ตอนที่ 931 จุดกำเนิดของสงครามวันสิ้นโลก
เมื่อกู่ฉิงซานเคลื่อนย้ายผ่านวังวนความว่างเปล่า
พื้นที่จ้าวโลก
วิหารแห่งชะตากรรม
ซูเสวี่ยเอ้อร์ยืนอยู่ใจกลางโถงหลักขณะมองหมู่ดาวอย่างเงียบงัน
ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ผู้ศรัทธาสองคนเดินเข้ามาอย่างแตกตื่นก่อนรายงานว่า “ท่านบิชอปซู แสงศักดิ์สิทธิ์ที่ติดอยู่กับรูปปั้นหายไปแล้ว”
หลังจากนั้น บิชอปห้าคนกับอัศวินวิหารหลายสิบคนเดินเข้ามา
บิชอปคนหนึ่งตะโกนว่า “ซูเสวี่ยเอ้อร์ เป็นเพราะแนวทางอันแน่วแน่ของเจ้าที่ทำให้เทพพิโรธ ทำให้วิหารแห่งชะตากรรมเสียความสนใจจากเทพไป”
ซูเสวี่ยเอ้อร์ไม่หันมามองหรือแม้แต่จะพูดจา
เหล่าบิชอปมองหน้ากัน จากนั้นมองรอบข้าง
ผู้ศรัทธาคนอื่นไม่ได้อยู่ในโถงหลัก
พวกเขาดูผ่อนคลายมากขึ้น
“ซูเสวี่ยเอ้อร์ เจ้าควรสละตำแหน่งรักษาการณ์จ้าววิหารได้แล้ว เจ้าทำผิดพลาดมากเกินไป ผู้คนผิดหวังในตัวเจ้ามาก” บิชอปอีกคนกล่าว
ซูเสวี่ยเอ้อร์หันมาช้าๆ
นางดูโอ่อ่ายิ่งกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย แต่ความบริสุทธิ์ที่มากยิ่งกว่าปรากฏบนใบหน้างดงามของนาง ทำให้ความโอ่อ่าดูจืดจางลง
“พวกหัวโบราณ” ซูเสวี่ยเอ้อร์กระซิบ “นายท่านสนใจเพียงความรู้สึกเก่าๆ ไม่สนใจที่จะมาเข่นฆ่าพวกเจ้า เพราะงั้นพวกเจ้าเลยสร้างปัญหาขณะที่นายท่านหลับอยู่ ช่างเหลวไหลจริงๆ”
“พวกข้าแค่อยากหนี! หนีน่ะ เจ้าเข้าใจหรือเปล่า” บิชอปคนหนึ่งกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
ซูเสวี่ยเอ้อร์ตอบอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้าจะไปก็ช่าง แต่อย่ามาสร้างปัญหาให้ข้า”
นางส่งสัญญาณ
เทมพลาร์กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าไม่รู้ว่ามาจากที่ใด พวกเขาเข้ามาในวิหารอย่างรวดเร็ว
พวกเขาเข้ามาห้อมล้อมบิชอปและอัศวินเอาไว้
บิชอปคนหนึ่งตะโกนว่า “ซูเสวี่ยเอ้อร์ เจ้ากล้าดีอย่างไร! ตอนนี้เจ้ากำลังขัดขืนเทพนะ”
ซูเสวี่ยเอ้อร์ขัดเขาแล้วกล่าวว่า “เจ็ดวิหารใหญ่เสียความสนใจจากเทพไปแล้ว ทั่วพื้นที่จ้าวโลกไม่สามารถเชื่อมต่อกับเทพได้อีก พวกเจ้าคิดว่านี่คือสิ่งที่ข้าสามารถทำได้งั้นหรือ”
บิชอปตกตะลึง
ซูเสวี่ยเอ้อร์ส่ายหน้าแล้วกล่าวเสียงอ่อนว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะเรียกคนโง่ที่ทำแบบนี้ว่าอะไร”
นางส่งสัญญาณ
การสังหารเริ่มขึ้น
ผู้ก่อความไม่สงบคนแล้วคนเล่าถูกตัดศีรษะ ร่างกายอุ่นล้มลง โลหิตหลั่งไหล
