ตอนที่ 691 สมญา
กู่ฉิงซานนั่งลงบนฟูก พยายามสุดกำลังที่จะควบรวมฐานวรยุทธ์ของเขา
หลังจากที่ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ขอบเขตวรยุทธ์ก็จะยกระดับขึ้น
นี่คือกระบวนการอันยอดเยี่ยมของผู้ฝึกยุทธ์
พลังวิญญาณพวยพุ่งอย่างรวดเร็ว ดั่งคลื่นที่บ้าคลั่ง มันผุดออกมาตามแขนขา และส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างต่อเนื่อง หน้าที่ของกู่ฉิงซานก็คือ ต้องหาวิธีที่จะทำให้พลังวิญญาณที่ปะทุออกมาสงบลง กลับไปมีเสถียรภาพดังเดิม มิฉะนั้น มันอาจส่งผลกระทบต่อเส้นลมปราณได้
เขาเหนี่ยวนำกระแสพลังวิญญาณที่เอ่อล้น ค่อยๆชักนำมันเข้าสู่ตันเถียน ก่อให้เกิดเป็นกระแสหมุนวน พลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านค่อยๆ ถดถอยลงอย่างช้าๆ
นี่เป็นกระบวนการละเอียดอ่อน ซึ่งสามารถลดความเสียหายต่อร่างกายที่เกิดจากพลังวิญญาณอันรุนแรงได้
หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านพ้นไป
ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ลืมตาตื่น
ตอนนี้ เขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตพันวิบัติขั้นปลายแล้ว!
และเนื่องจากเขามิใช่แค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกฝนทักษะดาบ แต่ยังรวมไปถึงทักษะของนักสู้ ยิงธนู กระบี่ ฯลฯ ด้วยเหตุนี้เอง ทุกสัดส่วนของร่างกายเขาที่เกี่ยวข้องกับทั้งหมดที่กล่าวมา มันจึงล้วนแข็งแกร่งขึ้น
นี่นับเป็นความสุขอันไม่คาดฝัน
ทันใดนั้นแสงบางอย่างก็แยงเข้ามาในสายตาของกู่ฉิงซาน
ตรงส่วนล่างของหน้าต่างเทพสงครามกำลังกะพริบไหว
คราวนี้เป็นในส่วนของ ‘สมญาเทพสงคราม’
กู่ฉิงซานแปลกใจ เขาอดไม่ได้ที่จะกดเปิดฟังก์ชันนี้
เห็นแค่เพียงบรรทัดแสงหิ่งห้อยผุดออกมาจากตัวเลือก ‘สมญาเทพสงคราม’
“คุณได้บรรลุเงื่อนไขขั้นต่ำสำหรับการเปิดใช้งานสมญาใหม่แล้ว”
“เนื่องจากคุณได้กลายเป็นนายพลชั้นเฉินเว่ยของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ และสามารถยกระดับฐานวรยุทธ์มาได้ถึงขอบเขตพันวิบัติขั้นปลาย ดังนั้นสมญา นายพลชั้นโหยวจี ของคุณจึงได้รับการยกระดับ”
“ตอนนี้ คุณสามารถใช้สมญาใหม่ นายพลชั้นเฉินเว่ย ได้แล้ว”
“สมญา นายพลชั้นเฉินเว่ยครอบคลุมไปถึงสมญานายพลชั้นโหยวจีและก่อนหน้า”
“อธิบาย นี่คือยศทหารชั้นสูงสุดของกองทัพพันธมิตรเผ่ามนุษย์”
“หากสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ โจมตีฉับไว เพิ่มขึ้น 20 %”
กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านสมญาใหม่ด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าของเขาค่อยๆ เผยรอยยิ้มแย้ม
สมญานายพลชั้นโหยวจี เดิมทีให้โบนัสการโจมตีเร็วแก่เขาสิบห้าเปอร์เซ็นต์แต่เฉินเว่ยกลับให้เขาโดยตรงถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์
ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เชียวนะ!
แต่เดิม สกิลดาบของเขาก็เน้นคว้าชัยชนะอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว และตอนนี้ความเร็วของมันกลับสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์นี่จะช่วยให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี!
เพราะการโจมตีเร็วขึ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่ว่านี่มันไม่ใช่แค่ดาบ
แต่ยังรวมไปถึง นักสู้หวูเต๋า กระบี่ ธนู เพิ่มเสริมเข้าไปด้วยเช่นกัน
แค่คิดแทนศัตรูที่ต้องมาสู้กับเขา ก็รู้สึกหวาดกลัวแทนพวกมันไม่ได้แล้ว
กู่ฉิงซานทำการล็อกสมญาของเขาไว้ที่ ‘นายพลชั้นเฉินเว่ย’ คว้าเอาดาบเช่าหยินออกมา และเริ่มเคลื่อนกาย ใช้ออกด้วยเทคนิคดาบ
ดาวยาวโบกสะบัด
สาดประกายเย็นเยียบ
“เอ๊ะ?”
