ตอนที่ 750 พลังศักดิ์สิทธิ์ขอบเขตลมปราณจิต
ทัณฑ์สวรรค์ เดิมทีใช้เวลาแค่เพียงหนึ่งชั่วยาม ทว่าบัดนี้มันกลับถูกยืดออกไปถึงสี่ชั่วยาม
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าภาพ หรือแขกเหรื่อ ทั้งหมดต่างจมอยู่กับห้วงเวลาแห่งความสุข
แต่ในที่สุด ช่วงเวลาดังกล่าวก็ต้องจบลง
เหล่าภูตผีปีศาจได้บอกลา
ภูเขารกร้างกลายเป็นว่างเปล่าอีกครั้ง
ยามดึกกลับมาเงียบงันอีกครา
กู่ฉิงซานยกถ้วยซุปขึ้นมาซดหลายอึก ทว่าในหัวยังคงรู้สึกวิงเวียน
เขาหันไปมองรอบๆ และค้นพบว่าไม่มีปีศาจตนใดเหลืออยู่
ตัวเองจึงค่อยขับเคลื่อนพลังวิญญาณ สลายฤทธิ์สุราทั้งหมดออกจากร่างกาย
กลุ่มไอหมอกของสุรากระจายออกมาจากตัวเขา ถูดปัดเป่าไปตามสายลม ส่งผลให้ทั่วบริเวณขุนเขา ฟุ้งไปด้วยกลิ่นสาบสุราอยู่ครู่หนึ่ง
กำลังสงสัยว่าเหตุใดมันถึงฟุ้งไปตลอดทั้งภูเขาใช่หรือไม่ คงต้องเฉลยว่า ในงานเลี้ยงก่อนหน้านี้ กู่ฉิงซานเพียงคนเดียว ก็ดื่มสุราไปกว่าห้าถังใหญ่แล้ว
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงภูตผีปีศาจตนอื่นๆ...พวกมันเมาเละยิ่งกว่าเขาเสียอีก
ฉานนู่ย่นจมูกของเธอและกล่าว “นายน้อย กลิ่นสาบสุราช่างเลวร้ายนัก ท่านไม่ควรจะดื่มมันจนเกินไป”
“เอาเถอะน่า นานๆ ครั้งไม่เป็นไรหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว
ฉานนู่ขบคิดและกล่าว “ในความเป็นจริง ช่วงที่นายน้อยกำลังดื่ม ท่านย่อมสามารถสลายฤทธิ์สุราได้ตลอดเวลา เหตุใดจึงไม่ทำ จะได้ไม่ต้องรู้สึกมึนเมาเช่นนี้”
กู่ฉิงซานฝืนยิ้ม “ถ้าทำแบบนั้น ทุกคนที่นั่งดื่มด้วยกันคงรู้สึกหมดสนุกน่ะซี”
ฉานนู่กัดฟันกล่าว “เช่นนั้นหากพวกมันมาอีกในครั้งถัดไป ข้าจะเป็นคนสังหารพวกมันทั้งหมดเอง จะได้ช่วยนายน้อยไม่ให้ต้องคอยมึนเมาไปกับพวกมัน”
กู่ฉิงซานส่ายมือปฏิเสธ “ก็แค่ดื่มเอง”
มองไปยังฉานนู่ที่ดูจะยังคงไม่พอใจอยู่เล็กน้อย กู่ฉิงซานก็ยกประเด็นสำคัญขึ้นมากล่าวอย่างช้าๆ “ฟังข้านะฉานนู่ แท้จริงข้าสังเกตมาได้สักพักแล้ว ว่าในยุคโบราณ หากเทียบเปรียบกับยุคสมัยของพวกเรา ในทุกๆ โลกมีเพียงสามเผ่าพันธุ์เท่านั้นที่สื่อสารกันได้”
ฉานนู่ถูกเบนความสนใจ “อ๋า? เพียงสามเผ่าพันธุ์? นายน้อย แล้วสามเผ่าพันธุ์ที่ว่านั่นมีอะไรบ้าง?”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “บ้างเป็นเทพ บ้างเป็นมนุษย์ บ้างก็เป็นพวกปีศาจ”
“เริ่มจากเทพ เทพนั้นมีชีวิตที่เรียบง่ายที่สุด เทพสามารถสร้างได้ทุกสิ่ง มอบชีวิตให้กับอะไรก็ได้ เทพจึงถูกปรนเปรอโดยทุกสิ่งมีชีวิต ก่อนที่จะหลบลี้หนีหายไป ทว่าหลังจากทวยเทพหนีหายไป สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนก็ยังคงเคารพบูชา และเดินตามรอยพวกเขา”
