ตอนที่ 844 มิอาจมองเห็นทุกหนแห่ง
ภูเขาเขียวขจีลอยอยู่กลางอากาศ
ไกลออกไป ธารแสงสว่างลอยอยู่ไกลลิบเหนือภูเขา
กู่ฉิงซานปรากฏกายขึ้น
เขามองภูเขา สัมผัสถึงพลังอันแก่กล้าของภูเขาลูกนี้อย่างเงียบงัน
บุปผาและต้นหญ้า ใบไม้และหิน
ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นฤดูใบไม้ร่วงของโลกอิสรภาพ
ฤดูใบไม้ร่วงปกคลุมทั่วภูเขาลูกนี้ ชั้นบนของต้นไม้มีสายลมพัดปลิวไสว ช่างเป็นทิวทัศน์ที่มีเสน่ห์นัก
ทุกที่ในภูเขาปกคลุมไปด้วยพลังแก่กล้าสุดบรรยาย
ในฐานะนักพรตระดับวงแหวนนภา กู่ฉิงซานสามารถสัมผัสพลังนี้ได้ แต่ไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร
เขาคว้าใบไม้ปลิวไสวมาอย่างไม่ใส่ใจ
ใบไม้สีเหลืองจางหายไปทันที
“นี่คือความดีหรือ” เขาพึมพำด้วยความสงสัย
เสียงของจื้อลัวมาจากภูเขา “ใช่ เพราะข้าเข้าร่วมในการช่วยหกภพของโลกและรับบทบาทยิ่งใหญ่ ทำให้สามารถหลอมรวมเป็นภูเขาลูกนี้ได้ด้วยความดีนี้”
กู่ฉิงซานมองหลุมบ่อบนภูเขาก่อนตอบสนองอย่างรวดเร็ว
นี่คือร่องรอยของการโจมตีจากนักพรตก่อนหน้านี้
ความดีชดเชยการโจมตีเหล่านี้ ภาพสะท้อนของภูเขาลูกนี้คือการเหี่ยวเฉาของต้นไม้ใบหญ้าเป็นจำนวนมาก
“จื้อลัว เจ้าออกมาได้แล้ว คนพวกนั้นจะไม่มาทำลายภูเขาอีกในอนาคต” กู่ฉิงซานกล่าว
“พวกเขาไปไหนล่ะ” จื้อลัวถาม
“พวกเขาตัดสินใจไปโลกอื่นด้วยการบอกว่าเป็นเรื่องล้อเล่น พวกเขาก็เลยจากโลกนี้ไปแล้ว” กู่ฉิงซานตอบ
“…เจ้าน่าทึ่งนัก ถึงกับสามารถพัฒนาอีกครั้งได้ในเวลาอันสั้น” จื้อลัวกล่าวด้วยความนับถือ
“ที่จริงก็ไม่ได้ไวนักหรอก สาเหตุหลักเป็นเพราะใช้ยาน่ะ”
“นั่นก็เป็นวิธีที่เจ้ากำหนดไว้ล่วงหน้าเช่นกัน จะว่าไปแล้ว ข้ากำลังคิดเรื่องสำคัญอยู่น่ะ”
“เรื่องอะไรหรือ”
“ข้าไม่สามารถออกไปได้”
กู่ฉิงซานตกตะลึง
จื้อลัวกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ข้าเกรงว่าเจ้าจะถูกรบกวนตอนก้าวข้ามภัยพิบัติ ดังนั้นข้าจึงผนึกภูเขาทั้งลูกเอาไว้ เพราะงั้นตอนนี้ก็เลยออกไปไม่ได้”
“เช่นนั้นข้าต้องทำยังไงถึงจะเปิดภูเขาลูกนี้ได้ล่ะ” กู่ฉิงซานถาม
“ไม่มีทางหรอก เว้นแต่ว่าเจ้าจะโจมตีหลายสิบวันเหมือนกับพวกเขา” จื้อลัวตอบ
กู่ฉิงซานตกตะลึงอีกครั้ง
ทันใดนั้น เขาเข้าใจว่าครั้งนี้ทั้งสองจะไม่ได้พบหน้ากัน
ภัยพิบัติไฟไม่อาจทำให้เขาอยู่ที่นี่นานเกินไปได้
เขาไม่สามารถระเบิดภูเขาในเวลาอันสั้นได้ ต่อให้ระเบิดได้ เขาก็ไม่กล้าทำแบบนั้นเช่นกัน
เพราะภูเขาลูกนี้คือความดีของจื้อลัว
ตอนนี้ กู่ฉิงซานต้องหาทางเอาชนะภัยพิบัติให้ได้ จากนั้นก็รีบกลับไป
หากสายเกินแก้ ภัยพิบัติไฟจะเผาร่างของเขาจนเป็นเถ้าถ่าน
ดูเหมือนจื้อลัวจะเข้าใจเรื่องนี้เหมือนกัน
ตอนนี้ เวลานี้ เขาและนางทำได้เพียงสนทนาไม่กี่คำโดยมีภูเขาปิดกั้น จากนั้นพวกเขากำลังจะเตรียมกล่าวลา
“รีบก้าวข้ามภัยพิบัติเถอะ ข้าจะฝึกฝนที่นี่ขณะที่รอเจ้า” นางโน้มน้าว
กู่ฉิงซานลังเลขณะครุ่นคิดไปมา “มีคนอื่นที่สามารถเป็นภัยคุกคามกับความปลอดภัยของเจ้าอีกหรือเปล่า”
“เจ้าฆ่านักพรตไปกี่คน” จื้อลัวถาม
“เจ็ดร้อยเอ็ดคน”
จื้อลัวกล่าวอย่างยินดีว่า “เยี่ยมเลย ทีนี้ก็ไม่มีใครในโลกนี้นอกจากข้าแล้ว”
กู่ฉิงซานประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนกล่าวว่า “ในเมื่อนี่คือโลกอิสรภาพ จะไปมีคนได้อย่างไร ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าราชาแห่งอิสรภาพเลยหรือ”
จื้อลัวตอบว่า “ราชาแห่งอิสรภาพของที่นี่ล่วงลับไปนานแล้ว ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าที่นี่เป็นดินแดนที่ไร้เจ้าของ”
“นักพรตพวกนั้น...”