แต่แล้วคิ้วของกู่ฉิงซานก็ต้องขมวดลงโดยไม่คาดฝัน
แม้เขาจะค้นพบว่าความเร็วของตัวเองว่องไวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ในขณะเดียวกัน เขากลับรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยที่ไม่สามารถควบคุมดาบของตนได้
ความเร็วระดับนี้...เหมือนว่ามันจะมากเกินไปหน่อย
กู่ฉิงซานพิจารณาอย่างรอบคอบ และในที่สุดก็พยักหน้าตัดสินใจว่าปัญหาในข้อนี้ จะต้องเร่งแก้ไขมันทันที
ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกดาบ แต่กลับไม่สามารถควบคุมดาบได้ นี่นับว่าเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่ง
เขาผุดลุกขึ้น และเริ่มร่ายระบำดาบอย่างช้าๆ
เขาเริ่มใหม่ตั้งแต่การฝึกกระบวนท่าดาบขั้นพื้นฐานอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ก่อนจะเริ่มผสานสกิลดาบเข้าด้วยกัน จนสามารถใช้งานมันได้อย่างไม่ติดขัด จากนั้นก็หันไปเริ่มทดสอบกับเทคนิคลับแห่งดาบอีกครั้ง และสุดท้ายเป็นค่ายกลดาบ
ตั้งแต่ต้นจนจบ กู่ฉิงซานได้ปรับเปลี่ยนมันเล็กน้อย เพื่อให้เหมาะสมกับความเร็วที่เพิ่มขึ้น
หลังจากฝึกฝนมากว่าสองชั่วยาม เขาก็สามารถไล่ตามความเร็วของ ‘นายพลชั้นเฉินเว่ย’ จนทันในที่สุด
จากนั้นจึงเก็บดาบเช่าหยิน และทิ้งตัวกลับไปนั่งพักบนฟูกอีกครั้ง
จนกระทั่งตอนนี้ เขาถึงได้มีเวลาทบทวน ได้คิดเกี่ยวกับโทษทัณฑ์ที่พึ่งเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
แต่ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ กู่ฉิงซานก็ยิ่งงุนงงมากขึ้นเท่านั้น
แปลกจัง…
หายนะของโทษทัณฑ์ มันไม่สมควรที่จะจบลงอย่างง่ายดายเช่นนี้นี่นา?
อย่างเช่นในระหว่างกระบวนการข้ามผ่านโทษทัณฑ์เมื่อครู่ ที่เขาทำก็เพียงแค่โค่นกลุ่มคนที่ลอบโจมตีเขาอย่างกะทันหัน ครั้งเดียวเท่านั้นเอง
การโจมตีของพวกมันก็ถูกสกัดไว้โดยเกราะรบ ทำให้เขามิได้เป็นอันตรายใดๆ
แต่โทษทัณฑ์มันจะจบลงแค่นั้นจริงๆ น่ะหรือ?
หรือว่าเขาได้ไปพบเจอกับหายนะที่ร้ายแรงยิ่งกว่ามาก่อนแล้ว แต่ไม่ทันจะรู้ตัว?
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทวนซ้ำถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจของเขา
หลังจากกลั่นกรองทุกประเภทของสถานการณ์ กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าใกล้คำตอบของปัญหานี้ได้ในที่สุด
“ที่ติดใจที่สุดคงไม่พ้นต้นไม้ต้นนั้น มันจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติอย่างแน่นอน...” เขางึมงำกับตัวเอง
แต่ในตอนที่พบเจอกับต้นไม้ใหญ่ เขาก็ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ ทำการสำรวจบริเวณโดยรอบ รวมไปถึงใต้ทะเลทรายแล้วนี่นา
ซึ่งน่าเสียดาย ที่จิตสัมผัสเทวะกลับไม่พบอะไรเลย
หากโทษทัณฑ์ที่เขาจะได้เผชิญ จริงๆ แล้วมิใช่กลุ่มฝูงชนที่ลอบโจมตี แต่เป็นต้นไม้ต้นนั้นละก็…เขาคงจะตายไปแล้ว เพราะอีกฝ่ายย่อมต้องแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้
มิฉะนั้น จิตสัมผัสเทวะของเขาก็คงไม่ถูกบดบังจนไม่อาจตรวจพบได้ถึงสิ่งใดแบบนี้หรอก
บ้าจริง...
ที่แท้เรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่นะ?