“ในส่วนของมนุษย์ ทุกคนล้วนแต่ดำเนินชีวิตอย่างยากลำบาก มนุษย์ต้องเชิดชูเทพวิญญาณ ขณะเดียวกันก็คอยเพิ่มพูนความแข็งแกร่งแก่ตนเอง เพื่อช่วยเหลือเทพวิญญาณในการต่อต้านมอนสเตอร์ที่น่าสะพรึงกลัว ชะตากรรมของมนุษย์นั้นถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ว่าต้องเป็นเครื่องมือของเทพวิญญาณ ต้องคอยเสี่ยงชีวิตของตนเองอย่างไร้ซึ่งความหวัง”
“สำหรับปีศาจ ข้าคิดว่ามีปีศาจจำนวนมากที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยเทพวิญญาณ หลักฐานที่ชัดเจนอย่างหนึ่งก็คือ โลกของพวกมันไม่ใช่โลกที่สามารถเข้าถึงได้โดยใครก็ได้ สิ่งมีชีวิตธรรมดาไม่อาจเข้าไปยังโลกของปีศาจ นอกจากนี้ ปีศาจยังไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังเทพวิญญาณ พวกมันดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ทั่วๆ ไปของโลกนับล้านๆ เห็นไหมว่า กระทั่งกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่เชิญพวกมันมาเพื่อขัดขวางโทษทัณฑ์ ก็ยังต้องการยอมรับความสมัครใจ ดังนั้นพวกมันจึงมีอิสระมากกว่ามนุษย์ อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยมาทำตามคำสั่งของเทพวิญญาณ”
“นายน้อย ท่านทราบได้อย่างไรว่าพวกปีศาจไม่ได้ฟังเทพวิญญาณ?” ฉานนู่เอ่ยถาม
“ตั้งแต่ในคราก่อน ตอนที่มารสวรรค์ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในจำพวกภูตผีปีศาจ ได้ทำการขโมยวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของทวยเทพ ข้าสังเกตได้ในช่วงนั้น”
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “มารสวรรค์ขโมยวัตถุศักดิ์สิทธิ์จากเทพวิญญาณ เพื่อช่วยเหลือระบบวิวัฒนาการ ซึ่งเทพวิญญาณน่ะชิงชังในระบบ นี่จึงพอจะอธิบายได้ว่ามารสวรรค์ไม่เคารพและแยแสต่อเทพวิญญาณโดยสิ้นเชิง”
” ถ้าอย่างนั้น...อะไรคือจุดประสงค์ของนายน้อยที่ไปเป็นสหายกับพวกนาง? “
“ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไร แค่อยากเป็นสหายกันจริงๆ” กู่ฉิงซานหัวเราะ “หากวันหนึ่งพวกนางต้องการความช่วยเหลือ ข้าก็จะช่วย ขณะเดียวกันในยามที่ข้าต้องการพวกนาง บางทีพวกนางอาจจะมาช่วยข้า และที่แล้วๆ มาก็ช่วยได้เยอะมากๆ เลยเสียด้วย”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงใจ “ดังนั้น พวกเราเลยต้องรู้จักคบหาสหายให้มากเข้าไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวันสิ้นโลกกำลังใกล้เข้ามา เจ้าจะได้เห็นทุกคนกระโจนเข้ามาร่วมต่อสู้ด้วยกันกับเจ้า ฉากนั้นมันคงจะน่าประทับใจจนมิอาจจินตนาการ อีกอย่าง แท้จริงแล้วการคบหาสหายก็มิได้เป็นการสร้างปัญหาใดๆ”
“นายน้อย ท่านมิต้องสาธยายวนไปวนมาหรอก ข้าว่าข้าเข้าใจแล้ว”
ฉานนู่หยุดไปพักหนึ่ง ยิ้มหยอกล้อ “ยิ่งไปกว่านั้น นายน้อย แท้จริงแล้วท่านคงเหงามากเกินไป เลยต้องการหาคบหาสหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่นางราชินีภูตผีเมื่อครู่นี้”
กู่ฉิงซานคิ้วกระตุก แต่เมื่อเห็นว่าฉานนู่กำลังล้อเลียนตนเอง แทนที่จักหดหู่เหมือนก่อนหน้านี้ เขาก็รู้สึกคลายใจลง
