดำ
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่ข้ารับใช้ของเทพ ทำไมถึงทรงพลังได้ขนาดนี้
มันยังซ่อนอะไรไว้อีก
วิญญาณกรีดร้องกำหมัด ลอบชั่งพละกำลังของทั้งสองฝ่าย
หรือจะบุกเข้าไปลองสักตั้งดี
วิญญาณกรีดร้องกระตือรือร้นที่จะลอง แต่ทันใดนั้นก็พบกับสถานการณ์ใหม่เข้า
เดี๋ยวสิ
สุนัขสีดำนี่
หางของมัน ตอนแรกตั้งขึ้นสูง ตอนนี้กลับค่อยๆ หย่อนยานและตกลงช้าๆ จนมาอยู่ตรงหว่างขา
นี่มันหมายความว่าอย่างไร
หรือว่ามันกำลังเตรียมจะใช้อย่างอื่นเพื่อฉวยโอกาสแซงหน้าข้างั้นหรือ
วิญญาณกรีดร้องลังเลก่อนสลัดความคิดที่พุ่งเข้าโจมตีชั่วคราว
…
อีกด้าน
อีกาสีดำพาซูเสวี่ยเอ้อร์ แอนนาและหนิงเยว่ฉานบินเข้าสู่วังวนความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
“สู้ๆ! ท่านอีกาดำ!”
แอนนาส่งเสียงปลุกใจ
“อย่าห่วงไปเลย แอนนา พวกเราจะถึงอาณาจักรหนามก่อนวิญญาณกรีดร้องแน่นอน” อีกาสีดำกล่าว
แอนนามองลงไปแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่านเทพสุนัขสีดำบ้าง”
“ไม่ต้องห่วงหรอก มันผ่านลมฝนมามากมาย ไม่มีทางเป็นอะไรง่ายๆ หรอก” อีกาสีดำกล่าว
“แต่มันมีจุดอ่อนใหญ่หลวงอยู่อย่างหนึ่ง เกรงว่าศัตรูก็คงมองออกเช่นกัน” แอนนากล่าว
“จุดอ่อนหรือ” อีกาสีดำกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด
“อืม มันไม่สามารถปกปิดอารมณ์ที่แท้จริงได้” แอนนาถอนหายใจ
มืออบอุ่นหนึ่งคู่แตะไหล่ของแอนนาเอาไว้
ซูเสวี่ยเอ้อร์
“แอนนา อย่าห่วงไปเลย ถ้าข้ารับใช้เทพไม่สามารถรับมือกับมันได้ อย่างน้อยพวกเราก็ยังมีโอกาสหนีรอด” ซูเสวี่ยเอ้อร์ปลอบ
แอนนาพยักหน้า
พวกนางสองคนมองอีกฝั่ง
พวกนางเห็นผู้ฝึกยุทธหญิงสวมชุดหลากสีสันยืนอยู่ด้านหน้าเพียงลำพังขณะมองวังวนความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด
แอนนาครุ่นคิดสักพัก เดินไปหาแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณที่ก่อนหน้านี้ช่วยพวกข้าเอาไว้นะ”
หนิงเยว่ฉานไม่ได้หันหลังกลับมามองก่อนกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ไม่ต้องคิดมากหรอก”
ซูเสวี่ยเอ้อร์กล่าวว่า “จะไม่ให้สนผู้ที่มาช่วยชีวิตได้ยังไง ข้าขอแนะนำอะไรสักอย่างแล้วกัน”
“ว่ามา”
ซูเสวี่ยเอ้อร์ชี้ไปที่แอนนาแล้วกล่าวว่า “เจ้าอาจจะมีสิทธิ์ในการปลุกบัญญัตินั่นให้กับคู่หูของข้าเช่นกัน ข้าจะไปอาณาจักรหนามกับนาง เจ้าไม่ต้องกลับไปหรอก เพราะอาณาจักรหนามจะต้องกลายเป็นสมรภูมิสำหรับการต่อสู้อันยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน”