ย้อนนึกไปถึงแมงป่องน้อยสีดำที่เขาเห็นหลังจากได้สติกลับมาจากพักฟื้น กู่ฉิงซานเองก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจขึ้นเล็กน้อย
เขาครุ่นคิด สักพักก็จดจำบางสิ่งขึ้นได้
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และกวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าไปสำรวจมัน
และพบว่ากิ่งไม้ที่ได้รับจากต้นไม้ใหญ่ยังคงถูกเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี
ตลอดทั้งกิ่งก้านเป็นสีดำขลับ
ช่วงเวลานี้เอง กู่ฉิงซานเริ่มเพิ่มความระมัดระวังขึ้นเล็กน้อย และเตรียมที่จะใช้ออกด้วยวิชาลับเข้าใส่กิ่งไม้ที่อยู่ในถุงสัมภาระ
แต่ตอนนี้
กลับบังเกิดเสียงร้องเตือนขึ้นในจิตใจ ส่งผลให้เขาหยุดความคิดนี้ไป ไม่กล้าที่จะแตะมันอย่างกะทันหัน
กู่ฉิงซานขยับมือของจากถุงสัมภาระ ถอนหายใจอย่างเงียบๆ
เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ปล่อยเขาไป แต่คราวนี้นับว่าตนโชคดีมากจริงๆ ที่สามารถรอดชีวิตมาได้
เขาคงต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้ในอนาคต จะต้องไม่ประมาทอีกต่อไป
สำหรับกิ่งไม้นี้ สุดท้ายเดี๋ยวมันก็จะเป็นตัวเฉลยถึงความจริงทั้งหมดเอง
เพราะตามความทรงจำของวังเฉิง ในตลาดมืดน่ะมีองค์กรพิเศษบางแห่งที่รับหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบในการประเมินราคาสมบัติที่หายากอยู่
เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะนำกิ่งไม้ออกไปให้ทำการตรวจสอบ แล้วสุดท้ายคำตอบทุกอย่างก็จะถูกเฉลยออกมาเอง
เอาล่ะ มันถึงเวลาออกเดินทางแล้ว
กู่ฉิงซานเก็บฟูก หยิบเม็ดยาวิญญาณออกมา โยนเข้าปาก
เขาเคลื่อนกายวูบไหวอีกครั้ง ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
ยิ่งนาน พายุทะเลทรายก็เริ่มลดน้อยลง
ในที่สุด กู่ฉิงซานก็สามารถบินมาถึงเขตเบื้องบนที่ไร้ซึ่งพายุทราย
ตามสามัญสำนึก ลมในที่สูง สมควรจะรุนแรงยิ่งกว่า แต่โลกใบนี้ช่างแปลกนัก ยิ่งสูง ลมกลับยิ่งน้อย
กู่ฉิงซานมองไกลออกไป
เห็นแค่เพียงโลกทั้งใบถูกปกคลุมไปด้วยทรายและฝุ่นควัน ลากยาวไปสุดเส้นขอบข้า
ที่นี่ นอกจากลมและทรายแล้ว มันก็ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย
ถึงบางครั้ง จะปรากฏสถานที่ที่สามารถหลบเลี่ยงพายุทรายได้ก็ตามที แต่มันก็ใช้หลบเลี่ยงได้ไม่นาน เพราะสุดท้ายก็จะถูกพายุทรายกลบฝังลงไปอยู่ดี
นั่นหมายความว่า มีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในทราย จึงก่อให้เกิดผลดังกล่าวนี้ขึ้น
กู่ฉิงซานมองไปยังทิศทางที่กำหนด เขาเปลี่ยนเป็นกระแสแสง ตัดผ่านท้องฟ้าไป
…
ห้าวันต่อมา
ในที่สุดกู่ฉิงซานก็สามารถมาถึงที่หมายของเขา
เขามาปรากฏตัวขึ้นนอกเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง
ปัจจุบัน เมืองเล็กๆ แห่งนี้คือทางเข้าสู่ตลาดมืด ซึ่งเจ้าหน้าที่ในด่าน มีหน้าที่ตรวจสอบและจัดการสิ่งของที่มีคุณสมบัติสามารถเข้ามาภายในเมือง และตรงไปสู่ตลาดมืดได้
ขณะที่องค์กรที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น หรือตัวตนที่มีชื่อเสียงย่อมสามารถเข้าสู่ตลาดมืดได้เลยโดยตรง
แต่หากเป็นคนธรรมดาๆ หากต้องการจะเข้าไป เขาก็ต้องได้รับการตรวจสอบเล็กๆ น้อยๆ หน้าเมืองเสียก่อน
กู่ฉิงซานลังเลเพียงเสี้ยวนาที และตัดสินใจที่จะไม่เปิดเผยตัวตนของเขาในฐานะสมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็ก
เพราะอย่างไรซะ แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็ยังอยู่ในโลกของเขา และเนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ขึ้น ส่งผลให้พวกเขาออกมาไม่ได้สักพัก