ซูเสวี่ยเอ้อร์มองฉากนี้อย่างไม่ใส่ใจ ดวงตาสงบลง ออกจะเบื่อหน่ายเล็กน้อยด้วยซ้ำ
จนกระทั่งผู้ก่อความไม่สงบทั้งหมดถูกสังหาร นางจึงกล่าวอย่างเฉยชาว่า
“โถงหลักต้องสะอาดและเป็นระเบียบ”
“ขอรับ!” นักบวชคนหนึ่งตอบ
ซูเสวี่ยเอ้อร์หันมา ไม่สนใจความวุ่นวายที่อยู่ข้างหลังอีกต่อไป
แต่วินาทีต่อมา ความเฉยชาบนใบหน้าก็แตกสลายทันที
“รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
คิ้วงดงามของนางขมวดแน่น
หนังสือสีโลหิตปรากฏขึ้นในมือ มันพลิกไปที่หน้าหนึ่งเอง
นางเห็นหน้าที่เจ็ดนับจากด้านหลัง ในบรรดารายชื่อยาวเหยียด มีชื่อหนึ่งหายไป
หัวใจของซูเสวี่ยเอ้อร์บีบรัด
นางรีบเดินมานอกโถง
“ท่านบิชอปซู ท่านจะไปตอนนี้งั้นหรือ”
มหาปุโรหิตถามด้วยความสงสัย
“ข้าจะไปเตรียมการหน่อย อีกเดี๋ยวจะกลับมา” ซูเสวี่ยเอ้อร์พยักหน้าให้อีกฝ่าย
นางหายไปจากวิหาร กลับเข้าห้อง หยิบการ์ดออกมาแล้วกล่าวว่า
“ทะเลโลหิตที่เต็มไปด้วยความลึกลับไร้ขีดจำกัด ข้ากำลังตามหาการเปลี่ยนแปลง โปรดบอกทุกสิ่งให้รู้ด้วย”
ขณะทำการร่ายคาถา การ์ดพิเศษปรากฏขึ้นในมือนาง
ซูเสวี่ยเอ้อร์คลิกบนการ์ด
ในการ์ด เสียงเกรี้ยวกราดค่อยๆ ดังขึ้น
เสียงของเทพกองทัพเรือโลหิตนั่นเอง
“ซูเสวี่ยเอ้อร์ คนที่เจ้าแนะนำทำลายสัญญาเพราะเขาต้องการกลืนกินการ์ดนั่นมาวิวัฒนาการพลังตัวเอง”
ซูเสวี่ยเอ้อร์ฟังก่อนทำสมาธิอยู่หลายวินาที
พลังแบบไหนกันที่ถึงขั้นสามารถกลืนกินการ์ดสัญญาของเทพกองทัพเรือโลหิตได้
กู่ฉิงซานอาจจะแข็งแกร่งพอที่จะเหนือกว่าตัวเองไปแล้วก็ได้
เยี่ยมไปเลย
มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อยก่อนถามว่า “นายท่าน ท่านรู้ตำแหน่งของเขาหรือเปล่า”
“ไม่ ข้าไม่รู้ มิติและทิศทางปั่นป่วนไปหมด ข้าสัมผัสถึงพวกเขาไม่ได้เลย” เทพกองทัพเรือโลหิตตอบ
“อยู่ในพื้นที่จ้าวโลกหรือเปล่า”
“ไม่มั่นใจ”
ซูเสวี่ยเอ้อร์ถอนหายใจก่อนปลดการ์ด
ตอนนี้ได้รับข่าวดีแล้ว นางก็ต้องพยายามให้หนัก
นางเปิดประตูแล้วเดินออกไป
แม่ชีสองแถวรออยู่ด้านนอก เมื่อเห็นอีกฝ่าย พวกนางคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
ซูเสวี่ยเอ้อร์ไม่พูดอะไร
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ชุดเกราะหนึ่งมาปรากฏที่ตัวนาง
นางสาวเท้ามาข้างหน้า ผ่านอัศวินและจอมเวทจำนวนนับไม่ถ้วนที่พร้อมจะไปตามทางก่อนขึ้นสู่แท่นสูง
ขณะมองทหารเบื้องล่างนับไม่ถ้วน ซูเสวี่ยเอ้อร์กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไป!”