“นางมิใช่ประเภทที่ข้าชอบ นางนิยมการยั่วยวนมากเกินไป” กู่ฉิงซานถอนหายใจ
เขากล่าวติดตลก ทว่าในสายตากลับยังคงจ้องมองไปในความว่างเปล่า
ปรากฏเส้นแสงตัวอักษรผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในวิสัยทัศน์ของเขา
“การข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้จบลงแล้ว”
“คุณได้ยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตลมปราณจิต”
“พลังวิญญาณทั้งหมดของคุณ ได้รับการส่งเสริม เพิ่มพูนขึ้นเป็นจำนวนมาก”
“ในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต คุณสามารถปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ พลังต่อไปได้แล้ว”
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ในส่วนของฟังก์ชัน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ ได้ส่องสว่างขึ้น
บรรทัดตัวอักษรใหม่โผล่แจ้งเตือนออกมาจากฟังก์ชัน
“คุณได้ยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตลมปราณจิต สามารถเริ่มภารกิจเทพสงคราม เพื่อทำการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว – ต้องการสกัดมันเลยหรือไม่?”
“สกัดเลย” กู่ฉิงซานกล่าว
“คุณจะต้องเผชิญกับทางเลือกดังต่อไปนี้”
“หนึ่ง เลือกรับทำภารกิจแบบ ‘ชุด’ เพื่อทำการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่”
“สอง เลือกรับทำภารกิจแบบ ‘เดี่ยว’ เพื่อทำการยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนเป็นขั้นสมบูรณ์”
กู่ฉิงซานมองเส้นแสงหิ่งห้อยเบื้องหน้าเขา ทั้งคนทั้งร่างค่อยๆ จมลงสู่ห้วงความคิด
สกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่…
สกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่ ย่อมต้องดีกว่าแน่นอน
อย่างไรก็ตาม พลังศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนของเขาได้ถูกยกระดับขึ้นมาตั้งสามครั้งแล้ว จาก ‘สูญสิ้นการควบคุม’ ไป ‘ไม่ยอมอ่อนข้อ’ จนมาถึง ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’
ช่วงก่อนหน้านี้เอง ในเศษเสี้ยวฉากสงครามโบราณ ก็เป็น ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ ที่ช่วยให้เขามีหน้ามีตาในสงคราม สนับสนุนเหล่าผู้ฝึกยุทธโบราณสังหารกองทัพเนตรมารบรรพกาล
ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาผู้ฝึกยุทธโบราณ ต่างไม่มีใครเคยเห็นพลังศักดิ์สิทธิ์ธาตุสายฟ้ามาก่อนเลย
ในกรณีนี้ หากเป็นการยกระดับ ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ ให้เป็นอีกขั้นหนึ่ง เกรงว่าอำนาจของมันจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล
กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันจึงเอ่ยถามระบบเทพสงคราม ถ้าฉันเลือกสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่ แล้วฉันจะได้รับพลังอะไร?”