“พวกเขาติดอยู่ที่นี่ มีเพียงความดีที่จะเพิ่มอายุขัย ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะตายทันที”
กู่ฉิงซานประหลาดใจ
ไม่สงสัยเลยว่านักพรตเหล่านั้นถึงหาทางให้พวกเขาอยู่ต่อ
ไม่สงสัยเลยว่าพวกเขาเอาชีวิตของจื้อลัวมาขู่
เขารีบกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้า...”
“ความดีของข้าหลอมรวมเป็นภูเขาลูกนี้...ก่อนภูเขาลูกนี้จะพังทลาย ข้าก็สามารถมีชีวิตอย่างสุขสบายได้”
“ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้มาชิงความดีของเจ้าไปเลยหรือ”
“ทุกครั้งที่ข้าอารมณ์ดี ข้าจะมอบความดีเล็กน้อยให้ ดังนั้นพวกเขาไม่กล้าหาเรื่องหรอก ยังไงเสีย ถ้าข้าไม่อยากอยู่ที่นี่จริง พวกเขาก็ไม่สามารถรั้งตัวข้าได้...ข้าสามารถหวนคืนชาติภพได้ทันที สามารถเลือกได้ว่าจะไปเกิดที่โลกไหน ข้าเลือกได้...แต่ถ้าทำแบบนั้น ข้าก็จะลืมเจ้า”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “เจ้าให้ความสนใจข้ามากเกินไปแล้ว เพราะงั้นเจ้าถึงได้ทุกข์ทรมานมากยังไงล่ะ แบบนั้นมันไม่ดีกับเจ้าหรอกนะ”
เสียงหัวเราะของจื้อลัวดังมาจากภูเขา “จริงสิ เจ้าเริ่มคิดถึงข้าขึ้นมาแล้ว ข้ามองคนไม่ผิดอย่างที่คิดไว้จริงๆ”
ทันใดนั้น น้ำเสียงของนางเคร่งขรึมมากขึ้น “ฉิงซาน เจ้าเคยเห็นใบไม้บนภูเขาเหี่ยวเฉาก่อนถูกสายลมพัดพาหรือไม่ ในฐานะผู้หญิงของเผ่าพันธุ์อสุรา ข้ารู้ว่าชีวิตของข้าเหมือนกับใบไม้เหล่านี้ ไม่ช้าก็เร็ว มันจะล่วงลับไปกับการต่อสู้ นี่คือโชคชะตาของเผ่าพันธุ์พวกข้า”
“แต่ข้าเคยตายมาแล้วหนหนึ่งจนได้ไปพบกับเจ้าในนรก นี่คงไม่เกี่ยวกับโชคในการต่อสู้”
“ข้าผ่านการต่อสู้อย่างหนักมานับไม่ถ้วน เคยผ่านความเป็นความตายมาเนิ่นนาน ดังนั้นการรอเรื่องแบบนี้นับว่าไม่มีความหมายกับข้าแม้แต่นิดเดียว”
“ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะมาที่นี่เพื่อเลือกข้า”
กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก
มีข่าวลือว่าผู้หญิงเผ่าพันธุ์อสุรามีหน้าตาและอารมณ์อันร้อนแรง พวกนางจะไม่มีวันเปลี่ยนใจชั่วชีวิตหากต้องตาคนคนหนึ่ง ต่อให้สุดท้ายแล้วจะไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่พวกนางจะไม่มีวันไปรักคนอื่นเป็นอันขาด
แต่นี่มันก็แค่ข่าวลือ กู่ฉิงซานไม่เคยสนใจมาก่อน แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริง ในใจของเขาจึงเกิดความรู้สึกที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เขาลงบนภูเขาก่อนซ่อนแผ่นหยกไว้ใต้หิน
“นี่คือประสบการณ์การต่อสู้และวิชาทั้งหมดของเผ่าพันธุ์อสุราที่ข้าเคยได้รับมา หลังจากเจ้าออกมาแล้ว ฝึกฝนให้หนักล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว
“โห ทำไมข้าควรฝึกให้หนักล่ะ”
เสียงของจื้อลัวกระชับขึ้นเล็กน้อย
กู่ฉิงซานยิ้มแล้วตอบว่า “นับจากนี้ไป เจ้าจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้า หากเจ้าอ่อนแอเกินไปก็คงจะไม่ดี”
หลังจากพูดจบ เขาหลับตาลง
หลังจากเสียเวลากับโลกนี้มานาน ตอนนี้เวลาใกล้จะหมดแล้ว กู่ฉิงซานรู้สึกได้ถึงเงาแห่งความตาย
ตอนนี้ต้องก้าวข้ามภัยพิบัติแล้ว!