…
กู่ฉิงซานและหลินเหาะไปตามเส้นทางแสงและเงารูปวงรี
พลังที่มองไม่เห็นก่อตัวขึ้นจากอากาศบาง ดึงทั้งสองให้เคลื่อนย้ายไปทางหนึ่งอย่างต่อเนื่อง
“นี่คือเส้นทางว่างเปล่าที่ถูกเปิดแล้ว ตราบที่พวกเราเข้าเส้นทางก็น่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย พวกเราเพียงต้องก้าวต่อไปด้วยพลังนี้” หลินอธิบายให้กู่ฉิงซานฟัง
“แต่เส้นทางนี้ยาวเกินไป” กู่ฉิงซานยิ้มขมขื่น
พวกเขาสองคนเหาะอยู่วันครึ่ง
“ความเร็วในเส้นทางไวมาก หลังจากข้ามมิติมาหลายชั้น ข้าคิดว่าพวกเรากำลังจะเข้าใกล้พื้นที่เอกฐานแล้ว” หลินกล่าว
กู่ฉิงซานถามด้วยความสับสนว่า “เจ้าเอาอะไรมาตัดสินล่ะ”
หลินอธิบายว่า “มุมมองพื้นฐานน่ะ พื้นที่จ้าวโลกและพื้นที่ควบคุมอยู่ใกล้กันมาก พื้นที่เอกฐานอยู่เหนือพวกมัน จากที่เหาะมาเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเราไม่ได้ข้ามพื้นที่จ้าวโลก ดังนั้นก็เดาได้ว่าพวกเรากำลังเข้าใกล้พื้นที่เอกฐาน”
ใบหน้าของกู่ฉิงซานเผยความสนใจออกมา
พื้นที่เอกฐาน
นี่คือสถานที่วิเศษ
อาณาจักรหนามวิหคอยู่ที่นี่
นักพรตผู้ซ่อนอยู่ในหวนคืนชาติภพหกวิถีในยุคโบราณก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
“อาณาจักรการ์ดอยู่ในพื้นที่เอกฐานเช่นกันหรือ”
กู่ฉิงซานถามกับตัวเอง
ขณะพูด สัตว์ประหลาดพลันปรากฏขึ้นตรงด้านหน้าเส้นทาง
สัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่ใหญ่ ขายาวราวสองเมตร ร่างกายท่อนบนเตี้ย กรงเล็บกระดูกหกท่อน ศีรษะคล้ายหัวกะโหลก
สิ่งที่ทำให้กู่ฉิงซานระแวดระวังคือสัตว์ประหลาดตัวนี้สวมเกราะ
ด้วยการสวมใส่เครื่องป้องกัน นั่นหมายความว่ามันมีความคิดและมาจากที่ที่มีอารยธรรมพอสมควร
กลิ่นอายบนตัวมันแปลกประหลาดมาก บ้างก็สูง บ้างก็ต่ำ คาดเดาไม่ได้
สัตว์ประหลาดเห็นทั้งสองเช่นกัน
เมื่อสัตว์ประหลาดกำลังจะทำบางอย่าง หลินก็ลงมือก่อนแล้ว
หลินยกแขนขึ้นก่อนต่อยในอากาศอย่างหนัก
‘ตูม!’
เสียงกระแทกรุนแรงดังขึ้น ทั่วร่างสัตว์ประหลาดแตกสลายกระจายไปตามทาง ไม่ช้าก็หายไปเพราะสายลมแห่งความว่างเปล่า
“ศัตรูหรือ” กู่ฉิงซานถาม
“ไม่เชิง ก็แค่ผู้ค้นหาน่ะ”
หลินกล่าว ใบหน้าแย่เล็กน้อย
“สัตว์ประหลาดนี่คืออะไร” กู่ฉิงซานถาม
หลินครุ่นคิดสักพักก่อนอธิบายช้าๆ ว่า “ข้าสงสัยจริงว่าเจ้าจะสามารถเข้าใจถึงตัวตนขนาดใหญ่จนเทียบเท่ากับดาราจักรได้หรือเปล่า ปกติพวกข้าเรียกพวกมันว่าสัตว์ประหลาดหุบเหว พละกำลังสุดที่จะคาดเดาได้ มีคำกล่าวว่าขอแค่มันตั้งใจก็จะทำให้เจ้าตายได้เลย”
“เจ้าหมายความว่า ทันทีที่มันคิดถึงข้า ข้าจะตายเลยหรือ”
“ถูกต้อง”
“ช่างเถอะ!” กู่ฉิงซานพยักหน้า “ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเห็นตัวตนน่าสะพรึงกลัวแบบนั้นมาก่อน แต่ข้าก็พอจะจินตนาการได้ลางๆ แล้วล่ะ”