ระบบเทพสงครามตอบ “พลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่มิอาจคาดเดาได้ เพราะมันยังคงไว้ซึ่งรูปแบบเดิมดั่งเช่นคราก่อนๆ นั่นคือการ ‘สุ่ม’ ”
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “เหมือนกับครั้งแรกที่ฉันสกัดได้พลังศักดิ์สิทธิ์ธาตุสายฟ้าใช่ไหม?”
“ถูกต้อง หากคุณต้องการจำลองสถานการณ์จริงของการสกัด เพื่อช่วยในการตัดสินใจ ฉันสามารถทำให้ได้” ระบบกล่าว
“งั้นก็ช่วยจำลองมันดูสักครั้ง ฉันอยากจะดูว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมันจะเป็นอย่างไร” กู่ฉิงซานกล่าว
“กรุณาจ่ายหนึ่งร้อยแต้มพลังวิญญาณเพื่อเริ่มจำลอง” ระบบร้องขอ
“ก็แค่จำลองทำไมยังต้องใช้แต้มพลังวิญญาณด้วย? ทำให้ดูฟรีๆ ไม่ได้รึไง?” กู่ฉิงซานบ่น
ระบบหยุดไปอย่างกะทันหัน และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เช่นนั้น ระบบจะทำการปิดฉากการจำลองอย่างถาวร”
“ใจเย็นก่อน! ยอมแล้ว ฉันยอมจ่ายแต้มพลังวิญญาณให้ก็ได้!” กู่ฉิงซานเร่งขัดอย่างรวดเร็ว
แล้วเขาก็จ่าย หนึ่งร้อยแต้มพลังวิญญาณ
ระบบเทพสงครามกล่าว “ได้รับ หนึ่งร้อยแต้มพลังวิญญาณแล้ว การจำลองฉากการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น”
“โปรดทราบไว้ด้วยว่า ฉากจำลองต่อไปนี้ มิใช่ของจริง”
เห็นแค่เพียงสามไอคอนพิเศษปรากฏขึ้นในใจกลางหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“การสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว อ้างอิงตามความสำเร็จจากชุดภารกิจของคุณ สามารถสกัดได้ทั้งสิ้นสามพลัง”
“ร้องขอให้ผู้เล่นเลือกหนึ่งในสามพลังศักดิ์สิทธิ์ เพื่อปลุกมันให้ตื่นขึ้น”
กู่ฉิงซานมองไปยังไอคอนทั้งสาม
เขาค้นพบว่า ยามเมื่อตนมองดูไอคอน ตัวไอคอนจะสว่างวาบขึ้นทันที พร้อมกับคำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับพลังศักดิ์สิทธิ์
ไอคอนแรกคือไพ่ใบสีเทา
บนหน้าไพ่ เป็นรูปของชายชราที่กำลังคุกเข่าลงกับพื้น แสดงท่าทีคล้ายกำลังอธิษฐาน
เมื่อกู่ฉิงซานมองมัน บนไพ่ก็ปรากฏคำอธิบายที่เกี่ยวขึ้นมาทันที
“ไพ่อัญเชิญ การเรียกขานปฐมบทแห่งความโกลาหล”
“เนื่องจากคุณได้กลายเป็นไพ่ ฉะนั้นคุณจึงสามารถสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ได้”
“การเรียกขานปฐมบทแห่งความโกลาหล คุณจะสามารถอัญเชิญสิ่งมีชีวิตประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหล จากเมฆหมอกแห่งความโกลาหลมาเพื่อช่วยต่อสู้ได้”
“คำอธิบาย เนื่องจากข้อจำกัดในระดับยศไพ่ของคุณ คุณจึงไม่สามารถควบคุมการอัญเชิญได้ นั่นหมายความว่า ในการอัญเชิญแต่ละครั้ง คุณอาจจะสุ่มเจอเรียกสัตว์เลื้อยคลานอ่อนแอ หรืออาจจะเรียกมอนสเตอร์ที่มีระดับเทียบเคียงกับทวยเทพก็ได้เช่นกัน”
“คำอธิบาย อย่างไรก็ตาม หากมอนสเตอร์ที่คุณอัญเชิญมา มันแข็งแกร่งกว่าคุณเกิน สิบเท่า มันจะแว้งกัดคุณทันที”