หนิงเยว่ฉานเงียบสักพัก น้ำเสียงของนางอบอุ่นขึ้นมา “…ขอบคุณที่คิดถึงข้า แต่ข้าต้องกลับไป”
“ทำไมล่ะ” ซูเสวี่ยเอ้อร์ถามอย่างสงสัย
หนิงเยว่ฉานก้มศีรษะต่ำแล้วตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่มุ่งมั่นว่า “มีคนที่ข้ารอพบอยู่”
ประโยคนี้พลันเปลี่ยนบรรยากาศระหว่างทั้งสาม
สำหรับเด็กผู้หญิง คำพูดเหล่านี้เต็มไปด้วยเรื่องซุบซิบมากเกินไป
ซูเสวี่ยเอ้อร์และแอนนามองหน้ากัน
แอนนาอาจหาญถามก่อนว่า “ข้าขอเดานะ สหายเต๋ากับเจ้าไปถึงขั้นนั้นแล้วสินะ”
หนิงเยว่ฉานหันมามองแล้วยิ้มออกมาก่อนตอบว่า “ข้ายังไม่ไปถึงขั้นนั้นหรอกนะ”
“โห”
แอนนาและซูเสวี่ยเอ้อร์มีตอบอยู่ในใจเหมือนกัน
ผู้หญิงคนนี้คืออารักขาของอาณาจักรหนาม คนที่นางรักต้องเป็นคนจากอาณาจักรหนามแน่นอน บางทีคงเป็นหวานใจสมัยเด็กหรือไม่ก็นักรบชายที่ทำหน้าที่อารักขา
แต่มันก็น่าแปลกเช่นกัน
บรรยากาศตึงเครียดของสงครามถูกเจือจางด้วยหัวข้อนี้
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสถานการณ์วิกฤติ แต่สามสาวกลับผ่อนคลายเมื่อคิดถึงเรื่องนี้เล็กน้อย ระยะห่างระหว่างกันจึงแคบลง
แอนนาชี้ไปที่ซูเสวี่ยเอ้อร์ จากนั้นชี้มาที่ตัวเองแล้วกล่าวว่า “นางคือซูเสวี่ยเอ้อร์ อายุสิบเจ็ดปี ส่วนข้าคือแอนนา อายุสิบแปดปี ข้าขอบังอาจถามได้ไหมว่าปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่”
“ข้าอายุเท่าไหร่หรือ ปีนี้ข้าอายุยี่สิบสองปีน่ะ” หนิงเยว่ฉานตอบ
“ต้องเรียกเจ้าว่าพี่สาวสินะ ที่จริง ข้าอยากรู้ว่าผู้ชายที่เจ้าคิดถึงมีนิสัยยังไง” ซูเสวี่ยเอ้อร์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ทำไมอยากรู้ล่ะ” หนิงเยว่ฉานถาม
“วิชาดาบของเจ้าดีมาก คนธรรมดาไม่สามารถไปถึงระดับนี้ได้หรอก แถมรูปลักษณ์ของเจ้าก็มีเสน่ห์ อ่อนโยนและใจกว้าง แม้แต่ข้ายังรู้สึกติดใจเลย ข้าอยากรู้ว่าใครกันที่สามารถทำให้เจ้ารอคอยด้วยความคิดถึงแบบนี้ได้” ซูเสวี่ยเอ้อร์กล่าวอย่างจริงจัง
“เหลวไหลน่า อย่าพูดแต่เรื่องข้าเลย แล้วเรื่องของเจ้าล่ะ” หนิงเยว่ฉานอายเล็กน้อยก่อนยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนคำถาม
“พวกข้า”
ซูเสวี่ยเอ้อร์และแอนนาสบตากันก่อนกล่าวอย่างจนใจว่า “น่าเสียดายที่พวกข้าดันมาชอบผู้ชายคนเดียวกัน”
หนิงเยว่ฉานมองออกนานแล้ว จากนั้นจึงถามว่า “เขาเป็นคนแบบไหนหรือ”
“เออ มันก็พูดยากอยู่ ใช่ เขาเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธเหมือนกัน”