จิตของกู่ฉิงซานขยับ
หลังจากนั้น เปลวเพลิงไม่มีสิ้นสุดปกคลุมตัวเขาเอาไว้ ภาพมายาสิ้นหวังจำนวนมากห้อมล้อมเขาเข้ามาพร้อมกับสาบานว่าจะทำลายจิตใจของเขา
กู่ฉิงซานหาทางรับมือกับภาพมายาทั้งหมดได้
ผ่านไปสักพัก
เปลวเพลิงหายไป
เขาหายไปจากโลกใบนี้พร้อมกับเปลวเพลิงเช่นกัน
“รักษาตัวด้วย…”
มีเพียงคำพูดของเขาที่ลอยไปตามสายลม
ทั่วโลกอิสรภาพตกอยู่ในความเงียบ
ไม่มีภูตเข้าออกอีกแล้ว
ไม่มีเสียงพูดคุยกันอีกต่อไป
โลกตกอยู่ในความเงียบ
ตรงใจกลางภูเขาลูกหนึ่ง หญิงสาวงามงดนั่งขัดสมาธิพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
จื้อลัว
ยามที่นางไม่สู้ นางดูงดงามเป็นสง่ายิ่งกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ
“น่าเวทนาจริงๆ เจ้าแข็งแกร่งมาก แล้วข้าจะไปตามทันได้ยังไง”
นางขมวดคิ้ว ใช้เวลาสักพักจึงปล่อยวางลงได้
“ดูเหมือนคงจะมีแต่...”
นางจิกนิ้วและเริ่มละเลงตัวอักษรลี้ลับด้วยโลหิตบนใบหน้า
นี่คือลวดลายประจำเผ่าของเผ่าพันธุ์อสุราที่ตกทอดมาตั้งแต่ยุคโบราณ ทำให้ไม่สามารถแสดงออกมาได้โดยง่าย
ในยุคโบราณ หลังจากการพังทลายของหกวิถี โลกแต่ละใบกลายเป็นเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนที่ไม่สามารถรวมกันได้อีกต่อไป
มีเพียงเผ่าพันธุ์อสุราที่แข็งกร้าวเท่านั้นที่สามารถรวบรวมกฎเกณฑ์ของโลกได้ด้วยวิธีการพิเศษบางอย่าง
ทันทีที่วิชานี้ถูกใช้ออกมา อสุราจะต้องทิ้งจุดกำเนิด กลุ่มชาติพันธุ์ ญาติมิตร พลังและทุกสิ่งเอาไว้เพื่อไปสู่ซากปรักหักพังทั้งหกของอสุรา
นั่นคือเมืองสุดท้ายในยุคการต่อสู้นิรันดร์ของอสุรา
ในสถานที่นั้น มีมรดกของอสุราทั้งหมดอยู่
อสุราทั้งหมดจะไปที่นั่นเพื่อแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่ายังเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดเช่นกัน หากไม่ระวังก็จะถึงแก่ความตาย
กฎมีเพียงแค่ข้อเดียวเท่านั้น: จงแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่ก็ตาย!
หลังจากเตรียมวิธีการอัญเชิญแล้ว จื้อลัวยืนขึ้นช้าๆ ขณะถือมีดสั้นไว้ในมือแต่ละข้าง
หลังจากรออีกหลายอึดใจ
ความว่างเปล่าเหมือนกับคลื่นน้ำก่อนค่อยๆ เริ่มลอยไปมา
ดวงตะวันสีโลหิตและฉากพลบค่ำปรากฏขึ้นจากอากาศบางราวกับภาพมายาที่ไม่มีอยู่จริง
จื้อลัวจ้องภาพมายาก่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ต้องแข็งแกร่งขึ้น”
จื้อลัวพึมพำเสียงต่ำราวกับให้กำลังใจตัวเอง
“พอมาคิดดู ในอนาคต เขามีผู้เกื้อหนุนมากมายเลย หากผู้หญิงคนนี้อ่อนแอเกินไป เดี๋ยวก็โดนคนอื่นกลั่นแกล้งกันพอดีไม่ใช่หรือ”
“แบบนั้นไม่เอาหรอก แต่ที่สำคัญกว่านั้น...”
นางสาวเท้าเข้าสู่ภาพมายาก่อนส่งเสียงดังออกมา
“ข้าอยากสู้กับเจ้า ฉิงซาน!”
……………………………………………