กู่ฉิงซานส่ายหัว
ความสามารถของสกิลนี้มันเหวี่ยงเกินไป มิใช่สิ่งที่เหมาะสำหรับใช้ในการต่อสู้
อย่างไรก็ตาม สกิลนี้ก็ได้บ่งชี้ให้เห็นว่าตัวเขาสามารถสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทไพ่ได้เช่นกัน
นี่นับว่าเป็นข้อมูลใหม่
กู่ฉิงซานมองไปยังไอคอนถัดไปอีกครั้ง
เห็นแค่เพียงชุดเกราะน้ำแข็งสลัก ที่ลอยนิ่งอยู่บนไอคอน
บรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นข้างๆ กับเกราะรบน้ำแข็ง
“พลังศักดิ์สิทธิ์ เกราะน้ำแข็ง (ขั้นต้น)”
“คำอธิบาย เมื่อคุณสวมใส่เกราะรบออกไปต่อสู้ คุณจะสามารถเปิดใช้งานพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ มันจะช่วยเสริมพลังป้องกันของเกราะรบของคุณเพิ่มขึ้นกว่า สามสิบเปอร์เซ็นต์”
กู่ฉิงซานสูดลมหายใจลึก
ในเมื่อมันมีเขียนเอาไว้ว่า ‘ขั้นต้น’ เช่นนั้นก็หมายความว่าพลังศักดิ์สิทธิ์เกราะน้ำแข็ง สามารถวิวัฒนาการได้!
บางที พลังศักดิ์สิทธิ์ไอคอนนี้อาจเหมือนกันกับ ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต
หลังจากที่ได้ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตลมปราณจิต ตนเองจะสามารถสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์แบบเดียวกับเล่ยเดี๋ยนที่สามารถยกระดับมันได้ ข้อมูลนี้เองก็มีความสำคัญมากเช่นกัน
แต่ถ้ามองในเชิงความสามารถแล้ว ตอนนี้ ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ สามารถใช้พลิกเกมการต่อสู้ได้ ไม่เว้นกระทั่งมอนสเตอร์บรรพกาล ดังนั้นหากยกระดับมันไปอีกขั้น อำนาจของมันจักต้องเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาลเป็นแน่
แล้วเขาก็เบนสายตาไปมองไอคอนรูปสุดท้าย
อืม…
รูปแบบไอคอนนี่มันดูคุ้นๆ อยู่นะ
ในเวลานี้ ไอคอนที่สาม เป็นรูปอวตารของเพศหญิง ซึ่งเมื่อนานมาแล้ว กู่ฉิงซานเคยเห็นไอคอนนี้มาก่อน
แต่เฉพาะในคราวนี้ มันมีมงกุฎเพิ่มเติมเข้ามา
“สกิลเทวะ ผันกายเป็นราชินี”
“คำอธิบาย ด้วยสกิลนี้ ผู้เล่นจะสามารถเปลี่ยนร่างเป็นราชินี ความงดงามเพิ่มขึ้น หนึ่งพันแปดร้อย เปอร์เซ็นต์ และความแข็งแกร่งส่วนบุคคลจะเพิ่มขึ้นเป็น หนึ่งร้อยสามสิบ เปอร์เซ็นต์”
“แค่กๆ หยุดเท่านี้ดีกว่า” กู่ฉิงซานกระแอมไอเบาๆ
บอกตรงๆว่าเขาใช้เวลาสักพักเลยถึงจะสามารถต้านทาน ไอ้ตรงในส่วนยั่วยวนที่ว่าสามารถเพิ่มพลังขึ้นเป็น หนึ่งร้อยสามสิบ เปอร์เซ็นต์” ได้ และบอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่ามันเป็นแค่การจำลองการสกัดพลังเท่านั้น
“พอแล้วล่ะ ฉันเข้าใจคร่าวๆ แล้ว” เขาพูดกับระบบเทพสงคราม
“ถ้าอย่างนั้น โปรดทำการเลือกด้วย” ระบบกล่าว
กู่ฉิงซาน “ขอถามอีกครั้งสุดท้าย ระหว่างภารกิจสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่ กับภารกิจยกระดับสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน อันไหนยากกว่ากัน?”