“โห”
หนิงเยว่ฉานเกิดสนใจขึ้นมาก่อนถามว่า “สหายเต๋าคนนี้ฝึกฝนอะไรหรือ พวกเจ้าน่าจะรู้เกี่ยวกับความแตกต่างของการฝึกฝนในลัทธิของผู้ฝึกยุทธนะ มันสามารถตัดสินนิสัยและพฤติกรรมของคนคนนั้นได้คร่าวๆ ”
“จริงหรือ” แอนนาเริ่มสนใจเช่นกัน
“จริง เรื่องนี้ได้รับการยืนยันมานานแล้ว” หนิงเยว่ฉานพยักหน้า
ซูเสวี่ยเอ้อร์พบว่ามันช่างน่าสนใจจึงอุทานออกมา “บอกเจ้าก็ได้ จากมุมมองของผู้ฝึกยุทธ เขาถึงกับเป็นผู้ใช้วิชาดาบ”
“ผู้ใช้วิชาดาบหรือ”
คิ้วเรียวบางของหนิงเยว่ฉานยกขึ้น สีหน้าของนางน่าเกลียดเล็กน้อย
เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้า ซูเสวี่ยเอ้อร์และแอนนาถามพร้อมกันว่า
“ผู้ใช้วิชาดาบมันยังไงหรือ”
หนิงเยว่ฉานพ่นลมออกจมูกแล้วตอบว่า “นักพรตที่ใช้ดาบสมัยนี้มักมีวิธีการที่ยืดหยุ่นและเจ้าเล่ห์ นั่นหมายความว่าพวกเขามีความโลเลเล็กน้อยด้วย”
“ยิ่งกว่านั้น ความจริงก็คือมีผู้ชายที่ใช้วิชาดาบน้อยมากๆ ข้าคิดเสมอว่าผู้ใช้วิชาดาบไม่ได้มีดีอะไร”
ใบหน้าของหนิงเยว่ฉานไม่สู้ดีขณะพูดกับตัวเองว่า “เขารู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงกับใช้วิชาเพื่อพิชิตใจพวกเจ้าพร้อมกันจนทำให้พวกเจ้าทนทุกข์กับความปั่นป่วนและอึดอัดนี่ ข้าเกลียดคนแบบนั้นจริงๆ”
แอนนาและซูเสวี่ยเอ้อร์ตกตะลึง
“อา นี่คือความตั้งใจของพวกข้าจริงๆ” แอนนาโบกมือด้วยความเขินอาย
ซูเสวี่ยเอ้อร์ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ใช่ เขาไม่ได้ใช้วิชาอะไรกับพวกข้าเลย แต่พูดตามตรง มันก็ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ ท้ายที่สุด มันลงเอยด้วยความสับสน”
หนิงเยว่ฉานรู้สึกไม่ยินดีมากขึ้นเมื่อได้ยินพวกนางพูดแบบนี้
นางวางมือบนมีดก่อนกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า
“พวกเจ้าไม่ต้องอธิบายเรื่องผู้ชายคนนี้อีกแล้ว พอไปถึงอาณาจักรหนามเมื่อไหร่ ข้าจะไปดูเองว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่”
จิตมีดแรงกล้าแผ่ออกมาจากร่างกายนาง
ซูเสวี่ยเอ้อร์และแอนนามองหน้ากัน ทั้งสองเห็นความจนใจในแววตาของอีกฝ่าย
ใช่แล้ว หนิงเยว่ฉานช่วยพวกนางทันทีที่ปรากฏตัว
หนิงเยว่ฉานเป็นห่วงจริงๆ ว่าพวกนางทั้งสองจะเผชิญหน้ากับสวะเข้า ดังนั้นนางจึงยิ่งเป็นห่วงเข้าไปใหญ่
แอนนามองเห็นถึงสิ่งนี้ ซูเสวี่ยเอ้อร์ก็มองเห็นเช่นกัน
ดังนั้นพวกนางทำได้เพียงปิดปาก เป็นเวลาเนิ่นนานที่พวกนางไม่รู้ว่าจะพูดถึงกู่ฉิงซานอย่างไรดี
……….……….……….……….