หลินกล่าวต่อว่า “ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ปานนั้นถึงกับมีหลายชีวิตที่ต้องพึ่งพามันด้วยการอพยพไปอยู่กับมัน จากนั้นคอยรับใช้มัน ช่วยทำหน้าที่ที่มันมอบมาอย่างการดูแลรูปร่างหน้าตา คอยชี้นำทิศทางการปล้นชิงให้มัน คอยเก็บกวาดสภาพแวดล้อมให้มัน คอยแจ้งข่าวสารต่างๆ อีกมากมาย พูดง่ายๆ มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่ต้องอยู่ติดกับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่นั่น พวกเขาต้องพึ่งพาสัตว์ประหลาดเพื่อความอยู่รอด”
กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนพยักหน้าอีกครั้ง “ข้าเข้าใจแล้วว่าเจ้าหมายถึงอะไร”
หลินกล่าวต่อว่า “เอาล่ะ ที่จริง ที่ข้าอยากพูดคือสัตว์ประหลาดตัวน้อยที่พวกเราพบเมื่อครู่น่าจะต่ำกว่าเจ้าสองขั้นหากวัดตามระดับของผู้ฝึกยุทธ์”
“มันอยู่ระดับแสวงโลกา หากวัดตามมาตรฐานของโลกเก้าร้อยล้านชั้น นี่คือระดับของจ้าวโลกใหม่” กู่ฉิงซานกล่าว
หลินกล่าวต่อว่า
“มันมาจากอารยธรรมที่เกิดบนพื้นผิวของสัตว์ประหลาดหุบเหว”
“พูดง่ายๆ ก็คือมันเป็นเหาบนร่างสัตว์ประหลาดหุบเหวนั่นแหละ”
ทั้งสองไม่มีเวลาคุยอีกแล้ว
ข้างหน้า แสงสว่างเลือนรางปรากฏขึ้นที่ปลายเส้นทางว่างเปล่า
“ใกล้ถึงแล้ว”
หลินกล่าวอย่างระแวดระวัง
นางตั้งท่าอย่างไม่เต็มใจ
กู่ฉิงซานครุ่นคิด ดาบยาวสี่เล่มปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเช่นกัน
“ถ้ามันคือสัตว์ประหลาดหุบเหวดังที่เจ้าว่า พวกเราจะทำอะไรมันได้หรือ” กู่ฉิงซานถามเสียงต่ำ
“ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก่อนตาย ข้าจะไม่ยอมถูกมันจับแน่นอน” หลินกล่าว
“เจ้ามาจากหุบเหว พวกมันจะไม่ปล่อยเจ้าไปหรอกหรือ”
“มนุษย์ยังเข่นฆ่ากันเองเลย แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
ความแตกต่างทางพละกำลังมากเกินไป ไม่ต่างจากเทพกับมด
หลินสังเกตเห็นอารมณ์ของเขาก่อนปลอบประโลมว่า “วางใจเถอะ สัตว์ประหลาดหุบเหวที่แท้จริงจะไม่รวมจิตสำนึกมาที่เจ้าเพราะยังไม่ถูกนับว่าเป็นธุลีด้วยซ้ำ”
“ขอบใจ ถึงเจ้าพูดแบบนั้นไปข้าก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมาหรอกนะ”
เส้นทางเริ่มแคบลง
แรงฉุดบนตัวทั้งสองค่อยๆ แรงขึ้น
ดูท่าใกล้จะถึงแล้ว
“บางครั้งข้าก็สงสัยว่าทำไมข้าถึงไม่เป็นสัตว์ประหลาดหุบเหวนะ ถ้าเป็นแบบนั้น ข้าก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องพละกำลังที่พัฒนาช้าแบบนี้หรอก” กู่ฉิงซานถอนหายใจ
หลินฟังก่อนเผยรอยยิ้มที่ยากจะอธิบายออกมา
นางกระซิบออกมา “มีเหตุผลเดียวแหละที่ทำไมเจ้าถึงสามารถคิดแบบนี้ได้”
“เหตุผลอะไรล่ะ” กู่ฉิงซานถาม
“หุบเหวกำลังจับตาดูเจ้าอยู่อย่างไรล่ะ”
ก่อนจะสิ้นคำพูด แสงสว่างตรงหน้าพลันหลอมรวมเป็นม่านแสงสว่าง
ทั้งสองพุ่งตรงเข้าสู่ม่านแสงสว่างก่อนปรากฏตัวที่ความสูงหนึ่งหมื่นเมตร
พวกเขามาถึงโลกที่จักรวรรดิเทียนหลันตั้งอยู่
“นี่คือโลกการ์ดที่เจ้าพูดถึงหรือ”
หลินมองรอบข้างขณะถาม
กู่ฉิงซานคว้าตราที่คอยนำทางแล้วยืนยันว่า “ใช่ แต่มันเปลี่ยนไปแล้ว”
เบื้องล่างทั้งสอง ปฐพีถูกทำลายล้าง โลกทั้งใบพังทลายเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วนขณะลอยอยู่ในความว่างเปล่าไม่มีสิ้นสุด
โลกถูกทำลายแล้ว
……………………………