“ย่อมเป็นภารกิจสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนที่ยากกว่า” ระบบเทพสงครามตอบ
กู่ฉิงซานเข้าใจในที่สุด
ดูเหมือนว่าสำหรับระบบเทพสงคราม ขั้น สี่ของพลังศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าเล่ยเดี๋ยน จะมีอำนาจที่เหนือล้ำที่สุดจากในบรรดาพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของขอบเขตลมปราณจิต
“ตัดสินใจแล้ว ฉันต้องการยกระดับสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน ฉะนั้นขอเลือกภารกิจเดี่ยวเพื่อทำการยกระดับมัน” กู่ฉิงซานคิดอย่างรอบคอบ สุดท้ายกล่าวเด็ดขาด
“คุณแน่ใจใช่หรือไม่?” ระบบเทพสงครามเอ่ยถาม
“แน่ใจ”
“ตกลง นับจากนี้ไปคุณจะต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้เสี่ยงตายที่สุดในชีวิต และคุณอาจจะตายได้ทันทีหากไม่ระวัง ตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม?” ระบบเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง
กู่ฉิงซานนิ่งงันไป
ระบบได้เตือนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มันดูเหมือนว่าภารกิจเดี๋ยวนี้จะยากมากจริงๆ
เพราะอย่างไรเสีย มันก็คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ยกระดับลึกเข้าไปถึงขั้นสี่ เกรงว่าเขาจะต้องพบเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยเจอมาก่อน
กู่ฉิงซานกล้าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ฉันตัดสินใจแล้ว ว่าจะรับภารกิจนี้ ได้โปรดบอกเนื้อหาภารกิจให้ด้วย”
บนหน้าต่างเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นทันที
“ภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ เทคนิคสนับสนุนชีวิต สายฟ้าเล่ยเดี๋ยน”
“คำอธิบายภารกิจ ช่วงเวลานี้คือยุคสมัยโบราณ เป็นยุคที่โลกบรรพกาลเรืองอำนาจ ฉะนั้น คุณจะต้องต่อกรกับมอนสเตอร์ที่กระทั่งเทพวิญญาณก็ยังหวาดกลัว กลืนกินพลังอันยิ่งใหญ่ของพวกมันเข้าสู่ร่างกาย จึงจะสามารถปลุกสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนขั้นสี่ได้สำเร็จ”
“เป้าหมายภารกิจ กล้าหาญชาญชัยมิหวั่นเกรงความยากลำบาก โปรดสังหารหนึ่งร้อยมอนสเตอร์ บรรพกาลลงให้จงได้!”
“รางวัลภารกิจ เทคนิคสนับสนุนชีวิต สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนขั้นนี่จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้น!”
กู่ฉิงซานอ่านเนื้อหาภารกิจ นิ่งงันไปเป็นเวลานาน
สังหาร หนึ่งร้อยมอนสเตอร์บรรพกาล…
น่ากลัวว่ากระทั่งบรรดาผู้ฝึกยุทธที่ยิ่งใหญ่ ก็ยังไม่สามารถสังหารหนึ่งร้อยมอนสเตอร์บรรพกาลได้ในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนที่ต้องฆ่ามันมากเกินไป นี่จะนำไปสู่การดึงดูดความสนใจอย่างร้ายแรงในสนามรบ และสุดท้ายอาจจบลงด้วยการประสานโจมตีจากศัตรู
แน่นอน ว่าภารกิจนี้มันโคตรจะยาก
แต่ว่านะ…
เขาน่ะเป็น ‘พ่อครัว’ และยังเป็นพ่อครัวที่กำลังจะไปยัง ‘โรงเชือด’ ในวันพรุ่งนี้…
.............................................