ส่วนตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการคนอื่นๆที่ตนรู้จัก พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสงคราม และยังถูกคุ้มครองรักษาเอาไว้โดยผลึกน้ำแข็ง กระจัดกระจายไปในดินแดนชิงอำนาจแต่ละแห่ง
สรุปง่ายๆ ว่าไม่มีใครสามารถช่วยเหลือกู่ฉิงซานได้ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
ดังนั้น มันจึงไม่เป็นการฉลาดเลยหากกู่ฉิงซานเลือกที่จะเปิดเผยตัวตนในเวลานี้
เขาถอนหายใจ ก้าวฉับๆ ตรงมาที่ทางเข้า
ตรงจุดนี้ มีผู้คนจำนวนมากยืนรอต่อแถวเพื่อเข้าเมืองอยู่
พวกเขากระจายตัวเป็นกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ
ผู้คนอ่อนโยน สุภาพ ทักทายกันและกัน
นี่ไม่ใช่เพราะว่าทุกคนกำลังอารมณ์ดีอยู่หรอกนะ
แต่เป็นเพราะบนท้องถนนสองฟากฝั่ง มันเต็มไปด้วยหัวสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน ที่ถูกวางซ้อนๆเรียงกันหนาแน่น ก่อกำเนิดเป็นกำแพงที่ทั้งสูงใหญ่และหนา อยู่ต่างหาก
กำแพงที่ถูกสร้างขึ้นโดยหัวสิ่งมีชีวิต ลากยาวมาตั้งแต่ทะเลทรายที่อยู่ไกลออกไป มาจนถึงสองข้างของประตูเมืองทางเข้านี้
หัวนับพันคนเหล่านี้ ล้วนมาจากผู้คนที่ไม่คิดปฏิบัติตามกฎของตลาดมืด
ภายใต้สภาพแวดล้อม และการจับจ้องของหัวมนุษย์นับไม่ถ้วน ผู้คนที่คิดหมายจะเข้าเมืองจึงต้องเรียนรู้กฎของที่นี่โดยเร็วที่สุด
หากคุณต้องการจะเข้าสู่ตลาดมืด คุณจะต้องยอมรับกฎสองข้อดังต่อไปนี้...
ไม่อนุญาตให้ลัดคิว
ไม่อนุญาตให้ส่งเสียงดัง
นอกเหนือไปจากนั้น อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฝูงชนยังคงเงียบ นั่นก็เพราะ มีอยู่หลายคนเลยที่กำลังต่อคิว ขณะเดียวกันก็ก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่
ทุกคนต่างก้มหัวลง อ่านเนื้อหาในหนังสืออย่างสงบและตั้งใจ
กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัย เขาสังเกตอย่างรอบคอบ และพบว่าหนังสือบางเล่มกำลังกะพริบไหวเป็นครั้งคราว
ดูเหมือนว่าพวกหนังสือ มันกำลังคอยไล่สอบถามบรรดาผู้กำลังต่อคิวเข้าแถว ว่าต้องการที่จะล่วงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตลาดมืดแห่งนี้หรือไม่ ในระหว่างที่กำลังเฝ้ารอ
นั่นก็เพราะมันว่าง
และอีกอย่างเจ้าของตลาดมืดเองก็ยังรู้สึกว่า หากให้ผู้คนได้เรียนรู้เกี่ยวกับตลาดมืดซะก่อน มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ดี
กู่ฉิงซานมองดูหนังสือเหล่านั้น อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย วังเฉิงไม่รู้หนังสือ ทำให้ตลอดทุกครั้งที่เข้ามายังตลาดมืด วังเฉิงจึงไม่เคยจะอ่านมันเลย
มิฉะนั้นกู่ฉิงซานที่ได้ความทรงจำของวังเฉิงมา ก็คงจะเข้าใจเกี่ยวกับตลาดมืดได้มากกว่านี้
ในตอนนั้นเอง หนังสือปกเขียวเล่มหนึ่งก็บินมาอยู่เหนือหัวเขา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณท่าน ต้องการรับบริการหรือไม่?”
“โอ้ ก็เอาสิ แต่ฉันสงสัยจังว่าคุณสามารถทำอะไรได้บ้าง” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างสุภาพ
“กระผมคือหนังสือที่ได้บันทึกเรื่องราวของโลกใบนี้ทั้งก่อนและหลังการล่มสลายในครั้งที่ห้า หากท่านสนใจ สามารถเริ่มเปิดอ่านกระผมได้เลยในทันที”
“ฉันสนใจ ขอบคุณมาก”
“ด้วยความยินดี มาเริ่มกันเลย”
หนังสือค่อยๆ ตกลงมาอยู่ในมือของกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ หน้าแรกของมันเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ
ด้วยเหตุนี้เอง ระหว่างที่กำลังต่อแถว กู่ฉิงซานจึงได้มีโอกาสได้ล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของการล่มสลายทั้งห้าครั้งของโลกใบนี้
........................................